ลักขณากลับมาถึงกรุงเทพฯ รู้สึกเหนื่อยกับชีวิตที่มักมีแต่เรื่องยุ่งเหยิงให้ต้องเก็บมาคิด ตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งทำงานหาเงินเอง ชีวิตของเธอก็มีแต่เรื่องให้เหนื่อยไม่เคยจะสิ้นสุด
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดัง ครืด! ครืด! อยู่ภายในกระเป๋าสะพายใบเล็ก ทำให้เธอต้องรีบหยิบขึ้นมาแล้วก็กดรับสายอย่างไม่ให้คนปลายสายต้องรอนาน
"เธอกลับมาถึงห้องหรือยัง?"
"ค่ะเพิ่งมาถึง คุณปัทมีอะไรกับฉันอีกเหรอคะ?"
"ฉันแค่จะโทรมาถามเธอบอกแม่เธอเรียบร้อยแล้วใช่ไหม พ่อแม่ของฉันเขาอยากจะจัดงานแต่งในเร็ว ๆ นี้"
"ทำไมต้องเร็วล่ะคะ?"
"เขากลัวว่าท้องเธอจะโตและอับอายขายขี้หน้าคนอื่นเขาน่ะสิ"
"แต่คุณปัทคะ ฉันมีเรื่องจะขอร้อง" หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ อีกครั้ง เธอไม่อยากพูดเรื่องเงินกับปัทกรณ์เลยถ้าหากไม่มีความจำเป็นเช่นนี้
"แม่ฉันเรียกร้องค่าสินสอดจากคุณหนึ่งล้านบาท"
"อะไรนะหนึ่งล้านเชียวเหรอ แต่ฉันเพิ่งให้เธอไปสามแสนเมื่อเช้าเองนะ มันรวมด้วยหรือเปล่า?"
"ไม่ค่ะไม่ได้รวม ถ้าคุณจะกรุณาช่วยจ่ายให้ฉันด้วยนะคะแล้วฉันจะไม่รบกวนอะไรคุณอีกเลย"
สายโทรศัพท์ถูกตัดไปอีกครั้ง ภายใต้สายตาคู่สวยมีแต่ความตึงเครียดกับชีวิตที่อาจจะมีแต่ปัญหาเพิ่มเติมขึ้นมาอีกในอนาคต แค่วันนี้ก็รู้สึกเหนื่อยมากมายเหลือเกิน อย่าให้วันพรุ่งนี้ต้องเหนื่อยใจกับเรื่องพวกนี้อีกเลยก็แล้วกัน
"พ่อครับแม่ครับ ลักขณาเขาขอเงินค่าสินสอดหนึ่งล้านบาทนะครับ" ปัทกรณ์บอกความประสงค์ให้กับบุพการีทั้งสองได้รับรู้
"ฉันก็ว่าจะให้สักสามล้านอยู่นะมันจะได้สมเกียรติหน้าตากับลูกสะใภ้คนโตหน่อย" คุณทรงพลบอกอย่างไม่รู้สึกร้อนหนาวกับจำนวนเงินที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นสักนิด
"มากไปครับพ่อ ล้านนึงตามที่เขาเรียกขอมานั่นแหละ เพราะหลังจากนั้นลักขณาก็ต้องมาอยู่กินอยู่ใช้กับเรา ให้เยอะขนาดนั้นสิ้นเปลืองเปล่า ๆ"
ทำให้คนสูงวัยทั้งสองหันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง ลูกชายที่ใช้เงินอย่างกับกระดาษที่สามารถจัดพิมพ์ได้เองรายวัน ทำไมวันนี้ถึงได้กล้าพูดจาแบบนี้ขึ้นมาได้นะ
"แล้วแกบอกเขาหรือยังว่างานแต่งจะจัดขึ้นภายสามวันนี้ ไม่ต้องหาฤกษ์หายามหรอก เอาฤกษ์สะดวกมันก็มงคลกันทั้งนั้น" คุณทรงพลบอกกับลูกชายออกไปอีกครั้ง ปัทกรณ์ถึงกับหันไปจ้องมองหน้าบิดาอย่างรู้สึกอึ้ง
"ทำไมเร็วจังครับ ไหนพ่อว่าอีกเป็นอาทิตย์?"
"เขากำลังท้องกำลังไส้ แกจะให้รอไปอีกสามเดือนหรือยังไง ให้ท้องโตก่อนเหรอแกถึงจะจัดงานแต่งขึ้นมาได้"
"เราไม่ได้จัดงานใหญ่โตนี่ครับคุณพ่อ ก็มีแขกเหรื่อแค่ไม่กี่คนจะทำให้มันเร็วทำไม จัดเมื่อไหร่ก็ไม่เห็นจะแปลกสุดท้ายผมก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่ดี"
"แล้วแกจะประวิงเวลาไปให้มันยืดยาวทำไมนักหนาล่ะ จัดให้มันเสร็จเรียบร้อยจะได้ไม่ต้องมาคิดมากปวดหัวกับเรื่องพวกนี้อีก"
"โอ้ย! งั้นก็ตามใจคุณพ่อเถอะครับผมยังไงก็ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น ขออย่างเดียวเอางานเล็ก ไม่เอาใหญ่นะครับเอาเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้"
"ทำไม แกกลัวเสียคะแนนนิยมหรือกลัวผู้หญิงคนอื่นรู้ว่าแกแต่งงานมีเมียกับเขาแล้ว" คุณเพียงเพ็ญพูดแขวะลูกชายขึ้นเบา ๆ อีกครั้ง แม้นางจะไม่อยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ทว่าการแต่งงานของลูกชายมันก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีกับชีวิตของปัทกรณ์แล้วก็เป็นได้
"ช่างเถอะครับ ยังไงเขาก็คงได้เป็นแค่เมียแต่งของผม แต่ผมบอกคุณพ่อกับคุณแม่ไว้ก่อนนะว่าผมจะไม่จดทะเบียนสมรสกับลักขณา แต่ผมยอมแต่งงานเพื่อที่จะรับผิดชอบลูกที่กำลังจะเกิดมาเท่านั้น ขอตัวไปนอนก่อนนะครับพรุ่งนี้ผมมีประชุมเช้า"
ปัทกรณ์เดินจ้ำอ้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดหัวเสียยิ่งนัก
คุณทรงพลและคุณเพียงเพ็ญได้แต่จ้องมองพร้อมกับส่ายหน้าให้ อารมณ์ขึ้นลงไม่คงที่ยิ่งกว่าคนท้องก็มีให้เห็นบ่อยในพักหลังมานี้ ทำให้คนทั้งคู่แทบไม่อยากจะพูดคุยกับลูกชายเลยแม้แต่นิด
"นิสัยมันช่างต่างกันกับตาปุณณ์นักนะคุณว่าไหมคุณเพ็ญ นิสัยหัวดื้อเหมือนคุณไม่มีผิดเลย"
"พอลูกคนไหนนิสัยไม่ดีเข้าหน่อย คุณก็อยากให้เหมือนฉันหมดนั่นแหละคุณทรงพล ฉันขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ คุณอยากนั่งดูทีวีต่อก็เชิญตามสบายเลย"
สุดท้ายแล้วนางก็เดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านตามหลังลูกชายไปติด ๆ คุณทรงพลได้แต่ยืนมองพร้อมกับส่ายหัวให้กับคนเป็นภรรยาและลูกชายตัวดีที่ไม่เคยจะทำให้รู้สึกสบายใจได้เลยสักครั้ง
พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นภายในบ้านพงศ์การุณ เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา ไม่ใช่ว่าทางพ่อแม่เจ้าบ่าวไม่อยากจะจัดให้ แต่เป็นฝ่ายลักขณาเองที่ขอร้องอ้อนวอนว่าไม่ให้จัดงานแต่งที่ทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเธอรู้ดีว่านี่ก็เป็นความต้องการของปัทกรณ์ เขาคงไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าต้องแต่งงานและมีเมียที่ชื่อลักขณาอย่างเช่นเธอ
ครอบครัวของลักขณาเดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ของว่าที่เจ้าบ่าว ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจกับความมั่งคั่งและร่ำรวยของว่าที่สามีลักขณายิ่งนัก
"โอ้โหแม่ ผัวยายอุ้มดูท่าจะเป็นมหาเศรษฐีนะจ๊ะ" อารดาพี่สาวคนโตของลักขณาพูดกับมารดาขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นประกายเห็นได้ชัด
"ฉันก็ว่ามันต้องรวยมากเหมือนกันว่ะ ทำไมนางอุ้มมันมีวาสนาดีขนาดนี้วะ แต่งงานทั้งทีก็ได้แต่งกับมหาเศรษฐีเลยเหรอนี่" นางชบายิ้มปลื้มออกมาอย่างดีใจจนออกนอกหน้า
"แล้วแม่เรียกค่าสินสอดเขาไปเท่าไหร่จ๊ะ?"
"เรียกไปล้านนึงสิวะ ถ้ารู้แบบนี้ฉันเรียกสักสิบล้านก็จะดี"
"ไม่น่าเลยแม่เสียดายน่าจะเรียกเยอะ ๆ เราจะได้เอามาแบ่งกันใช้ไงจ๊ะ ต่อไปนี้เราจะได้ทำตัวเหมือนคนรวยบ้างแล้วจ้ะแม่" คนที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือยอย่างอารดา มองเห็นชีวิตที่สุขสบายของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว
"แกก็นะยายอาย แกทำไมไม่รู้จักหาผัวรวย ๆ อย่างน้องแกมั่ง จะไปเอาทำไมคนจน ๆ อย่างไอ้ทศวรรษนั่น" นางชบามิวายต่อว่าลูกสาวคนโตขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ นางไม่เคยปราบปลื้มกับลูกเขยคนโตที่มีเลยสักนิด นอกจากจะไม่รวยแล้วยังไม่เคยให้เงินใช้เลยสักบาท ค่าสินสอดไม่ต้องพูดถึงรอลูกสาวคนโตของนางไม่ได้สักบาทเลย
"แต่พี่ทศเขาก็รักฉันนะจ๊ะแม่ เขาก็ไม่ใช่คนจนแต่ก็ไม่ได้มั่งมีเท่ากับผัวยายอุ้มแค่นั้นเอง"
"เออ ๆ เลิกพูด" นางชบาและอารดายิ้มร่า เดินเข้าไปภายในบ้านหลังโตพร้อมเพรียงกันอย่างกับนางพญา
"ทำไมมันไม่มีแขกเยอะนะแม่" เสียงกระซิบกระซาบของพี่สาวและแม่เจ้าสาวก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ไม่รู้สิวะ เขาคงจัดงานเป็นการภายในก่อนหรือเปล่า ยังไม่ได้เลี้ยงฉลองจริงจังหรือว่ายังไงนะ คนรวยขนาดนี้เขาคงไม่จัดงานเล็ก ๆ แค่นี้หรอก"
"นั่นคงจะเป็นพ่อกับแม่ผัวยายอุ้มใช่ไหมแม่ ดูผู้ดีไฮโซมากเลยนะแม่" ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับและก้มมองดูเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่มาในวันนี้ ดูไม่ได้มีราคาหรูหราเหมือนอย่างเช่นที่ฝ่ายนั้นสวมใส่อยู่เลยแม้แต่น้อย
"ก็เขามันคนรวยนี่หว่า เดินเข้าไปทักทายเถอะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเสียมารยาท"
สองแม่ลูกเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้าน พร้อมกับยิ้มทักทายยกมือไหว้ทำความเคารพก่อนอย่างประจบประแจง