ณ โรงพยาบาล XX ห้องการเงิน
“คุณคะ… คุณจะผลัดค่าใช้จ่ายแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะคะ ตอนนี้คุณค้างค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลมาเกินกำหนดมาหลายรอบแล้ว ยังไงก็ต้องชำระค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่สาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบและชัดเจน ขณะมองตรงมาที่หญิงสาวในชุดนักศึกษาขนาดพอดีตัว
มิวา ธีรดา อัครวานิช หญิงสาวผมตรงดัดลอน ออกสีน้ำเงินนิด ๆ ที่มีใบหน้าเนียนขาวราวไข่ปอก
เธอก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือตัวเอง ตัวเลขยอดเงินในนั้นคงเหลือทำให้มือเธอสั่น
มันไม่พอ… ไม่แม้แต่จะจ่ายครึ่งหนึ่งของค่ารักษาน้องชาย
“ขอโทษนะคะ…” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
“ฉันแค่…มีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อย ขอเวลาอีกนิดได้ไหมคะ ฉันจะพยายามหาเงินมาจ่ายให้ครบแน่นอนค่ะ ถ้าหากเป็นไปได้ขอผ่อนชำระทีละนิดค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ย ด้วยใบหน้าที่อมทุกข์ เจ้าหน้าที่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหยุดลงที่ชุดนักศึกษาของเธอ
“งั้น…ให้เวลาอีกแค่สามวันนะคะ
ถ้ายังไม่สามารถจ่ายได้
ทางเราคงต้องย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล
และไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหน คุณก็ต้องเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่ค้างทั้งหมดก่อนอยู่ดีค่ะ”
มิวานิ่งงัน… น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่เย็นชา แต่มันคือความจริง
เธอไม่รู้จะวิ่งไปหาเงินก้อนโตนี้จากที่ไหนอีกแล้ว
แต่เธอไม่มีทางเลือก…
“ค่ะ…”
เรียวปากสีหวานเอ่ยตอบไปแผ่วเบา ทั้งที่ในใจยังมืดแปดด้าน
เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องการเงินด้วยหัวใจหนักอึ้ง
ชีวิตของเธอ…มันไม่เคยง่ายเลย
ภาพความทรงจำผุดขึ้นในหัวโดยไม่ทันตั้งตัว
วันที่พ่อกับแม่เสียชีวิต ตรงกับวันปัจฉิมของเธอพอดี
เพื่อนคนอื่นมีครอบครัวมาร่วมแสดงความยินดี
แต่เธอ…กลับนั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่งของโรงเรียน
พ่อแม่จากไปกะทันหัน ทิ้งมรดกไว้เพียงก้อนเดียว
ญาติที่ควรดูแลกลับฮุบทรัพย์ไปเกือบหมด เหลือไว้แค่เพียงเล็กน้อยให้เธอกับน้องชาย
ตอนนั้น ภูวา ยังสุขภาพดี ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป
เธอเลือกเรียนคณะอักษร เพราะหวังว่าจะจบออกมาทำงานเกี่ยวกับภาษา หรือเป็นครู เป็นล่าม
หาเลี้ยงน้องได้อย่างมั่นคง
ทว่า…โชคชะตากลับโหดร้ายไปกว่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ภูวาก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ ร่างกายอ่อนแรง อวัยวะบางส่วนขยับไม่ได้
หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคหายาก ไม่มีวิธีรักษาโดยตรง ต้องดูแลประคองอาการไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงพุ่งสูงขึ้นทุกเดือน
อีกทั้งเงินก้อนที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก็เริ่มร่อยหรอ
จนกระทั่งตอนนี้ เธออยู่ปี 4 ปีสุดท้ายของการเรียน…
แต่เงินในบัญชีกลับไม่พอจ่ายค่าเทอม และไม่พอแม้แต่จะยื้อเวลารักษาน้องได้อีกไม่กี่วัน
ตอนนี้มิวากำลังจมน้ำในทะเลของความจริงที่โหดร้าย
ไม่มีใครให้พึ่ง ไม่มีญาติคนไหนเหลียวแล
เธอ…ต้องยืนหยัดอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่เคยปรานี
ทันใดนั้นเอง...
ครืด... ครืด...
เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นในกระเป๋ากระโปรง
มิวาหยิบขึ้นมาดู เป็นเบอร์ของมหาวิทยาลัย
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ นิสิต... มิวา ธีรดา อัครวานิช ใช่ไหมคะ?”
มิวาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น
“ค่ะ...”
ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าคำพูดกลับกดทับลงบนหัวใจเธอหนักอึ้ง
“ทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่า ตอนนี้คุณยังไม่ได้ชำระค่าเทอมนะคะ
อีกไม่กี่วันจะเปิดเทอมแล้ว หากยังไม่ชำระ จะลงทะเบียนวิชาเรียนไม่ได้
คุณอยู่ปี 4 ปีสุดท้ายแล้ว จะมีฝึกงานด้วย
ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ
ทางเรามีระบบผ่อนจ่าย หรือเลือกจ่ายบางส่วนก่อนก็ได้นะคะ
แต่อย่าลืมลงทะเบียนเรียนภายในกำหนดนะคะ”
“ค่ะ... เดี๋ยวฉันจะติดต่อกลับไปนะคะ”
เธอตอบอย่างสุภาพก่อนกดวางสาย
ติ๊ด!
เสียงสัญญาณตัดดัง "ติ๊ด" พร้อมกับลมหายใจที่หลุดออกมาหนัก ๆ จากอก
ค่าเทอม...
อีกเรื่องหนึ่งที่เธอไม่มีทางจ่ายไหวในตอนนี้
แม้จะเป็นเพียงยอดเดียวในระบบ แต่สำหรับเธอ...มันคือกำแพงอีกชั้น ที่ไม่มีแรงจะข้าม
เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกโลกทั้งใบไล่ต้อน
เงินที่ไม่มี
น้องชายที่ป่วย
ค่าเทอม
ค่ารักษา
และชีวิตที่ดูไม่มีทางออกเลยสักทางเดียว...
อีกด้านหนึ่งของเมือง ภายในงานศพของคู่สามีภรรยาผู้ทรงอิทธิพล
บรรยากาศในศาลาสวดศพเงียบสงัด มีเพียงเสียงบทสวดและเสียงกระซิบกระซาบของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
ไซม่อน สิรวัฒน์ ธนพัฒน์ชัย นักศึกษาวิศวะปีที่ 4
ยืนอยู่หน้ารูปถ่ายของพ่อและแม่ ใบหน้าเรียบเฉย ร่างสูงในชุดสูทดำสนิทราวกับรูปปั้นหินอ่อน
แม้สายตาจะมองตรงไปยังพวงหรีดและโกศ แต่ในใจ... ว่างเปล่า
ไม่มีน้ำตา
ไม่มีเสียงสะอื้น
ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโกรธหรือเจ็บ
มีเพียงความเงียบ...และความว่างเปล่าที่ล้อมรอบ
“เสียใจด้วยนะลูก”
เสียงผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจ กล่าวพลางตบบ่าหนุ่มตรงหน้าเบา ๆ
ไซม่อนขยับยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ถึงดวงตา
“ขอบคุณครับ”
เขากล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ เนิบนาบ สุภาพ และห่างเหิน
คนภายนอกอาจมองว่าเขาเข้มแข็ง
แต่แท้จริงแล้ว...เขาชินกับการปิดบังความรู้สึก
ความตายของพ่อแม่จากอุบัติเหตุรถยนต์ไม่ได้ทำให้เขาร้องไห้
เพราะก่อนหน้านั้น...ความสัมพันธ์ภายในบ้านก็เย็นชาราวน้ำแข็งอยู่แล้ว
ในตระกูลธนพัฒน์ชัย...ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งจำเป็น
เด็กชายสิรวัฒน์เติบโตมาพร้อมกับบทเรียนเรื่อง "หน้าที่" และ "อำนาจ" มากกว่าความรัก
เขารู้ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะว่า
วันหนึ่งเขาต้องขึ้นแทนพ่อ เป็นหัวหน้าตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจสีเทาที่ซ่อนโลกกลางคืนไว้เบื้องหลังธุรกิจถูกกฎหมาย
และวันนั้น... ก็มาถึงเร็วกว่าที่ใครคาดคิด ส่วนเขาเองก็ไม่ได้อยากรับช่วงต่อจากพ่อเลยแม้สักวินาทีเดียว