เลขาคนเก่าแต่โฉมใหม่

1313 คำ
ภายในรถเก๋งสีขาวคันเล็ก มีผู้หญิงที่ไม่คุ้นตากำลังจ้องมองตัวเองผ่านกระจกอยู่ สีผมที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลอ่อนทำให้ใบหน้าของฉันแปลกไปจากเดิม ทั้งการแต่งหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกระดับทำให้ฉันประหม่าที่จะก้าวขาออกไปจากรถ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมเอย เสื้อสีขาวที่คอกว้างขึ้น กระโปรงสีดำที่สั้นขึ้น และรองเท้าส้นสูงสีดำพื้นแดง โดยปกติแล้วฉันก็ใส่ส้นสูงบ่อย ๆ แต่เป็นแค่สีดำล้วน หรือไม่ก็สีชมพูธรรมดา แต่พอมาเห็นตัวเองในชุดนี้แล้ว มันดูไม่ใช่ฉันเลยจริง ๆ “ขนาดแม่ฉันยังตกใจ แล้วคนในบริษัทจะไปเหลืออะไรเนี่ย” ทั้งที่มาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็สิงอยู่แค่ภายในรถจนเริ่มหมดความมั่นใจ หรือฉันควรกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดี? ในระหว่างที่สมองตบตีกันอย่างหนัก มือถือที่แนบอยู่ข้างลำตัวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง หยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าคือเพื่อนรักที่โทรมาเช็กงาน “ไหน เปิดกล้องซิ” คำสั่งแรกออกมาจากปากยัยนั่นทันทีที่รับสาย ฉันก็ทำตามอย่างไม่อิดออด “โอ้โหห! คะแนนแต่งหน้าแม่ให้สิบ สิบ สิบ!” เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบระรัวอย่างภาคภูมิใจขั้นสุด “ไม่มั่นใจเลยอะ กลับไปเปลี่ยนชุดดีไหม น่าจะยังทัน” “แกจะบ้าเหรอ หมดเงินไปตั้งเท่าไหร่แล้ว อย่ามาขี้ขลาดตอนนี้สิ” แกก็พูดง่ายสิ ก็แกอยู่คนละที่กับฉันนี่ คนที่ต้องแบกสายตาแปลก ๆ จากคนรอบข้างคือฉันคนเดียวเลย “เอาน่า ลุคนี้สวยเปรี้ยวจะตาย เชื่อฉันสิ งานนี้แหละ! ได้ผัวแน่” “ผะ ผัวเลยเหรอ แค่แฟนก็พอมั้ง” ฉันอึกอัก รู้สึกประหม่าไม่เลิก แม้จะให้เวลาตัวเองนั่งทำใจอยู่ในรถเกือบยี่สิบนาทีแล้ว “แล้วนี่ได้ฉีดน้ำหอมยัง” ปกติฉันไม่ค่อยชอบฉีดน้ำหอม แต่ยัยไอรินบังคับขู่เข็นให้ฉันฉีด แถมยังสละน้ำหอมตัวเองให้ฉันอีกด้วย ฉันต้องรู้สึกซาบซึ้งไหมเนี่ย “อืม หอมฟุ้งจนเวียนหัว” “หึ ๆ ดีมาก ไปจ้าเพื่อนสาว ออกไปล่าประธานเลยย” แต่ละคำที่สรรหา มันไม่ได้ปลุกพลังในตัวฉันสักนิด ยิ่งฟังยิ่งหดหู่ “โอเค ๆ แค่นี้นะแก เดี๋ยวสาย” “อืม ๆ โชคดีมีผัวเป็นประธานนะ” ดูอวยพรเข้า จะถือเอาเป็นแรงใจในการก้าวเดินแล้วกัน หลังจากวางสายยัยไอริน ฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายเดินเข้ามาในบริษัท และทันทีที่พื้นรองเท้าสีแดงแตะลงกระเบื้องทางเข้า ทุกสายตาก็หันมาจับจ้องอย่างให้ความสนใจ “โห! นี่พี่ตาฝาดไหมเนี่ย” เริ่มจากยามทางเข้าที่เอ่ยทักด้วยสายตาเป็นประกาย ทำเอาฉันมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “คุณเหมันต์เข้าบริษัทยังคะ” “ยังครับ แต่น่าจะใกล้ถึงแล้วละ” ค่อยโล่งอก ฉันผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าบริษัทอย่างที่ยัยไอรินสอน และตอนนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนเป็นที่เรียบร้อย “อะไรเข้าฝันให้ฟื้นแรงขนาดนี้คะหล่อน เมื่อวานยังวิ่งหน้าตั้งเป็นยายเพิ้งเข้ามาบริษัทอยู่เลย” “สวัสดีค่ะเจ้ เบื่อ ๆ สีผมเดิมน่ะ เลยลุกขึ้นมาเปลี่ยนสักหน่อย” ฉันยิ้มบาง ๆ พลางเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟประจำตัวของท่านประธานขึ้นมาชงกาแฟให้อย่างชำนาญ เพราะทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูกแล้ว “น้องฉันจะขายออกก็งานนี้แหละแกเอ๊ย” “ขอให้ขายออกจริง ๆ เถอะค่ะ สาธุ” ฉันรีบพนมมือขึ้นจรดหัวอย่างจริงจัง ก่อนจะขอตัวยกกาแฟขึ้นมาไว้บนห้องท่านประธาน เพราะอีกไม่นานเขาคงมาถึง แต่ผิดคาดไปเล็กน้อย เพราะทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบว่าอีกฝ่ายเพิ่งมาถึงเหมือนกัน และตอนนี้ยังไม่หย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ด้วยซ้ำ “สะ สวัสดีค่ะท่านประธาน” ฉันยิ้มออกมาบาง ๆ ทั้งที่เริ่มประหม่าและหน้าเจื่อน เพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจอเขาตอนนี้ บ้าจริง! แล้วมายืนจ้องฉันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง “กาแฟร้อน ๆ ไม่ใส่น้ำตาลค่ะ” เห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร ฉันจึงเดินเข้าไปวางกาแฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้มือสะบัดเส้นผมเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่ขาวผ่อง และปัดให้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปตามคำแนะนำที่ยัยไอรินสอน “อลิสาไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้คุณมาทำหน้าที่แทน” “หือ?” เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง อยู่ ๆ มาถามหาฉัน ทั้งที่ฉันยืนอยู่ต่อหน้า หรือว่าเขาจำฉันไม่ได้? “กะ ก็ฉันนี่ไงคะ อลิสา” พูดพร้อมกับชูป้ายห้อยคอให้อีกฝ่ายดู เขาจึงเริ่มกวาดสายตาจ้องสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอยู่เงียบ ๆ หึ ตะลึงในความสวยล่ะซี่ แบบนี้ค่อยคุ้มเงินที่เสียไปหน่อย “วันนี้มีประชุมตอนไหน” สายตาที่สงสัยจางหายไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟขึ้นไปดื่มด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “มีตอนสิบเอ็ดโมงค่ะ” “อืม ไปได้ละ” ใบหน้าอีกฝ่ายไร้สิ้นความสนใจในตัวฉัน เขาหันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาทำโดยไม่สนใจอะไรฉันอีก ไอ้ที่ลงทุนไปเกือบหมื่นนี่สูญเปล่าทั้งหมดงั้นดิ? ฉันเอาแต่ยืนนิ่งเพราะลืมตัว จนกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบถึงได้รู้ว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ฉันจึงรีบย้ายตัวเองออกมาจากห้องทันทีและตรงไปที่บันไดหนีไฟ จุดลับที่ใช้คุยเรื่องส่วนตัว และหลบกล้องวงจรปิดได้ดีที่สุด “ฮัลโหลแก ทำงานอยู่ไหม” ถือสายรอไม่นาน ยัยไอรินก็กดรับสาย “คุยได้ ๆ เป็นไงบ้าง ได้ผลปะ” “กับคนอื่นน่ะได้ มองตาไม่กะพริบเลย แต่กับอีตานี่เงียบกริบเลยอะ ไม่มีแม้แต่สัญญาณบอกว่าชื่นชอบ แต่เขาแค่จำฉันไม่ได้เท่านั้นเอง” “แปลว่าได้ผล” ฝั่งนั้นเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ต่างจากฉันที่ใจเหี่ยวเฉาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “แต่เขานิ่งมากเลยนะ เหมือนไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวฉันเลย” “แกก็ทำให้เขาพิศวาสสิ มารยาหญิงอะ รู้จักไหม” ไอ้รู้จักมันก็รู้อยู่นั่นแหละ แต่ฉันไม่มี ขืนมีก็อายที่จะใช้ด้วย “อย่าเพิ่งท้อสิ ข่าวลือแกน่ะหนาหูมาถึงบริษัทฉันแล้วนะบอกไว้ก่อน” ข่าวใหม่ที่ได้ฟังทำเอาฉันหูผึ่ง แทบมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาในทันที “จริงเหรอ แล้วเขารู้ไหมว่าเป็นใคร” “ยัง ๆ รู้แค่ตำแหน่งสูง” “ฉิบหายละ” ฉันแทบกรีดร้องออกมาในใจ ทำไมเรื่องมันถึงได้เผยออกมาเร็วขนาดนี้ “เพราะฉะนั้น แกช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว” “แล้วฉันต้องทำไงบ้าง” “เดี๋ยวส่งให้ ทำตามให้ครบทุกข้อเลยนะ” “อืม ๆ ขอบใจมาก” หลังวางสายจากยัยไอริน ฉันก็ยืนรออยู่สักพักจนยัยนั่นส่งข้อความเข้ามายาวเหยียด และเรียงกลยุทธ์การอ่อยออกมาเป็นข้อ ๆ อ่านดูแล้วก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วกับอุทาน “นี่ฉันต้องทำอะไรแบบนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม