บทที่ 1 ทางตัน

1092 คำ
ณ โรงพยาบาล XX ห้องการเงิน “คุณคะ… คุณจะผลัดค่าใช้จ่ายแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะคะ ตอนนี้คุณค้างค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลมาเกินกำหนดมาหลายรอบแล้ว ยังไงก็ต้องชำระค่ะ” เสียงเจ้าหน้าที่สาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบและชัดเจน ขณะมองตรงมาที่หญิงสาวในชุดนักศึกษาขนาดพอดีตัว มิวา ธีรดา อัครวานิช หญิงสาวผมตรงดัดลอน ออกสีน้ำเงินนิด ๆ ที่มีใบหน้าเนียนขาวราวไข่ปอก เธอก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือตัวเอง ตัวเลขยอดเงินในนั้นคงเหลือทำให้มือเธอสั่น มันไม่พอ… ไม่แม้แต่จะจ่ายครึ่งหนึ่งของค่ารักษาน้องชาย “ขอโทษนะคะ…” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ฉันแค่…มีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อย ขอเวลาอีกนิดได้ไหมคะ ฉันจะพยายามหาเงินมาจ่ายให้ครบแน่นอนค่ะ ถ้าหากเป็นไปได้ขอผ่อนชำระทีละนิดค่ะ” เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ย ด้วยใบหน้าที่อมทุกข์ เจ้าหน้าที่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหยุดลงที่ชุดนักศึกษาของเธอ “งั้น…ให้เวลาอีกแค่สามวันนะคะ ถ้ายังไม่สามารถจ่ายได้ ทางเราคงต้องย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล และไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหน คุณก็ต้องเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่ค้างทั้งหมดก่อนอยู่ดีค่ะ” มิวานิ่งงัน… น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่เย็นชา แต่มันคือความจริง เธอไม่รู้จะวิ่งไปหาเงินก้อนโตนี้จากที่ไหนอีกแล้ว แต่เธอไม่มีทางเลือก… “ค่ะ…” เรียวปากสีหวานเอ่ยตอบไปแผ่วเบา ทั้งที่ในใจยังมืดแปดด้าน เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องการเงินด้วยหัวใจหนักอึ้ง ชีวิตของเธอ…มันไม่เคยง่ายเลย ภาพความทรงจำผุดขึ้นในหัวโดยไม่ทันตั้งตัว วันที่พ่อกับแม่เสียชีวิต ตรงกับวันปัจฉิมของเธอพอดี เพื่อนคนอื่นมีครอบครัวมาร่วมแสดงความยินดี แต่เธอ…กลับนั่งร้องไห้อยู่มุมหนึ่งของโรงเรียน พ่อแม่จากไปกะทันหัน ทิ้งมรดกไว้เพียงก้อนเดียว ญาติที่ควรดูแลกลับฮุบทรัพย์ไปเกือบหมด เหลือไว้แค่เพียงเล็กน้อยให้เธอกับน้องชาย ตอนนั้น ภูวา ยังสุขภาพดี ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป เธอเลือกเรียนคณะอักษร เพราะหวังว่าจะจบออกมาทำงานเกี่ยวกับภาษา หรือเป็นครู เป็นล่าม หาเลี้ยงน้องได้อย่างมั่นคง ทว่า…โชคชะตากลับโหดร้ายไปกว่านั้น ไม่นานหลังจากนั้น ภูวาก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ ร่างกายอ่อนแรง อวัยวะบางส่วนขยับไม่ได้ หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคหายาก ไม่มีวิธีรักษาโดยตรง ต้องดูแลประคองอาการไปเรื่อย ๆ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงพุ่งสูงขึ้นทุกเดือน อีกทั้งเงินก้อนที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก็เริ่มร่อยหรอ จนกระทั่งตอนนี้ เธออยู่ปี 4 ปีสุดท้ายของการเรียน… แต่เงินในบัญชีกลับไม่พอจ่ายค่าเทอม และไม่พอแม้แต่จะยื้อเวลารักษาน้องได้อีกไม่กี่วัน ตอนนี้มิวากำลังจมน้ำในทะเลของความจริงที่โหดร้าย ไม่มีใครให้พึ่ง ไม่มีญาติคนไหนเหลียวแล เธอ…ต้องยืนหยัดอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่เคยปรานี ทันใดนั้นเอง... ครืด... ครืด... เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นในกระเป๋ากระโปรง มิวาหยิบขึ้นมาดู เป็นเบอร์ของมหาวิทยาลัย เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดรับสาย “สวัสดีค่ะ นิสิต... มิวา ธีรดา อัครวานิช ใช่ไหมคะ?” มิวาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น “ค่ะ...” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าคำพูดกลับกดทับลงบนหัวใจเธอหนักอึ้ง “ทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่า ตอนนี้คุณยังไม่ได้ชำระค่าเทอมนะคะ อีกไม่กี่วันจะเปิดเทอมแล้ว หากยังไม่ชำระ จะลงทะเบียนวิชาเรียนไม่ได้ คุณอยู่ปี 4 ปีสุดท้ายแล้ว จะมีฝึกงานด้วย ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ ทางเรามีระบบผ่อนจ่าย หรือเลือกจ่ายบางส่วนก่อนก็ได้นะคะ แต่อย่าลืมลงทะเบียนเรียนภายในกำหนดนะคะ” “ค่ะ... เดี๋ยวฉันจะติดต่อกลับไปนะคะ” เธอตอบอย่างสุภาพก่อนกดวางสาย ติ๊ด! เสียงสัญญาณตัดดัง "ติ๊ด" พร้อมกับลมหายใจที่หลุดออกมาหนัก ๆ จากอก ค่าเทอม... อีกเรื่องหนึ่งที่เธอไม่มีทางจ่ายไหวในตอนนี้ แม้จะเป็นเพียงยอดเดียวในระบบ แต่สำหรับเธอ...มันคือกำแพงอีกชั้น ที่ไม่มีแรงจะข้าม เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกโลกทั้งใบไล่ต้อน เงินที่ไม่มี น้องชายที่ป่วย ค่าเทอม ค่ารักษา และชีวิตที่ดูไม่มีทางออกเลยสักทางเดียว... อีกด้านหนึ่งของเมือง ภายในงานศพของคู่สามีภรรยาผู้ทรงอิทธิพล บรรยากาศในศาลาสวดศพเงียบสงัด มีเพียงเสียงบทสวดและเสียงกระซิบกระซาบของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ไซม่อน สิรวัฒน์ ธนพัฒน์ชัย นักศึกษาวิศวะปีที่ 4 ยืนอยู่หน้ารูปถ่ายของพ่อและแม่ ใบหน้าเรียบเฉย ร่างสูงในชุดสูทดำสนิทราวกับรูปปั้นหินอ่อน แม้สายตาจะมองตรงไปยังพวงหรีดและโกศ แต่ในใจ... ว่างเปล่า ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโกรธหรือเจ็บ มีเพียงความเงียบ...และความว่างเปล่าที่ล้อมรอบ “เสียใจด้วยนะลูก” เสียงผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจ กล่าวพลางตบบ่าหนุ่มตรงหน้าเบา ๆ ไซม่อนขยับยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ถึงดวงตา “ขอบคุณครับ” เขากล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ เนิบนาบ สุภาพ และห่างเหิน คนภายนอกอาจมองว่าเขาเข้มแข็ง แต่แท้จริงแล้ว...เขาชินกับการปิดบังความรู้สึก ความตายของพ่อแม่จากอุบัติเหตุรถยนต์ไม่ได้ทำให้เขาร้องไห้ เพราะก่อนหน้านั้น...ความสัมพันธ์ภายในบ้านก็เย็นชาราวน้ำแข็งอยู่แล้ว ในตระกูลธนพัฒน์ชัย...ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งจำเป็น เด็กชายสิรวัฒน์เติบโตมาพร้อมกับบทเรียนเรื่อง "หน้าที่" และ "อำนาจ" มากกว่าความรัก เขารู้ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะว่า วันหนึ่งเขาต้องขึ้นแทนพ่อ เป็นหัวหน้าตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจสีเทาที่ซ่อนโลกกลางคืนไว้เบื้องหลังธุรกิจถูกกฎหมาย และวันนั้น... ก็มาถึงเร็วกว่าที่ใครคาดคิด ส่วนเขาเองก็ไม่ได้อยากรับช่วงต่อจากพ่อเลยแม้สักวินาทีเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม