อารัมภบท
ใบกะเพราเด็ดหยาบ ๆ ถูกสาดลงกระทะที่ร้อนระอุจนเกิดเสียงดังซู่ซ่า ก่อนที่จะถูกคลุกเคล้าให้เข้าเนื้อด้วยตะหลิวในมือหญิงวัยกลางคน ผมยาวประบ่าท่าทางอิ่มเอม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยที่ใจดีและเป็นมิตรกับคนรอบข้าง
“ฮัดชิ่ว!”
หญิงสาวในวัยย่างเข้า 27 ปีจามออกมาสุดแรงจนแว่นตาอันหนาเตอะแทบจะหลุด โชคดีที่เธอมือไว คว้าขาแว่นตาเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะสวมมันกลับเข้าไปใหม่อีกรอบ
“นั่นไง แม่บอกแล้วว่าไปรอด้านนอกก่อน”
คนเป็นแม่เอ็ดทันที แต่มีหรือที่อลิสาจะยอมรับฟังคำตำหนิง่าย ๆ เธอเดินเข้าไปชิดที่แผ่นหลังบางพลางสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้หลวม ๆ ด้วยท่าทางออดอ้อน
“ก็อยากอยู่เป็นลูกมือให้แม่นี่”
เธอว่าอย่างเอาใจ จนบังเกิดรอยยิ้มเล็ก ๆ ขึ้นมาบนริมฝีปากของผู้ถูกกอดรัด
“จะเสร็จแล้วเนี่ย ตักข้าวไปวางบนโต๊ะไปลูก”
“รับทราบค่ะ!”
คนตัวเล็กผิวขาวผ่องตอบกลับด้วยท่าทางขะมักเขม้น ก่อนจะผละออกไปทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ในขณะที่เดินถือจานข้าวออกมาจากครัวเพื่อนำไปวางบนโต๊ะอาหารกลางบ้านเธอก็ต้องหยุดชะงัก เพราะพบเจอกับเพื่อนบ้านขาประจำกำลังชะเง้อคอมองหาเจ้าของบ้านอยู่ที่หน้าประตู
“เห็นเงียบ ๆ ป้านึกว่าไม่มีคนอยู่เสียอีก”
ป้าบุญตายิ้มทักทายก่อนจะเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างถือวิสาสะ ในมือถือใบเตยกำใหญ่ที่คาดว่าคงเป็นใบเตยที่เธอปลูกเอาไว้หน้าบ้าน ประเด็นที่เธอสงสัยคือ... ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ขอก่อน?
ถึงแม้ว่าเธอกับแม่ไม่ใช่คนขี้หวง มีอะไรก็เผื่อแผ่ให้ตลอด แต่การเป็นคนใจดี กลับกลายเป็นว่าพวกเธอถูกละเลยความเกรงใจ คนที่ต้องตกที่นั่งลำบาก จึงต้องกลายเป็นพวกเธอเอง
“ป้าว่าจะทำขนมต้มใบเตยน่ะ คิดอยากทำมาหลายวันแล้ว แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าน้ำตาลหมด จะออกไปตอนนี้ก็ค่ำมืดแล้ว เลยมาขอยืมก่อน”
จะทำขนมต้มใบเตย แต่ใบเตยไม่มี น้ำตาลก็ไม่มีอีก เจริญละ
อลิสานึกเอือมอยู่ในใจ
“อ้าว พี่บุญตา มากินข้าวด้วยกันสิ”
ลินดาเดินถือจานผัดกะเพราออกมาไล่หลัง เธอรีบเอ่ยชักชวนออกไปตามมารยาท ทำเอาอลิสาหูผึ่ง แทบจะกรีดร้องออกมาในใจและเริ่มภาวนาอย่างหนักว่าให้อีกฝ่ายปฏิเสธออกมาทีเถอะ และแล้วเธอก็ได้สมหวังดังปรารถนา
“ตามสบายเลย พี่เพิ่งกินมา พอดีว่าลูกสาวเขามารับไปกินข้าวนอกบ้านน่ะ”
อลิสาแอบพ่นลมออกมาจากปากแผ่วเบาด้วยความโล่งอก
“ตักน้ำตาลให้พี่หน่อยสิ จะเอาไปทำของหวาน ขอเยอะ ๆ เลยนะ”
“จ้ะ”
เจ้าของบ้านเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง ปล่อยให้อลิสานั่งเฝ้ารออยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยความอึดอัด
“ลิสา ถ้าเจ็บป่วยอะไรน่ะไปหาหมอที่คลินิกวรเวชได้นะลูก นั่นแฟนลูกป้าเอง”
จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ค่ะ”
เธอยิ้มบาง ๆ ส่งให้ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมหยุดพูด แต่เปล่าเลย...
“ลูกคนเล็กป้าน่ะเขาเป็นพยาบาล เงินเดือนตั้งหนึ่งแสนแน่ะ แฟนเขาก็เป็นหมอ ไปเจอกันที่โรงพยาบาล อู้ยย เหมาะสมกันมาก โชคดีมากเลยที่เขาได้ลงเอยกับผู้ชายดี ๆ ป้าไปเจอมาแล้ววันนี้ เขาสุภาพมากก สมกับเป็นหมอจริง ๆ นะ”
ใช่ว่าอลิสาจะไม่รู้เรื่องนี้ เธอเองก็เห็นการเคลื่อนไหวของบุคคลที่กล่าวถึงในโซเชียลตลอด แต่เธอไม่เคยนึกอิจฉาเลยสักนิด ทั้งยังยินดีมากด้วยซ้ำ
“แล้วลิสาล่ะลูก ทำงานที่ไหนนะ”
“ที่เดิมนั่นแหละค่ะ บริษัทเครื่องประดับ”
“พนักงานร้านทองเหรอ?”
อีกฝ่ายถามกลับในทันทีด้วยความอยากรู้
“เครื่องเพชรน่ะค่ะ เป็นบริษัท ไม่ใช่ร้านขายทอง”
“อ๋อ แค่พนักงานบริษัทเองเหรอ”
แค่งั้นเหรอ? ขึ้นต้นประโยคด้วยคำนี้ก็ทำให้อลิสาวางโทรศัพท์ลงด้วยท่าทางขุ่นเคืองได้แล้ว เพราะถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงพนักงาน แต่ตำแหน่งของเธอเป็นถึงเลขาส่วนตัวของท่านประธานคนเก่า ที่ตอนนี้ได้สละตำแหน่งแล้ว
“ทำงานแต่ที่เดิม ๆ เมื่อไหร่จะได้แฟนสักทีล่ะลูก ทำไมไม่ย้ายไปที่อื่นบ้าง จะได้เจอผู้ชายดี ๆ อยู่กันสองคนแม่ลูกแบบนี้มันอันตราย มันต้องมีผู้ชายอยู่ด้วยนะ โจรถึงจะไม่กล้าขึ้นบ้าน”
ในนาทีที่ความอดทนของอลิสาขาดสะบั้น เธอหันไปเจอข่าวที่หน้าจอทีวีที่ตอนนี้กำลังเปิดตัวทายาทบริษัทเครื่องเพชรที่เธอทำงานอยู่ เพียงแค่เห็นว่าอีกฝ่ายทั้งหล่อและรวย และคงไม่มีใครเหมาะสมที่จะนำมาข่มมนุษย์ป้าข้างบ้านได้อีกแล้ว จึงพลั้งปากพูดออกไปทันที
“นี่ไงคะ แฟนหนู ชื่อเหมันต์ค่ะ เป็นประธานบริษัทเครื่องเพชร ส่วนหนูเป็นเลขาเขาค่ะ วัน ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร นั่ง ๆ นอน ๆ ในห้องส่วนตัว เขาไม่อยากให้ทำงานหนักน่ะค่ะ เขากลัวเหนื่อย”
คนอายุน้อยกว่ายิ้มเยาะเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายเจื่อนลง
“แฟนหล่อนะเนี่ย”
ว่าพลางจ้องมองดูคนในทีวีที่ลักษณะภูมิฐาน อายุอานามเพิ่งจะก้าวเข้าเลขสามต้น ๆ
“ค่ะ ทั้งหล่อทั้งรวย นิสัยดีด้วยนะคะ สุภาพบุรุษมาก ๆ ๆ”
ยิ่งเห็นท่าทางของป้าบุญตาที่แปลกไป อลิสาก็ยิ่งได้ใจคุยโวอยู่ยกใหญ่ จนกระทั่งลินดาเดินถือถุงน้ำตาลออกมาจากครัว
“มีแค่นี้เหรอ?”
บุญตายกถุงน้ำตาลขึ้นดูพลางทำหน้าครุ่นคิด
“ใช่จ้ะ ที่อยู่ในครัวก็แทบไม่เหลือแล้ว ฉันเก็บไว้ทำกับข้าวพรุ่งนี้เช้าน่ะพี่”
“ไม่เป็นไร น้ำตาลน้อยก็ทำน้อย ๆ แล้วกัน อาจจะไม่ได้ทำเผื่อนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่”
ลินดายิ้มบาง ๆ ส่งให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหันหลังออกไปจากประตูบ้าน ทิ้งให้อลิสาหน้ายุ่งจ้องมองแผ่นหลังที่จากไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่สร่าง
“เป็นอะไรหือ”
ผู้เป็นแม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เธอวางมือบนไหล่บางอย่างห่วงใยเพื่อรอฟังคำตอบ
“รำคาญอะแม่ ย้ายบ้านหนีกันดีไหม?”
“หึ ๆ”
ลินดากลั้วขำในลำคอพลางส่ายหัวอย่างปลงตก เพราะนึกเอาไว้แล้วว่าต้องไม่พ้นเรื่องนี้แน่
“อย่าไปถือสาแกเลยนะ เหนื่อยใจกับเขา คนที่แบกความหนักก็คือเรานะลูก”
“ค้าาา สาธุ”
อลิสายกมือขึ้นพนมพลางก้มหัวแนบปลายนิ้วด้วยท่าทางประชดประชัน ในใจนึกอยากจะปลงให้ได้สักครึ่งหนึ่งของผู้เป็นแม่บ้าง จะได้ไม่ต้องมารู้สึกทุกข์ใจกับเพื่อนบ้านที่มีนิสัยผิดแปลกไปเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปพึงจะเป็นแบบนี้