มีเด็กมาขอพบท่านประธานค่ะ (1)
1
มีเด็กมาขอพบท่านประธานค่ะ
“ท่านประธานฯ คะ มีเด็กมาขอพบท่านค่ะ”
“เด็กเหรอ?” มือที่กำลังเปิดอ่านเอกสารในแฟ้มเกิดหยุดกึก คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยกับสิ่งที่เลขาฯ แจ้งผ่านอินเตอร์คอม
“ใช่ค่ะ ชื่อปกป้องกับปิงปิง ให้เข้าพบไหมคะ”
“เดี๋ยวนะ ลูกใคร?”
“อ้าว! ท่านประธานไม่รู้จักเหรอคะ”
“ก็ไม่รู้จักน่ะสิ แล้วตอนนี้เด็กพวกนั้นอยู่ไหนกัน ข้างล่างตึกเหรอ”
“เปล่าค่ะ อยู่หน้าห้องนี่แล้ว คุณปล...” เสียงของเลขาฯ เกิดสะดุดและทิ้งช่วงความเงียบให้ทำงาน แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็เอ่ยขึ้นใหม่อีกครั้ง “...อ๋อ เอ่อ เด็กๆ บอกว่าเป็นลูกของท่านประธานค่ะ…หา? เป็นลูก!”
“นี่คุณกำลังเล่นอะไรอยู่หรือเปล่าคุณนก”
“เปล่าๆ ค่ะ นกไม่ได้เล่นอะไรค่ะท่านประธานฯ เด็กสองคนอยู่หน้าห้องนี้แล้ว งั้นนกพาเข้าไปเลยนะคะ” นกหรือกนกอรกดปุ่มหยุดสนทนาทั้งที่ยังไม่มีคำอนุญาตจากเจ้านาย
ปราบต์ยังไม่ทันประมวลผลหาคำตอบ ประตูห้องทำงานก็เปิดออกกว้าง กนกอรวัยสี่สิบปีวาดยิ้มแหยเดินนำมาคนแรก ตามมาด้วยเด็กน้อยชายหญิงวัยเจ็ดขวบที่จูงมือกันเดินเข้ามา ต่างคนต่างสะพายกระเป๋าเป้กันคนละใบ
“ละ ลูกท่านประธานฯ ค่ะ” กนกอรรายงานเพียงเท่านั้นแล้วรีบเผ่นออกไป ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงรั้งที่ไล่ตามหลังของเจ้านาย
ดวงตาฉงนปนฉุนวาดกลับมาทางเด็กสองคนที่มองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เด็กผู้หญิงคล้ายจะยิ้ม แต่ก็คลี่ริมฝีปากไม่สุด ส่วนเด็กชายหน้านิ่ง เรียวคิ้วขมวดชนกันไม่ต่างจากปราบต์ ผู้บริหารวัยสามสิบแปดปีลุกจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมมาหาเด็กทั้งสอง
“นี่หนูสองคนเป็นใครครับ”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อปิงปิง” เด็กหญิงทำใจดีสู้เสือ พนมมือเล็กไหว้ย่อพร้อมยิ้มให้หวานหยด
“แล้วหนูมาทำอะไรกันที่นี่ครับ มาได้ยังไง ใครพาเข้ามา”
“เราสองคนมาตามหาพ่อค่ะ” ปิงปิงหรือเด็กหญิงไปรยาตามที่มารดาตั้งให้รับหน้าที่ตอบคำถาม พลางหันมองพี่ชายฝาแฝดที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องคนตัวสูงไม่วางตา ความกลัวของปกป้องมีเพียงเสี้ยวเดียวแค่ตอนที่เดินตามคุณน้าผู้หญิงเข้ามา และพอเผชิญหน้ากับเขาก็กลายเป็นความนิ่งเยือกเย็นอย่างที่เด็กเจ็ดขวบไม่ค่อยเป็นกัน
“พ่อเหรอ? พ่อหนูเป็นใคร”
ปิงปิงสะกิดพี่ชายราวกับบอกเป็นนัยว่าให้เขาช่วยพูดบ้าง แต่ปกป้องไหวไหล่ทำเมิน ปิงปิงเลยหันไปยิ้มกับคนตัวสูงที่เลิกคิ้วอย่างรอคอยคำตอบ
“คุณพ่อชื่อปราบต์ นามสกุลไกรกรัณย์ ทำงานอยู่ที่นี่ค่ะ คุณลุงรู้จักใช่ไหมคะ” อันที่จริงปิงปิงจะถามว่าใช่คุณลุงหรือเปล่าคะที่เป็นพ่อของหนูกับพี่ปกป้อง แต่ความกล้าของเด็กหญิงยังมีไม่มากพอ ก็คุณลุงคนนี้หน้าตาละม้ายคล้ายกับที่คุณยายให้ดูรูปเลย
ปราบต์อ้าปากเหวอ ความตกใจในสีหน้าทวีคูณยิ่งกว่าตอนที่เด็กสองคนเดินเตาะแตะเข้ามาเสียอีก พลางสายตาก็ไล่มองทั้งคู่หัวจรดเท้าอย่างถ้วนถี่
นี่ใครมันเล่นตลกกับเขาล่ะเนี่ย ครั้งหนึ่งปราบต์เคยพลาดทำผู้หญิงท้อง แต่ตอนนั้นเขาก็จัดการเรียบร้อยพร้อมรับตราบาปฝังใจมาตลอดแปดเก้าปี และนับจากนั้นยามเขานอนกับผู้หญิงคนไหนก็ป้องกันอย่างดีตลอด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ปราบต์จะพลาดทำผู้หญิงคนไหนท้องอีก
“ใครบอกหนู ใครพาหนูมา”
“กลับเถอะยัยปิง ไม่รู้จะมาทำไม อยากเห็นหน้าเขาก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นอยากได้เป็นพ่อเลยสักนิด”
เด็กชายปริปากพูดเป็นคำแรก และดึงความสนใจจากปราบต์ให้เบือนไปมองหน้าเด็กชายเต็มตา ปกป้องแอบใจตกไปอยู่ตาตุ่มนิดหน่อยเพราะดวงตาสงสัยคู่นั้นมีความน่ากลัวเจืออยู่ ปราบต์พิจารณาใบหน้าเด็กชายพลางหัวใจก็วูบๆ โหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก
นี่เขากำลังส่องกระจกมองตัวเองตอนเป็นเด็กอยู่หรือเปล่า?
“กลับกันเถอะปิงปิง” ปกป้องกระตุกมือน้องสาวอีกครั้ง “ได้เห็นหน้าเขาก็พอใจแล้วนี่ กลับไปโดนแม่โกรธแน่”
เด็กหญิงปิงปิงถอนหายใจก้มหน้าเซ็งที่พ่อไม่ยิ้มตอบเธอกับพี่ชายฝาแฝดเลยสักนิด ในเมื่อทุกอย่างผิดจากที่คาดแล้วจะดึงดันไปทำไม เด็กหญิงพยักหน้าแล้วก้าวขาตามพี่ไปทางประตู
“เดี๋ยวครับ เอ่อ หนูรู้ได้ไงว่าลุงเป็นพ่อหนู” ปราบต์ส่งคำถามและเด็กหญิงก็รีบหันมาตอบทันที
“คุณยายบอกค่ะ คุณยายให้ดูรูปและบอกว่าพ่อชื่อปราบต์ นามสกุลไกรกรัณย์”
ก่อนที่ประธานบริหารแห่ง KHT จะทันได้ยกมือเกาหัวแกรกๆ เด่นภูมิพร้อมด้วยปรมัตถ์น้องชายคลานตามกันมาของปราบต์ก็ผลักประตูเข้ามา ริมฝีปากฉีกยิ้มแฉ่ง แววตาของน้องชายทั้งสองเหมือนมีอะไรอยู่ในนั้น ปราบต์เข้าใจทันทีว่าไอ้น้องเวรกำลังอำเขาเล่นอยู่
“ฝีมือแกสองคนเหรอ ว่างกันมากหรือไงฮะ!” ปราบต์เอ็ดอย่างรักษาอารมณ์ไม่ให้เด็กตกใจกลัว สองแฝดยังอยู่ในห้องพลางแหงนมองคนนั้นคนนี้ตาปริบๆ
“ใจเย็นก่อนเฮีย ไม่รู้อะไรก็อย่าเพิ่งโวยเนอะ ไปคุยกันห้องปูนดีกว่า”
ปลื้มหรือเด่นภูมิพยักพเยิดพลางจะนำออกไป ก่อนนึกได้ว่าต้องบอกเด็กทั้งสองคน เด่นภูมิเป็นคนพาทั้งคู่มาส่งถึงหน้าห้องและสั่งให้เลขาฯ ของปราบต์พูดตามที่ตนสั่ง จากนั้นก็รออยู่ข้างนอก พอสบจังหวะที่เหมาะสมก็ปรากฏตัวพร้อมปรมัตถ์น้องคนเล็กของบ้านไกรกรัณย์
“ปกป้องกับปิงปิงรออาอยู่ที่ห้องนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวอามา”
“รีบมานะครับ ผมอยากกลับบ้าน”
“ครับ เดี๋ยวจะรีบมา” เด่นภูมินำออกไปแล้วและไม่ลืมวานให้กนกอรช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเด็กทั้งสอง
ปราบต์เหลียวกลับไปมองคนที่สมอ้างเป็นลูกของเขาอย่างไม่มีความเข้าใจอะไรในหัว ก่อนถอนสายตาและเดินตามน้องชายทั้งสองไปยังห้องทำงานของปรมัตถ์
“แกเล่นอะไรวะปลื้ม มันใช่เรื่องไหม เห็นความรู้สึกผิดของฉันเป็นเรื่องตลกเหรอ โตจนป่านนี้แต่เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้” ทันทีที่ประตูห้องทำงานของปรมัตถ์ปิดลง เสียงขุ่นของพี่ใหญ่ก็ตะคอกใส่เด่นภูมิทันที แต่คนโดนว่ากลับยิ้มหน้าตาย สะทกสะท้านหรือความตกใจในแววตาหามีไม่
“ใครบอก ไม่ได้ว่างและปัญญาอ่อนแบบนั้นซะหน่อย”
“แล้วที่แกทำอยู่คือมีปัญญามากเลยสินะ กับเรื่องที่ฉันเคยทำผู้หญิงท้องและให้เธอไปทำแท้ง มันเป็นเรื่องที่พวกแกตลกชอบใจกันมากใช่ไหม” ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นทุกข์กับบาปนี้มาตลอดแต่ยังเอามาล้อเล่น หากไม่เกิดเรื่องของเมรินทร์ภรรยาของปรมัตถ์ ปราบต์ก็คงเก็บตราบาปนี้เป็นความลับที่รู้เฉพาะตนไปจนตาย พอมีคนอื่นทราบเพิ่มมันก็เลยกลายเป็นความน่าหงุดหงิดเช่นนี้
“เฮียก็ใจเย็นๆ ก่อนสิ จะโมโหทำไม เฮียปลื้มเขาจะยี่สิบเก้าแล้วนะ อีกนิดก็สามสิบแล้ว เขาไม่เสียเวลาทำเรื่องปัญญาอ่อนหรอก” ปรมัตถ์เข้าข้างพี่คนรองพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน เขาก็เพิ่งทราบเรื่องทั้งหมดจากเด่นภูมิเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี่เองว่าพี่ชายไปเจอของดีอะไรที่เชียงใหม่
“ทีแรกผมแอบคิดว่าเฮียซุกลูกซุกเมียไว้ไม่กล้าเปิดเผย แล้วทำมาเป็นบอกพวกเราว่าให้เธอเอาเด็กออกไปแล้ว แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าเฮียไม่เคยเจอเด็กสองคนนั้นมาก่อน” วันที่เจอสองแฝดหลงทางที่ห้างสรรพสินค้า เด่นภูมิยอมรับว่าแอบคิดในแง่ร้ายกับพี่ชายจริง
“ก็ไม่เคยเจอน่ะสิ แกเล่นบ้าอะไรของแกวะปลื้ม”
“ผมกล้าสาบานเลยว่านี่คือเรื่องจริง เด็กสองคนนั้นเป็นลูกเฮีย เฮียไปตรวจดีเอ็นเอได้เลย ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ลูกเฮียผมจะยอมเปลี่ยนนามสกุลและเชิญตัดออกจากกองมรดกได้เลย จะไม่เอาอะไรสักอย่างด้วย”
เด่นภูมิกอดอกจ้องพี่ชายที่อายุนำเขาไปสิบปีเต็ม ความยียวนในสีหน้าน้องคนรองยังพอมีอยู่บ้าง แต่แววตาที่จ้องประสานกันมันเต็มไปด้วยความท้าทายที่มั่นใจ
“โห มั่นถึงขั้นให้ตัดจากกองมรดกเลยว่ะ” ปรมัตถ์พึมพำ พลางหยิบขนมเจลลี่เข้าปาก สลับมองพี่ทั้งสองที่จ้องตากันราวกับนักมวยบนสังเวียน
“เฮียบอกว่าเรื่องนั้นมันเป็นตราบาปที่ลืมไม่ลงใช่ไหม แล้วเฮียลืมหน้าผู้หญิงคนนั้นไปหรือยัง”
“ยัง”
กี่ร้อยกี่พันคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหากไม่ใช่คนสำคัญก็ไม่ถูกจัดอยู่ในสารบบความทรงจำ แต่เธอคนนั้นเพียงหนึ่งถึงสองครั้งที่พบพักตร์ และนับจากวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบเก้าปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าเธออีกเลย
แต่พื้นที่ในความทรงจำของปราบต์กลับถูกผู้หญิงคนนี้ครอบครอง ทุกองค์ประกอบบนใบหน้าเธอไม่เคยเลือนรางสักนิด