เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า

1470 คำ
เมื่อขึ้นมาบนห้องปราญติญาก็รีบแปรงฟันและบ้วนปากอยู่หลายรอบหญิงสาวไม่คิดเลยว่ารัฐภูมิจะกล้าทำแบบนั้นกับเธอในลานจอดรถจูบของเขามันไม่ได้อ่อนหวานเร่าร้อนหรือประทับใจตรงไหนเลยสักนิด มันมีแต่ความรู้สึกเกลียดขยะแขยง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนของพรชนกที่บอกว่าผู้ชายคนนี้ดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจแต่หญิงสาวก็บอกเพื่อนไปว่าเขาเป็นคนคุยเก่งร่าเริงก็เลยดูเหมือนจะเจ้าชู้ ตอนนั้นเธอเถียงพรชนกและเข้าข้างรัฐภูมิแต่พอมาวันนี้กลับรู้สึกได้เลยว่าถ้าหากเชื่อคำพูดของเพื่อนตั้งแต่แรกตนเองก็ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ ปราญติญาเอามือจับริมฝีปากของตนเองจากนั้นก็นึกถึงจูบของผู้ชายอีกคนหญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครชื่ออะไรแต่จูบของเขามันทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ จูบของเขาเร่าร้อนหนักหน่วงบางครั้งก็อ่อนหวานและมันยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ แม้จะเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเพราะฤทธิ์ยาและแอลกอฮอล์ทำให้ตาพร่ามัวไปหมดอีกทั้งบริเวณหน้าห้องน้ำแสงก็ไม่สว่างมากเท่าไหร่ แต่เธอจำความรู้สึกทุกอย่างได้ดี กลิ่นกายของเขาน้ำหอมของเขามันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด หญิงสาวพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านแต่เมื่อเผลอทีไรก็กลับคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงร่านรักที่คิดถึงความทรงจำในคืนนั้นอยู่ตลอดถ้าหากมีคนอื่นรู้คงได้หัวเราะเยาะเธอแน่ๆ ปราญติญาเริ่มเป็นกังวลกับการไปงานเลี้ยงของโรงเรียนเพราะถ้าหากไปเจอกับเขาแล้วเธอจะทำหน้ายังไง แต่บางทีรูปถ่าย ที่อยู่ในห้องนั้นอาจจะไม่ใช่รูปถ่ายของเขาก็ได้เพราะห้องนั้นค่อนข้างกว้างอาจจะมีผู้อาศัยอยู่ในนั้นหลายคน เธอภาวนาให้ผู้ชายที่นอนด้วยไม่ใช่เพื่อนในชั้นเรียนของเธอ หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเผลอหลับและตื่นมาอีกครั้งในเวลาเช้าซึ่งวันนี้หญิงสาวต้องไปขึ้นเวรก่อน 08:00 น. เธอเดินลงจากหอพักแวะทานข้าวที่ร้านข้าวแกงก่อนจะเข้ามา มาในโรงพยาบาล “อ้าวคุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะหรือแผลมีเลือดออก” เธอตกใจเมื่อเจอกับผู้ชายคนที่มาเย็บแผลเมื่อวานตอนค่ำ “เมื่อวานผมจ่ายเงินแล้วลืมเอายา วันนี้ก็เลยรีบมาเอายาแต่เช้า” “แล้วเมื่อคืนไม่ปวดแผลเหรอคะ” “ปวดครับแต่ผมมียาแก้ปวดที่ห้อง” “คุณมียาก่อนอาหารนะคะถ้ายังไงก็อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วย ยาแก้อักเสบต้องทานให้หมดส่วนยาแก้ปวดก็ทานตอนปวดหรือรู้สึกมีไข้แผลไม่มีเลือดออกใช่ไหม” “ไม่รู้เหมือนกันคุณช่วยดูให้ผมหน่อยสิ” เขานั่งลงตรงเก้าอี้สำหรับผู้มารอรับบริการ ปราญติญาเดินเข้ามาใกล้และดูแผลให้เขา “แผลปกติดีไม่มีเลือดซึมหรอกค่ะ” “ขอบคุณครับ” “ฉันลืมบอกคุณอีกอย่างอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ” เธอพูดกับเขาแต่ชายหนุ่มก็ยังนิ่งและจ้องหน้าเธอเหมือนกำลังต้องการอะไรสักอย่าง “เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ” ภาณุวิชญ์ถามเพราะรู้สึกคุ้นเสียงคุ้นหน้าอีกทั้งกลิ่นน้ำหอมของเธอมันทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อคืนก่อน “เราเจอกันเมื่อวานไงคะ” “ผมไม่ได้หมายถึงเจอกันเมื่อคืนผมหมายถึงเจอกันข้างนอก” “ไม่น่าจะใช่นะคะฉันไม่เคยเจอคุณเลย คุณอาจจะจำคนผิดก็ได้” ภาณุวิชญ์มองหน้าเธอซึ่งวันนี้ปราญติญาแต่งหน้าอ่อนๆ ต่างจากผู้หญิงที่เจอคืนนั้นมาก ชายหนุ่มก็มั่นใจไปแล้ว 80% ว่าผู้หญิงคนนี้คือคน ที่เขากำลังตามหาและเขาจะต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ บางทีเธออาจจะอายจนไม่กล้ายอมรับหรืออีกกรณีหนึ่งก็คือคืนนั้นด้วยฤทธิ์ของยาทำให้เธอจำอะไรไม่ได้ “ถ้างั้นผมน่าจะจำคนผิด ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแผลให้ คุณบอกว่าแผลห้ามโดนน้ำใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” “หัวผมคงเน่าแน่” ชายหนุ่มพูดแล้วยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณก็ไปให้ร้านสระผมสระให้สิคะหรือไม่ก็ให้คนที่บ้านสระให้ก็ได้” “นั่นสิผมลืมไปเลยว่าคนที่บ้านผมก็น่าจะช่วยสระผมได้” “ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ อย่าลืมมาตัดไหมตามนัดนะคะ” “ขอบคุณครับ” ภาณุวิชญ์ยิ้มให้กับหญิงสาวจากนั้นก็ขับรถกลับมาที่บ้าน พอเดินเข้ามาก็เจอกับมารดาที่กำลังเดินดูคนงานตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้าน “ณุมาแต่เช้าเลยวันนี้ไม่ไปทำงานเหรอลูก” “ไปครับแม่ แต่ผมว่าจะให้มาช่วยสระผมให้หน่อย” “ทำไมต้องให้แม่สระผมให้โตจนป่านนี้แล้วนะ” “แม่ครับดูนี่สิผมมีแผลนะ” “ตายจริงไปโดนอะไรมาเจ็บมากไหม” “เมื่อวานเกิดอุบัติเหตุที่ไซต์งานนิดหน่อยครับ” “ไปหาหมอมาแล้วใช่ไหม” “ผมไปหาหมอมาตั้งแต่เมื่อวานหมอเย็บแผลให้แล้วแต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหัวตัวเองกำลังจะเน่าจะไปให้ร้านสระก็กลัวเขาทำไม่ดีแม่ช่วยสระผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อนเพราะรู้ว่ามารดาจะต้องตามใจ “ว่าแต่มีแผลแค่ที่หัวใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง “ที่หัวที่เดียวครับแม่” “เช้านี้แล้วกินข้าวมาหรือยัง” “ยังเลยพอดีเมื่อวานลืมยาไว้ที่โรงพยาบาลเช้านี้ก็เลยแวะเข้าไปเอายาและว่าจะมาขอข้าวมากินที่นี่วันนี้ในครัวมีอะไรกินบ้างครับ” “มีกับข้าวหลายอย่างเลยเข้าไปข้างในกันเถอะจะได้รีบกินข้าวและเดี๋ยวแม่จะสระผมให้” มารดาของชายหนุ่มเดินนำลูกชายเข้าไปในครัวจากนั้นก็นั่งดูใช้ลงทานข้าวจนอิ่มก่อนจะพาเขาไปสระผม “แม่ได้ข่าวว่าโรงเรียนเก่าของลูกจะจัดงานครบรอบ 50 ปีใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายหลังจากสระผมให้เขาเสร็จแล้วและตอนนี้พากันมานั่งในห้องรับแขก “ใช่ครับแม่” “แล้วลูกจะไปร่วมงานของโรงเรียนหรือเปล่า” “ไปครับแม่มีอะไรหรือเปล่า” “แม่อยากฝากเงินไปบริจาคให้กับโรงเรียนหน่อยบริจาคเป็นชื่อลูกเลยนะ” “ไม่ดีกว่าครับแม่ผมว่าบริจาคในนามของบริษัทน่าจะดีกว่าคนจะได้รู้จักบริษัทเรามากขึ้นด้วยนะครับ” “ที่แม่ทำบุญแม่ไม่ได้หวังจะให้ใครรู้จักบริษัทเราหรอกนะใช้ชื่อของลูกไปก็แล้วกัน” “แม่จะบริจาคเท่าไหร่ครับ” “แม่ไม่ว่าจะบริจาคแสนหนึ่ง” “ถ้างั้นผมช่วยแม่อีกหนึ่งแสนดีไหม” “ดีสิ แต่ลูกลองถามพี่ชายกับพี่สาวของลูกสิว่ามีใครอยากบริจาคไหม” “สองคนนั้นเขาไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้นะผมไม่อยากรบกวน” พี่ชายและพี่สาวของเขาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใหญ่กว่าและมีชื่อเสียงมากกว่า “ลองถามดูนะเผื่อเขาจะบริจาคโรงเรียนของลูกก็จะได้ผลประโยชน์” “ก็ได้ครับแม่” ภาณุวิชญ์ไม่ได้เรียนโรงเรียนใหญ่เหมือนกับพี่ชายพี่สาวทั้งสองคน เขาเรียนโรงเรียนเล็กๆ เพราะมีเพื่อนสนิทเรียนอยู่ที่นั่นและไม่อยากตื่นเช้าเข้ามาเรียนในตัวจังหวัด แม้มารดาจะพยายามคะยั้นคะยอให้สอบเข้าโรงเรียนใหญ่แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธและบอกกับบิดามารดาว่าเรียนโรงเรียนไหนมันก็เหมือนกันและเขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าถึงแม้จะจบจากโรงเรียนขนาดเล็กแต่พอถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศในคณะที่ตนเองต้องการได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม