Chapter 5

1832 คำ
Chapter 5 วันต่อมา... ยาหยีลืมตาตื่นในเวลาหกโมงเช้า จากนั้นก็หันไปมองคนข้างกายที่นอนห่างกันหนึ่งช่วงแขน เมื่อเห็นว่าเขายังนอนหลับอยู่ ยาหยีจึงขยับตัวลงจากเตียงเบา ๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว สิบห้านาทีต่อมาเมื่อหญิงสาวออกจากห้อง อาทิตย์และจันทร์ฉายไม่ได้อยู่หน้าห้องแล้ว พอลงมาชั้นล่างบรรยากาศก็เงียบกริบ ยาหยีก็เลยเดาได้ว่าพวกท่านน่าจะกลับคฤหาสน์ไปแล้ว คฤหาสน์ของตระกูลเตชะอมรทรัพย์ตั้งตระหง่านอยู่ย่านใจกลางเมืองบนอาณาจักรของพวกเขา โดยจะมีบ้านของจันทร์เจ้าลูกสาวคนโตของอาทิตย์อยู่หลังถัดจากคฤหาสน์ บ้านของหมอสายลมจะอยู่หลังที่สาม และบ้านของวายุจะอยู่หลังสุดท้าย ถึงแม้พวกเขาจะแยกบ้านอยู่คนละหลัง แต่ทว่าลูก ๆ ของอาทิตย์ก็มักจะแวะเวียนไปนอนค้างที่คฤหาสน์เป็นประจำ และตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเดือนก่อน วายุเป็นคนเดียวที่ไม่เคยนอนค้างที่คฤหาสน์อีกเลย “เมี้ยว ~” เจ้าแมวตัวอ้วนขนสีขาวผสมสีน้ำตาลส่งเสียงร้องเมี้ยว ๆ อย่างดีใจ มันเอาขนฟู ๆ ไปถูไถที่ขาเรียว เพื่อเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาว ด้วยความที่ยาหยีและยูริไม่เคยห่างกันข้ามคืน แต่เมื่อคืนทั้งคู่ต้องห่างกันเป็นครั้งแรกเพราะยาหยีต้องเข้าห้องหอตามพิธีแต่งงาน “เมื่อคืนไปอยู่บ้านป้าจันทร์เจ้า หนูคิดถึงหม่ามี้ไหมยูริ” ยาหยีโน้มตัวอุ้มยูริมากอดหอมด้วยความคิดถึง ยูริเป็นแมวที่พ่อแม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุสิบสี่ปี ยูริจึงเปรียบเสมือนคนในครอบครัวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ของยาหยี “เมี้ยว ๆ” ยูริเอาลิ้นเย็น ๆ ของมันตวัดเลียแก้มเนียนใส แล้วส่งเสียงร้องไม่หยุด “ร้องอ้อนแบบนี้คิดถึงหม่ามี้มากล่ะสิ หม่ามี้ก็คิดถึงยูริที่สุดเลยลูก” ยาหยีเอามือนุ่มนิ่มลูบหัวยูริพร้อมทั้งก้มจุมพิตยูริตามตัวด้วยความรัก และเมื่อหญิงสาวกอดหอมเจ้ายูริจนหายคิดถึง ยาหยีก็ไปเทอาหารให้ยูริกิน เธอนั่งเฝ้ายูริกินอาหารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละตัวเดินเข้าครัวไปทำมื้อเช้าเตรียมไว้ให้วายุ ยี่สิบนาทีต่อมา ในขณะที่ยาหยีกำลังจัดอาหารวางไว้บนโต๊ะ ก็ได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย หญิงสาวจึงเงยหน้ามองไปทางบันไดก็เห็นวายุเดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ต่อให้เขาจะทำหน้านิ่ง ความหล่อของเขาก็ฟุ้งกระจาย หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเขาใช้ความหล่อได้เปลืองมาก “อาหารเช้าเสร็จพอดีเลยค่ะเฮีย...” ยาหยีเอ่ยบอกวายุด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่ได้นึกถึงคำพูดของเขาหรือเรื่องราวเมื่อคืนให้ขุ่นใจ เพราะเธอถือคติที่ว่า เช้าวันใหม่หากเราสร้างพลังบวก สิ่งดี ๆ จะดึงดูดเข้าหาตัวเรา แต่อีกคนกลับไม่ได้คิดแบบนี้ เพราะคนตัวสูงเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง โดยไม่ได้สนใจเสียงใส ๆ ที่พูดกับเขาแม้แต่น้อย “วันนี้หนูทำเมนูโปรดของเฮียด้วยนะคะ...” ยาหยียังคงพูดต่อด้วยความเอาอกเอาใจ เพราะคนรักสุขภาพอย่างเขา มื้อเช้ามักจะเลือกกินเมนูที่ได้รับสารอาหารเป็นโปรตีน ซึ่งแซนด์วิชอกไก่ไข่ต้มเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เขาชอบมาก ในขณะที่หญิงสาวกำลังโพรโมตอาหารราวกับเชฟภัตตาคาร คนตัวสูงที่กำลังจะเดินออกจากบ้านชะงักหยุดเดินแล้วหันมามองหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ผิวพรรณขาวผ่องสว่างออร่าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่ามาทำเป็นรู้ดี ว่าฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะหากเธอรู้ใจฉันจริง เธอก็คงจะรู้ตัวว่าฉันไม่ชอบเธอเลยสักนิด...” “...” คำพูดเจ็บแสบที่พูดย้ำซ้ำ ๆ ว่าเขาไม่ชอบเธอนั้น ทำลายพลังบวกของเธอในเช้านี้จนหมดสิ้นราวกับโดนเขาทุบตีหัวใจจนรู้สึกจุกอก “หึ...” เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะบีบน้ำตาใส่เขา วายุก็ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านไป “เมี้ยว ๆ” ยูริส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกับเสียงรถสปอร์ตที่ขับออกจากบ้าน “หม่ามี้ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย โดนลุงดุนิดเดียวเอง” ถึงจะบอกยูริไปแบบนั้น แต่ทว่าหญิงสาวก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น อุ้มยูริมากอดไว้แนบอก เอาใบหน้าซบลงบนตัวยูริจนขนฟู ๆ นุ่ม ๆ เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตา ยาหยีนั่งกอดยูริราวสิบนาที เธอก็รู้สึกดีขึ้น จึงปล่อยยูริออกจากอ้อมกอด ก่อนที่จะเอาแซนด์วิชที่เขาไม่กิน บรรจุใส่กล่องอาหาร จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ในวันนี้เธอเลือกใส่เดรสสีขาวแขนกุดสวมทับด้วยเสื้อสูทสีชมพูละมุนตา และสวมรองเท้าส้นเข็มไม่ต่างจากไปเดินบนรันเวย์ ถึงยาหยีจะมีนิสัยชอบเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในใจ แต่เรื่องการแต่งตัวหญิงสาวก็มักจะโดดเด่นอยู่เสมอ ซึ่งมันช่วยส่งเสริมให้บุคลิกของหญิงสาวดูสวยสะดุดตาต่อคนที่พบเห็น หรือจะพูดง่าย ๆ ว่ายิ่งโตยิ่งสวยสะพรั่ง หลังจากหมุนตัวหนึ่งรอบอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจการแต่งกาย เธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าใบเล็กมาพาดไหล่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแมวเดินลงไปชั้นล่าง แล้วอุ้มยูริใส่กระเป๋า จากนั้นก็ล้วงหยิบมือถือเข้าแอปเรียกแกร็บแท็กซี่ ยาหยีทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนของตระกูลเตชะอมรทรัพย์ เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย และเลือกเรียนปริญญาตรีในวันอาทิตย์ เพราะอยากเอาเวลามาทำงานตอบแทนบุญคุณลุงอาทิตย์ที่อุปถัมภ์เลี้ยงดูเธอมาอย่างดีตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอจากไป ยาหยีเดินทางมาถึงโรงพยาบาลประมาณแปดโมง และเมื่อหญิงสาวลงจากรถแท็กซี่ก็เงยหน้ามองตึกสูงยี่สิบชั้น ซึ่งเธอทำงานอยู่ชั้นเดียวกับเจ้าของโรงพยาบาล โดยที่ทางโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ชั้นหนึ่งถึงสิบเจ็ดเป็นชั้นสำหรับบริการทางการแพทย์ ส่วนชั้นที่สิบแปดเป็นชั้นสำหรับแอดมิตของคนในตระกูลเตชะอมรทรัพย์ ชั้นที่สิบเก้าจะเป็นออฟฟิศ และชั้นที่ยี่สิบเป็นชั้นทำงานเจ้าของโรงพยาบาล ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้าไปในอาคารที่ตกแต่งภายในโรงพยาบาลราวกับโรงแรมห้าดาว เธอก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพราะรู้สึกประหม่ากับสถานะใหม่ที่กลายเป็นภรรยาของทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลเตชะอมรทรัพย์ แต่ในระหว่างที่หญิงสาวเดินไปขึ้นลิฟต์ ความประหม่าก็ลดน้อยลง เมื่อเจ้าหน้าที่ พยาบาล และคุณหมอที่เห็นยาหยีต่างพากันยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ติ๊ง! เสียงประตูลิฟต์เปิดออกชั้นยี่สิบ ในระหว่างที่ยาหยีกำลังจะเดินไปห้องทำงานฝั่งทางด้านซ้าย ฝีเท้าเล็กก็ชะงักหยุดอยู่กับที่บริเวณหน้าลิฟต์ เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของวายุดังออกมาจากห้องทำงานใหญ่ทางฝั่งด้านขวาตั้งแต่เช้า... “ทำไมพี่กวินทร์ไม่เอาใบ PR มาให้ผมดูก่อนที่จะสั่งซื้อยา” “ที่ผ่านมาการสั่งซื้อยาต่าง ๆ ในโรงพยาบาลมันเป็นหน้าที่ของพี่โดยตรง ทำไมพี่ต้องเอาใบ PR มาให้นายดูก่อนด้วยล่ะ” “พี่คงลืมไปสินะ...ว่าต่อไปอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะทุกอย่างในโรงพยาบาล โดยเฉพาะการสั่งซื้อยารักษาโรคต้องผ่านผมก่อน” วายุแสดงสีหน้าจริงจัง เวลาทำงานเขาไม่นับญาติกับใครทั้งนั้น นี่เป็นนิสัยอีกอย่างที่น่ากลัวของวายุ “อืม...พี่คงลืมไปจริง ๆ งั้นยารักษาโรคล็อตนี้ เดี๋ยวพี่จะทำรายงานส่งให้นายย้อนหลังก็แล้วกันนะ” “ผมขอรายงานไม่เกินเที่ยงนี้” “โอเคครับ” กวินทร์ก้มศีรษะให้น้องชายเมียที่อายุน้อยกว่าสิบปี จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องทำงานของรองประธานกรรมการที่กำลังเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานกรรมการสูงสุดของโรงพยาบาล และในจังหวะที่หมอกวินทร์เดินออกจากห้องทำงานของวายุ ยาหยีที่เดินหลบไปห้องทำงานทางฝั่งซ้ายไม่ทัน หญิงสาวก็เลยทักทายหมอกวินทร์ด้วยรอยยิ้มสดใส เพื่อกลบพิรุธไม่ให้หมอกวินทร์รู้ว่าเธอแอบฟังเขาคุยงานกับวายุ “สวัสดีค่ะพี่หมอกวินทร์” “สวัสดีครับน้องยาหยี ว่าแต่ทำไมน้องยาหยีไม่พาสามีไปฮันนีมูนครับเนี่ย มาถึงที่ทำงานก็เรียกพี่มาวีนแต่เช้าเลย” กวินทร์พูดเหมือนฟ้องด้วยสีหน้าขำราวกับเจอเรื่องตลกตั้งแต่เช้า “แฮ่...” ยาหยีได้แต่ยิ้มแห้งออกมา พลางคิดในใจว่าเธอจะกล้าหิ้วสามีไปนั่นไปนี่ได้ยังไงนะ หมอกวินทร์ก็พูดไปเรื่อย พอหมอกวินทร์เห็นยาหยียิ้มแห้ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นกลั้นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยพูดว่า “งั้นพี่ขอตัวไปทำรายงานส่งให้สามีของหนูก่อนนะ” “ค่าพี่หมอ” ยาหยีก้มหัวให้กวินทร์เล็กน้อยอย่างเขิน ๆ เพราะไม่ชินกับคำว่า ‘สามีของหนู’ เลยสักนิด และหลังจากหมอกวินทร์เดินเข้าลิฟต์ไปแล้ว ยาหยีก็เดินไปห้องทำงานทางฝั่งซ้าย และในขณะที่หญิงสาวกำลังอุ้มยูริออกจากกระเป๋าวางที่เบาะนิ่มบริเวณโต๊ะทำงานหน้าห้อง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนใหม่ที่มาถึงทีหลังเธอไม่นานก็เอ่ยขึ้น “หนูมาทำงานด้วยเหรอยาหยี พี่ก็นึกว่าหนูไปฮันนีมูนซะอีก” หมอหนุ่มจบใหม่วัยยี่สิบห้าปี ทักทายพี่สะใภ้ที่อายุน้อยกว่าเขาเจ็ดปี “แล้วพี่หมอจะให้หนูไปฮันนีมูนกับใครคะ” ยาหยีถามกลับพร้อมถอนหายใจ ที่ใครต่อใครก็อยากให้เธอไปฮันนีมูนกับวายุทั้งที่ก็รู้ว่าวายุเกลียดเธอแค่ไหน “เอ้า...สามีของพี่สะใภ้ไงครับ” สายลมบุ้ยปากไปทางห้องทำงานฝั่งขวา ที่เดิมที่ยาหยีนั่งทำงานเป็นผู้ช่วยหน้าห้องนั้น แต่ทว่าเมื่อเดือนก่อน วายุไล่ยาหยีให้มาเป็นผู้ช่วยเขา “แค่หน้าหนูเฮียวายุก็ยังไม่อยากมองเลยค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม