“สายแล้ว ๆ ๆ”
ขนมปังทาแยมที่วางอยู่บนโต๊ะกลางบ้านถูกกระชากเข้ามากัดเอาไว้ในปาก ก่อนจะก้มลงไปสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีดำสนิทด้วยท่าทางทุลักทุเล แขนซ้ายหนีบกระเป๋าเอกสารใบใหญ่แนบชิดลำตัวก่อนที่จะพุ่งออกไปยังประตูที่เปิดอ้าอยู่ก่อน
“สา ลืมป้ายห้อยคอลูก”
ฉันรีบหันขวับกลับไปมองที่ด้านหลังก่อนจะพบว่าแม่กำลังชูป้ายห้อยคออยู่ในมือ พร้อมทั้งรีบวิ่งหน้าตั้งลงมาจากบันได ตื่นสายจนเกือบซวยไปแล้วไหมล่ะลิสาเอ๊ย
“เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าอย่าดูซีรีส์ดึก ข้าวก็กินไม่ทันเลยเนี่ยเห็นไหม”
คนตรงหน้าบ่นอุบพลางส่ายหัวอย่างปลงตก
“แหะ ๆ แป๊บ ๆ ก็เที่ยงแล้ว สะสมความหิวไว้กินทีเดียวแล้วกัน”
ฟอดดด
จมูกโด่งทาบกดลงที่ข้างแก้มนวลกลิ่นแป้งฝุ่น ก่อนจะวิ่งตัวปลิวมายังรถเก๋งสีขาวคันเล็กที่จอดอยู่ข้างบ้าน เมื่อคืนฉันพลาดมากจริง ๆ ที่หลงไปดูซีรีส์เรื่องนั้น สุดท้ายติดงอมแงม กว่าจะได้นอนก็ปาไปตีห้า แถมวันนี้ยังเป็นวันแรกที่ประธานคนใหม่เข้าบริษัทอีก ผมเผ้าแทบจะไม่ได้สาง เปลือกตาบางไร้ซึ่งสีสดใสมาแต่งแต้ม มีเพียงแค่การปัดขนคิ้วลวก ๆ แล้วทาลิปสติกพอให้ไม่ดูซีดเซียวเกินไปเท่านั้น
‘น้องสามายัง ท่านประธานมาแล้วนะ’
เสียงแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาในขณะที่ฉันเตรียมจะออกตัว ทำเอาใจสั่นระรัว ลนลานยิ่งกว่าเดิม
“มาทำไมแต่เช้าเนี่ย เห่อตำแหน่งหรือไงพ่อคุณ”
ฉันพร่ำบ่นคนเดียวพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตอบกลับไป
‘อีกไฟแดงเดียวก็ถึงแล้วค่ะ’
พิมพ์เสร็จแล้วก็รีบโยนโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋าแล้วเหยียบคันเร่งออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องมาหยุดอยู่ที่ราวกั้นทางออกหมู่บ้านอยู่ดี ซึ่งในขณะนี้ลุงยามกำลังนั่งเลื่อนวิทยุหาเพลงโปรดอยู่ในป้อม โดยไม่สนใจว่าฉันกำลังจอดรออย่างร้อนใจอยู่
ปิ๊น ๆ
“ลุง! เปิดราวกั้นให้หน่อย”
เห็นว่าอีกฝ่ายละเลยหน้าที่ ฉันจึงกดบีบแตรเสียงดังพร้อมทั้งลดกระจกตะโกนเรียก ทำเอาคนด้านในสะดุ้งโหยง รีบวิ่งออกมาทักทายตามประสาคนสนิทกัน แต่มันใช่เวลาไหมเนี่ย คนยิ่งรีบอยู่
“ทำไมวันนี้ออกสายจังล่ะหนู ลุงก็นึกว่าไม่ไปทำงานซะแล้ว”
“ตื่นสายน่ะค่ะ เปิดไม้กั้นด่วน ๆ เลยลุง”
พูดพร้อมกับเตรียมที่จะเลื่อนกระจกขึ้น แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินคำเอ่ยแซวออกมาจากปากอีกฝ่าย
“แหม ไปสายก็ไม่มีใครกล้าไล่ออกหรอกมั้ง มีแฟนเป็นถึงเจ้าของบริษัทเลยนี่”
“...”
ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม เมื่อกี้... เขาพูดว่าไงนะ
“ละ ลุงว่ายังไงนะคะ?”
เพื่อให้แน่ใจ ฉันจึงเอ่ยถามออกไปอีกรอบ
“ไม่ต้องเขิน ๆ ดีแล้ว มีแฟนรวยขนาดนี้ จะได้สบายไปทั้งชาติ”
ลุงวัยกลางคนอายุอานามปาเข้าเลขห้าโบกไม้โบกมือยิ้ม ๆ ในขณะที่ฉันกำลังช็อกอ้าปากค้าง นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!
“ลุงรู้ได้ยังไงเหรอคะ ว่าหนู เอ่อ... มะ มีแฟนเป็นเจ้าของบริษัท”
“ก็เห็นคนเขาลือกันทั่วตลาดเช้าเลย”
“ทั่วตลาด!”
ฉันโพล่งออกมาเสียงดังด้วยหน้าถอดสี อีป้ามันเล่นฉันแล้ว! โอ๊ยย! อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะเนี่ย แล้วข่าวลือนี้มันจะดังไปไกลถึงไหน แล้วถ้าดังไกลเข้าบริษัทฉันล่ะ?
“อ้าว ไม่รีบแล้วเหรอ”
“ระ รีบค่ะ ๆ”
ฉันรีบปิดกระจกแล้วบึ่งออกมาจากหมู่บ้าน แต่ในหัวมันไม่ประมวลผลถึงเส้นทางตรงหน้าเลย เอาแต่คิดพะวงถึงข่าวลือที่เกิดขึ้น
“ยัยป้าปากสว่าง! โอ๊ยยย เอาไปพูดไกลถึงไหนแล้วเนี่ย”
อยากจะบ้าตาย ทำไมถึงได้เป็นคนใส่ใจเรื่องคนอื่นขนาดนี้ ฉันพลาดจริง ๆ ที่โกหกออกไปแบบนั้น ถ้าคุณเหมันต์รู้เข้า อนาคตการทำงานของฉันได้ดับลงแน่ และถ้าคนในบริษัทรู้ พวกเขาจะมองฉันยังไง
เพียงแค่คิดว่าจะถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ฉันก็เริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในขณะที่รถจอดติดไฟแดง พบว่าตอนนี้เริ่มมีผู้คนหันมามองฉันเป็นระยะ โดยเฉพาะเด็กขายพวงมาลัย หรือว่าฉันคิดไปเอง?
ความฟุ้งซ่านนี้ทำให้ฉันไม่อาจเหยียบคันเร่งต่อไปได้ ทันทีที่ขึ้นสัญญาณไฟเขียวฉันถึงได้เลี้ยวรถมาจอดเทียบข้างทาง ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มาต่อสายหาเพื่อนสนิท ที่ไม่ว่าฉันจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม ยัยนี่จะมีทางออกให้กับฉันเสมอ
“รับสิ ๆ”
ทั้งที่ถือสายเพียงไม่นาน แต่ฉันกลับรู้สึกร้อนรนใจราวกับถือสายอยู่นานนับชั่วโมง ความกระวนกระวายใจเริ่มแผดเผา ฉันเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานาจนชักจะกลัวความคิดตัวเองเข้าแล้ว
“ว่าไงคะคุณอลิสาา โทรมาแต่เช้าเลย”
“แก! ว่างไหม”
“เอ่อ... ไม่ค่อยว่างอะ แต่คุยได้ ว่าไง”
อีกฝ่ายคงไม่ว่างจริง ๆ แต่ฟังน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีของฉันแล้วถึงได้ยอมสละเวลาให้
“แก ฉันพลาดแล้วว่ะ!”
“ท้องเหรอ กับใคร”
“จะบ้าเหรอ! ซิงยังอยู่ดี ยังไม่มีใครเปิด แต่อนาคตฉันอะ กำลังจะถูกปิด ฮือออ”
ฉันยกมือขึ้นมาทาบปิดหน้า รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ แต่มันดันร้องไม่ออก ความอึดอัดคับแน่นดันขึ้นมาถึงคอหอย จนแทบไม่มีเสียงจะพูด
“อะไร ยังไง”
ยัยไอรินเดินแยกออกมาจากฝูงชน เพราะเสียงที่แทรกเข้ามาในตอนแรกเงียบหายไปแล้ว
“คือเมื่อวานยัยป้าข้างบ้านมาอวดโอ้ลูกตัวเองให้ฉันฟัง ฉันเลยปากพล่อย อวดคืนกลับไปว่าฉันมีแฟนเป็นถึงประธานบริษัทคนใหม่ของเดอะ ไดมอนด์”
“คุณเหมันต์น่ะนะ?”
“อืม แล้วตื่นเช้ามา คนเขาลือกันทั่วตลาดว่าฉันมีแฟนเป็นเจ้าของบริษัท”
“ฉิบหายละ”
ปลายสายสบถออกมาเสียงแผ่ว คาดเดาว่าตอนนี้ยัยไอรินก็คงจะทำหน้าไม่ต่างไปจากฉัน
“ทำไงดีอะแก ถ้าข่าวลือไปถึงหูคนในบริษัทฉันนะ ฉันตายแน่!”
“เอาน่า บริษัทก็อยู่ตั้งไกล คงไม่ซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ก็จริง... แต่มันก็ไม่ได้ไกลมากขนาดนั้นสักหน่อย ขนาดแค่คืนเดียวยังแพร่ไปทั้งตลาดได้เลย
“แกก็เนียน ๆ ไปก่อน ใครถามอะไรก็บอกไม่รู้เรื่อง ตีมึนไปเลย”
“อยากร้องไห้อะ ฮืออ ฉันลาเลยได้ไหม ไม่พร้อมเผชิญจริง ๆ”
“ลาได้ไง ไหนบอกคุณเหมันต์เข้าบริษัทวันนี้ แล้วแกอยู่ไหนเนี่ย! อย่าบอกนะว่ายังไม่เข้าบริษัท”
ยัยไอรินถามเสียงดังจนแทบจะตะโกนเข้ามาในสาย
“อืม ตื่นสายน่ะ เจอข่าวลือเข้าไปเลยหมดแรงเหยียบคันเร่ง ตอนนี้จอดอยู่ข้างทางเนี่ย”
ฉันตอบเสียงเอื่อยเฉื่อยพลางปาดน้ำตาที่ซึมออกมาเล็กน้อยด้วยความกดดันที่ทับถม
“โห! รีบไปเลยนะ ไม่งั้นแกได้ตายก่อนที่ข่าวลือจะไปถึงแน่”
“อืม ๆ”
วางสายจากอีกฝ่ายแล้วฉันก็ยังไม่ยอมเคลื่อนรถไปไหน ได้แต่ถอนหายใจออกมาซ้ำ ๆ อย่างคนหมดเรี่ยวแรง อะไรมันจะซวยได้ขนาดนี้วะเนี่ย ปากหนอปาก คนอื่นมีให้อ้างตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องไปอ้างว่าเป็นคุณเหมันต์ด้วย หาเรื่องลงนรกแท้ ๆ เลยลิสาเอ๊ย!