"ก็...ไม่เชิงค่ะ แต่หางมันเท่าข้อมือเหมยเลยนะคะ" สาวน้อยเล่าบอกด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมยกข้อมือเล็ก ๆ ให้เขาดู ชายหนุ่มได้ฟังก็ขยับยิ้มมุมปากที่เหมยมองยังไงก็ดูร้ายกาจชอบกล เขาคว้าข้อมือเล็กไว้ ก่อนจะจูงเธอให้เดินตามไปยังกระถางที่ว่า
"ถ้าหางมันเท่าข้อมือเธอ แปลว่าลำตัวมันต้องน้อง ๆ อนาคอนด้าเขียวเลยเธอว่าไหม" ชายหนุ่มพูดและพาเธอมาหยุดตรงแถวกระถางต้นไม้ที่วางเรียงรายอยู่
"คุณอย่าเข้าไปใกล้ขนาดนั้นสิคะ ถ้ามันยังอยู่ข้างกระถางแล้วฉกคุณล่ะ" เหมยรั้งข้อมือเขาไว้ เพราะความกลัวเธอเลยลืมคิดไปว่า เธอไม่ควรให้ผู้ชายหน้าตาดีที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ จับจูงมือเธอไว้แบบนี้
"ข้างบ้านเป็นที่โล่ง เธอว่างูตัวใหญ่ขนาดนั้นจะนอนแอบข้างกระถางที่เล็กกว่าตัวเธอได้ไหม" ชายหนุ่มหันมาถามอีกคำ ว่าแต่ทำไมเขาไม่พูดมาเลยล่ะ จะถามให้เธอตอบทำไม
"เอ่อ...แต่ว่าเหมยเห็นจริง ๆ นะคะ" สาวน้อยพึมพำ เธอแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด เธอเห็นมันเลื้อยไปข้างกระถางจริง ๆ อย่างน้อยส่วนหางที่เห็นก็ยาวเกือบหนึ่งฟุตเลยนะ จะบอกว่าตาฝาดก็ไม่น่าใช่
"งั้นเราไปดูกัน" เขาบอกแล้วจูงมือเธอให้เดินมาใกล้กระถางต้นไม้ เหมยไม่ค่อยกล้าขยับเท่าไหร่นัก เธอกลัวจนเผลอจับชายเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่น ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่ามือสาวน้อยกำลังกำชายเสื้อเขาอยู่ก็ขยับยิ้ม ที่แกล้งสาวน้อยจนหวาดกลัวได้
"คุณระวังนะคะ" เธอบอกเสียงสั่น พยายามยืนข้างหลังเขาไว้
"แคบขนาดนี้งูไม่น่าซุกอยู่ได้นะ" เขาหันมาพูด และเห็นว่าสาวน้อยแววตาสั่นไหวแค่ไหน
"เหมยจะตาฝาดจริง ๆ เหรอคะ" เธอยังไม่วางใจง่าย ๆ
"ที่นี่เป็นบ้านไร่ มีงูก็คงไม่แปลก มันอาจเลื้อยเข้าป่าไปแล้วก็ได้ เธอไม่คิดงั้นเหรอ" ชายหนุ่มว่า และจูงมือเธอออกมาจากตรงนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีงูสักตัว
"คุณดูไม่ตกใจเลยนะคะ" สาวน้อยเงยหน้าถาม ดวงตากลมโตบ้องแบ๊วมองเขาราวรอคำตอบ
"ต้องตกใจแบบเธอด้วยหรือไง" เจ้าของใบหน้าคมก้มลงมาตอบ เบ้าหน้าฟ้าประทานของเขาที่โน้มลงมาระยะประชิด ทำเอาสาวน้อยหน้าร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"เอ่อ…" เหมยเม้มริมฝีปากแน่น มองจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ใบหน้าเธอเหลือเกิน
"อ้าว! คุณนิลกลับมาแล้วเหรอครับ แล้วนี่…" เสียงลุงสิงห์ที่เดินออกมาจากในบ้านทักขึ้น ทำให้สาวน้อยรีบถอยใบหน้าห่างจากเขาทันที
สายตาลุงสิงห์ที่มองมายังมือใหญ่ที่จับจูงมือสาวน้อยอยู่ ทำให้ชายวัยกลางคนอดอมยิ้มออกมาไม่ได้
'นี่คุณนิลสนิทกับคุณหนูเหมยเร็วขนาดนี้เชียว ดีจริง ๆ'
"เอ่อคือ…" เหมยเพิ่งจะรู้สึกตัวจึงรีบดึงมือออก นี่เธอปล่อยให้เขาจูงมืออยู่ได้เป็นนานสองนาน น่าขายหน้าจริง ๆ
"ตอนกลับมาบังเอิญเจอสาวน้อยนี่บอกว่าเห็นงู ฉันเลยช่วยเธอหา"
"คุณหนูเหมยเจองูที่ไหนครับ ตัวใหญ่รึเปล่า" ลุงสิงห์ถามขึ้น
"คือเหมยไม่เห็นทั้งตัวนะคะลุงสิงห์ รู้แค่ว่ามันตัวสีดำ แล้วหางก็เท่าข้อมือเหมยเลยค่ะ" สาวน้อยเล่าแล้วยกข้อมือเธอให้ลุงสิงห์ดู
"สีดำเหรอครับ เหอ ๆ จะมีงูตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไงครับ คุณหนูคงเหนื่อยจากการเดินทางจนตาฝาดไปแน่ ๆ" ได้ยินสาวน้อยตอบทำลุงสิงห์หัวเราะแห้ง ๆ เหล่สายตาไปทางเจ้านายแวบหนึ่ง
"ฉันพาเธอไปดูแล้ว แต่ไม่เจออะไร สาวน้อยอุตส่าห์กลัวแทบตายแน่ะ" ชายหนุ่มว่า หันมากระตุกยิ้มร้ายให้เธอ
"เหมยไม่ได้กลัวขนาดนั้นนะคะ" สาวน้อยรีบแย้ง ถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่พูดเกินไป
"แต่เธอเกาะฉันแจเลยนะ" ไม่วายเขายังพูดขึ้นมาให้เธอขายหน้า
“นี่คุณ…” สาวน้อยเถียงไม่ออก เพราะเธอเผลอเกาะเขาจริง ๆ
"แหม...เห็นคุณทั้งสองเข้ากันได้ผมก็สบายใจ รีบ ๆ แต่งนะครับ อุบ!" ลุงสิงห์พูดด้วยสีหน้าชื่นมื่น ก่อนจะรีบยกมือปิดปากตัวเอง ทำเอาสาวน้อยเงยมองหน้าชายหนุ่มที่เอาแต่ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์
"ลุงสิงห์หมายความว่ายังไงคะ ทำไมเหมยต้องแต่งกับเขาด้วย" เหมยเองก็ไม่ได้ซื่อขนาดที่จะเดาคำพูดลุงสิงห์ไม่ออก ไม่ได้แซวเธอเล่นแน่
"ตาเธอไม่ได้บอกรึไงว่าส่งเธอมาที่นี่ทำไม" ชายหนุ่มถาม
"ทำงานไงคะ" เหมยตอบแบบไม่ต้องคิดเยอะ
"งานอะไร?" เขาถามอีกคำ
"งาน...เอ่อ...งาน ที่นี่เป็นบ้านไร่ จะงานไร่งานสวนเหมยก็จะทำค่ะ" สาวน้อยตอบ
คุณตาไม่ได้บอกเธอเลยนี่นาว่าเจ้านายจะให้เธอทำงานเกี่ยวกับอะไร แล้วทำไมเธอต้องมาทนแรงกดดันของผู้ชายคนนี้ด้วย
"หึ! งานของเธอคือมาคอยปรนนิบัติฉันไงสาวน้อย" ชายตรงหน้าช่วยไขข้อข้องใจให้สาวน้อย เหมยถึงกับยืนอึ้งในคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้า นี่เขาคงไม่ใช่เจ้านายเก่าของคุณตาเธอใช่ไหม ทำไมเขาถึงยังดูหนุ่มแน่นขนาดนี้ล่ะ เหมยคิดว่าเจ้านายจะเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบขึ้นไป ที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วเสียอีก