“คนรู้จักเหรอ แอล?”
เพชร บาริต้ารุ่นพี่ที่กำลังผสมเครื่องดื่มหลังบาร์เอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นอลิสาฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
“เปล่าค่ะพี่... คนที่ไม่อยากรู้จักในมหา’ลัยต่างหาก” เธอฝืนยิ้ม ตอบเสียงเบาอย่างปลงตก
เพชรเหลือบตามองเธออย่างเข้าใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี “ถ้าไม่โอเค ให้พิงไปเสิร์ฟแทนก็ได้นะ”
พิง หรือพักพิง เป็นเพื่อนร่วมงานที่อายุไล่เลี่ยกัน ต่างกันตรงที่อีกฝ่ายเลือกทำงานเต็มเวลา ไม่ได้เรียนต่อเหมือนเธอ
ครั้งก่อนก็เป็นพิงนี่แหละ... ที่เผลอเมาท์เรื่อง ‘เมียของขวัญ’ ให้เธอฟัง
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เพชร แอลเสิร์ฟเองดีกว่า ขี้เกียจมีปัญหาให้ปวดหัว”
อลิสาว่าอย่างเอือม ๆ ขณะรับถาดเครื่องดื่มไปจากมือรุ่นพี่ ก่อนจะสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก แล้วหันหน้าไปเผชิญกับโต๊ะลูกค้าเจ้าปัญหานั้นอีกครั้ง
“นี่... ได้ข่าวว่าเธอติดหนี้ค่าเทอมอยู่เหรอ?”
เสียงหวานที่แฝงด้วยความเหยียดหยันดังขึ้นจากกิ่งแก้ว ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีจัดยกยิ้มเย้ย มือเรียวยกแก้วขึ้นจิบอย่างอวดดี
อลิสาชะงัก ดวงตาคมเหลือบมองเจ้าของคำถามเพียงแวบเดียวก่อนจะหันหน้าหนี เธอไม่ตอบ ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้คนแบบนั้นฟัง
เรื่องนี้มีเพียงชนกันต์แฟนเก่าของเธอเท่านั้นที่รู้ และดูเหมือนว่าต้นตอก็คงมาจากเขา
“ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว ต้องไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นต่อ”
เสียงของเธอราบเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยความอดทน ขาเรียวหมุนกายเตรียมจะผละไป
“เดี๋ยวสิ ยังไม่จบ”
กิ่งแก้วเอ่ยขัด พร้อมวางแก้ววอดก้าชั้นดีลงบนโต๊ะเสียงดัง ก่อนจะหยิบธนบัตรสีเทาสิบใบมาวางเคียงข้าง
“ดื่มให้หมดสิ แล้วเงินหมื่นนี่เป็นของเธอ... ถือว่าเพื่อนร่วมสถาบันคนนี้เมตตา ช่วยค่าเทอมนิดหน่อย”
คำพูดของเธอชวนสะอิดสะเอียนกว่ารอยยิ้มที่แนบมาเสียอีก พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งกันอย่างสบายใจในมุมของผู้ชนะ
อลิสายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเรียบเฉยกวาดมองไปยังใบหน้าเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยความสะใจและความทะนงตน
พวกเขา... แค่โชคดีที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่เคยรู้เลยว่าการต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับข้าวในจานมันรู้สึกยังไง
เงินหมื่นสำหรับเธอคือค่าห้อง ค่ากับข้าว ค่าหนังสือของน้องชาย มันไม่ใช่ตัวเลขที่เธอสามารถเมินเฉยได้ง่าย ๆ
โดยไม่พูดอะไร อลิสาหยิบแก้ววอดก้าขึ้นมากรอกลงคอรวดเดียวหมด ไม่หวั่นแม้จะเข้มแสบคอเพียงใด จากนั้นก็คว้าเงินมาด้วยมือที่มั่นคง
เสียงหัวเราะอย่างสะใจดังตามหลังมา แต่อลิสาไม่คิดจะหันกลับไปมอง ร่างบางเดินตัวตรงออกจากโต๊ะนั้นด้วยความเงียบสงบ
ทันทีที่ถึงห้องน้ำ อลิสารีบเปิดก๊อก วักน้ำเย็นซัดหน้าแรง ๆ น้ำตาที่พยายามกลั้นก็ไหลออกมาอย่างเงียบงัน
เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับตัวเองในกระจก
ใบหน้าสวยกำลังเปียกปอน แต่ดวงตานั้นยังแน่วแน่
“แค่นี้เอง... ทนได้”
เสียงกระซิบเบา ๆ ถูกกลืนไปในเสียงน้ำแต่หัวใจของเธอยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ขาที่เคยก้าวอย่างมั่นคงก็เริ่มสั่นจนไร้เรี่ยวแรง ดีที่อลิสารั้งถาดเครื่องดื่มไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเธอคงล้มลงจนอาจเกิดเรื่องวุ่นวาย
เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไรผมและหน้าผาก ราวกับร่างกายกำลังระเบิดเป็นไฟ เธอรู้สึกวูบวาบร้อนรุ่มจนน่าประหลาด ทั้งที่ไม่ได้ปวดหัวหรือเป็นไข้มาก่อน
“แอล... ไม่สบายเหรอ?”
เสียงเป็นห่วงจากพักพิงดังขึ้น ก่อนที่เพื่อนร่วมงานตัวเล็กจะรีบเข้ามารับถาดจากมือเธอและช่วยพยุงให้นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ไม่แน่ใจ อยู่ดี ๆ ก็ไม่มีแรง เหมือนร่างมันจะหมดพลังเฉยเลย…” เสียงของอลิสาแผ่วเบา ดวงตาเริ่มพร่าแต่ยังพยายามควบคุมสติ
พักพิงหันไปมองใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนร่วมงานแล้วขมวดคิ้วแน่น
“แอล กลับไปพักเถอะ เดี๋ยวเราบอกคุณเฟยให้เอง ดูท่าแล้วไม่น่าจะไหว”
อลิสาอยากจะปฏิเสธ แต่ร่างกายก็เตือนชัดว่าเธอฝืนไม่ไหวแล้ว “อืม... ฝากด้วยนะพิง”
เสียงเธอเบาลงอีกนิด ขณะค่อย ๆ ปลดบัตรพนักงานออกจากอก แล้วประคองร่างตัวเองที่เริ่มอ่อนแรงออกไปนอกร้านทีละก้าว
“เป็นอะไรมากไหมครับ?”
เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความพร่าเบลอในหัว อลิสาหยุดฝีเท้าอย่างยากเย็น ร่างเซจนเกือบล้ม ก่อนจะมีมือสองคู่คว้าร่างเธอไว้ทัน
แต่ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสอง อลิสาก็รีบสะบัดตัวออกด้วยแรงอันน้อยนิด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ความรู้สึกไม่ปลอดภัยไหลทะลักขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
พวกเขาเป็นเพื่อนในกลุ่มของกิ่งแก้ว
“อย่ามายุ่งกับฉัน…”
แม้จะพยายามยืดตัวให้มั่นคง ร่างบางก็ยังโงนเงนราวจะล้มทุกเมื่อ
“อย่าทำเป็นเล่นตัวเลยน่า…”
ชายคนหนึ่งหัวเราะหยัน ก่อนจะกระซิบเสียงต่ำอย่างไม่น่าไว้วางใจ “ถ้าอยากได้เงิน ฉันมีไม่อั้น... แค่สนุกกับเราสองคนนิดหน่อย”
“สวยกว่าที่เห็นในคลับอีกแฮะ…” อีกคนเสริม ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหาย กวาดมองตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงลำคอขาวเนียนด้วยแววตาลุกวาว
แสงไฟจากนอกร้านที่เคยดูอับแสงยังส่องให้เห็นว่าอลิสาสวยกว่าในความทรงจำของพวกมันเสียอีก ทั้งคู่เริ่มยื่นมือเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่สนใจเสียงขัดขืนของหญิงสาว
“อย่า... อย่ามายุ่งกับฉัน... ออกไป อือ!”
เสียงของเธอถูกกลืนหายเมื่อฝ่ามือใหญ่ปิดปากลงอย่างเฉียบพลัน ร่างเล็กเริ่มทรุดฮวบด้วยแรงที่กำลังหมดลงทุกขณะ
“ยาอีกิ่งนี่ของมันแรงจริงๆ…”
หนึ่งในนั้นกระซิบยิ้มเหี้ยมให้กัน สายตาเหลือบมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ
ร่างชายหนุ่มทั้งสองช่วยกันอุ้มอลิสามายังโรงจอดรถที่อยู่ไม่ไกลนัก
แม้ออลิสาจะพยายามดิ้นสุดแรง แต่ก็ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กในอ้อมแขนผู้ใหญ่ เธอแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยสักนิด จะร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกฝ่ามือหยาบกร้านปิดปากไว้แน่น
ความรู้สึกหนาวเยือกแล่นผ่านกระดูก น้ำตาเม็ดใสไหลลงจากหางตาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“จะทำอะไรกับเด็กของฉัน”
เสียงทุ้มนิ่งเรียบแทรกผ่านความเงียบ ทำให้ทั้งสองชะงัก
อลิสาเบิกตากว้าง เธอจำเสียงนี้ได้…วินาทีนั้นร่างเล็กก็พยายามใช้แรงสุดท้ายดิ้นรนอีกครั้ง พร้อมกวาดตามองหาต้นเสียง
“ช-ช่วยหนูด้วย...อือ อ่วย อ้วย...”
เสียงร้องขาดห้วงเมื่อถูกมือหนาปิดปากอีกครั้ง คราวนี้แน่นยิ่งกว่าเดิมราวกับต้องการเร่งรีบให้เรื่องจบลง
“เด็กอะไรของมึง นี่เพื่อนกู”
หนึ่งในชายหนุ่มว่าอย่างไม่แยแสด้วยท่าทีอวดดี
“ปล่อยเธอ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เข้มและเย็นราวกับคมมีด
ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย
อลิสาส่งสายตาไปที่เจ้าของเสียงนั้นทันที ใบหน้าของเขาปรากฏในความสลัวใต้แสงไฟเพียงดวงเดียว...
เป็นเขาจริงๆ คนที่ซื้อเธอเมื่อไม่กี่วันก่อน…
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากอีกฝั่งของลานจอดรถที่ไร้ผู้คน
กลุ่มชายร่างยักษ์ในชุดสูทดำกรูกันเข้ามารวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่เห็นเหยื่อ พวกเขาแยกตัวเป็นสองข้าง ล็อกแขน ลากกระชากผู้ชายทั้งสองที่กำลังรุมร่างอ่อนแรงของอลิสาอย่างไร้ปรานี
“เฮ้ย! อะไรวะ ปล่อยนะโว้ย!”
เสียงตะโกนลั่นของชายคนหนึ่งดังสนั่นเมื่อถูกดึงแขนไพล่หลังอย่างแรง
“รู้ไหมว่าพ่อกูเป็น
ใคร! พวกมึงกล้าเหรอ!”
เขาแผดเสียงขู่ฟ่อ ร่างสะบัดไปมาราวกับงูที่กำลังจะถูกฆ่า แต่ไม่มีใครสนใจ
การ์ดอีกคนรวบตัวอีกคนไว้ได้เช่นกัน ดันเขากระแทกกับผนังคอนกรีตของโรงจอดรถอย่างไม่สนใจเสียงโวยวาย
อลิสาถูกดึงออกจากมือของพวกนั้น ร่างเล็กเซล้ม แต่ทันทีที่เธอกำลังจะทรุดลงกับพื้น
อ้อมแขนแกร่งคู่นั้นกลับยื่นมารับไว้ได้ทันพอดี
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรง
ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าคมเข้มเงียบขรึม ดวงตาดำสนิทคู่นั้นสะท้อนแสงไฟโรงจอดรถวับวาว…เย็นชาแต่มั่นคง
อลิสาแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองตา
“ช่วย…หนูด้วย หนู…ร้อน หนูไม่ไหว…”
เสียงของเธอสั่นเครือจนแทบเป็นเสียงกระซิบ มือเล็กกำเสื้อของเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
ร่างกายของเธอร้อนวูบวาบเหมือนจะลุกไหม้ ทั้งเหนื่อยล้า ทั้งปั่นป่วน
แต่เพียงแค่ซุกหน้าลงบนอกเขา…เธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที
เขาก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขน ดวงตาคมกริบวาบวาวด้วยแววโกรธเกรี้ยว แล้วหันไปสั่งเสียงเย็นเยียบแต่เด็ดขาด
“โยนมันออกไป อย่าให้พวกมันเข้ามาทำระยำที่คลับของกู”
เสียงเขาไม่ได้ดัง แต่กลับหนักแน่นจนคนฟังต้องชะงัก
การ์ดทุกคนพยักหน้ารับคำโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำ พวกเขาลากสองหนุ่มที่ยังตะโกนสบถไม่เลิกออกจากโรงจอดรถทันที
ร่างสูงอุ้มเด็กสาวขึ้นมาแนบอกแน่น ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ กลับเข้าไปในไนต์คลับที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่
เสียงดนตรีอันคุ้นเคยยังคงดังแทรกออกมาจากด้านใน แต่บัดนี้ในอกของเขามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าเสียงเพลงใดๆ
เขากดลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด โซนไพรเวทที่มีเพียงคนกลุ่มสนิทเข้าถึงได้
อลิสามีเหงื่อซึมตามไรผม แก้มแดงจัดจากพิษที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในอ้อมแขนของเขา เธอเบาเกินไป...เบาจนรู้สึกว่าแค่ถอนใจแรงๆ อาจสลายหายไปได้เลย
“เฮ้ย! ไหนบอกจะออกไปสูบบุหรี่แป๊บเดียววะ ทำไมกลับมาพร้อมสาวสวย โอว…”
เสียงมาวินดังขึ้นทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ร่างของเพื่อนรักที่ยืนอยู่พร้อมแก้วเหล้าในมือมองมาอย่างตกใจและขำขันปนกัน
เขาเดินตรงเข้ามาเพ่งมองหญิงสาวในอ้อมแขนของไบรอัน
“โห สวยนิหว่า…”
ดวงตาเรียวรีของมาวินจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มที่แม้จะไม่ได้แต่งเติมมาก แต่กลับสวยอย่างน่าประหลาด ยิ่งเธออยู่ในสภาพเปราะบางแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นสัญชาตญาณของผู้ชายได้ไม่ยาก
“อย่ามอง”
เสียงทุ้มเข้มของไบรอันขัดขึ้นทันที ดวงตาคมตวัดมองเพื่อนรักอย่างจริงจัง
“กลับไปก่อน กูมีเรื่องต้องเคลียร์”
“เคลียร์บนเตียงอะดิ?”
มาวินยักคิ้วล้อ ทว่าพอเห็นสีหน้าของไบรอันที่จริงจังผิดปกติ จึงไม่พูดอะไรต่อ เขาอาจจะล้อเพื่อนเล่นเป็นปกติ แต่เขารู้ดีว่าเพื่อนไม่เคยอุ้มผู้หญิงกลับห้องต่อหน้าต่อตาแบบนี้มาก่อน
“ก็ได้ๆ เอ่อ...เบาๆ หน่อยละกัน ยิ่งตัวเล็กๆ อยู่ เดี๋ยวช้ำหมด”
เขาว่าแล้วก็ถอยออกไป ปล่อยให้ไบรอันเดินผ่านไปยังห้องส่วนตัว