เมื่อขึ้นมาบนห้องปราญติญาก็รีบแปรงฟันและบ้วนปากอยู่หลายรอบหญิงสาวไม่คิดเลยว่ารัฐภูมิจะกล้าทำแบบนั้นกับเธอในลานจอดรถจูบของเขามันไม่ได้อ่อนหวานเร่าร้อนหรือประทับใจตรงไหนเลยสักนิด มันมีแต่ความรู้สึกเกลียดขยะแขยง
ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนของพรชนกที่บอกว่าผู้ชายคนนี้ดูท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจแต่หญิงสาวก็บอกเพื่อนไปว่าเขาเป็นคนคุยเก่งร่าเริงก็เลยดูเหมือนจะเจ้าชู้ ตอนนั้นเธอเถียงพรชนกและเข้าข้างรัฐภูมิแต่พอมาวันนี้กลับรู้สึกได้เลยว่าถ้าหากเชื่อคำพูดของเพื่อนตั้งแต่แรกตนเองก็ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้
ปราญติญาเอามือจับริมฝีปากของตนเองจากนั้นก็นึกถึงจูบของผู้ชายอีกคนหญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครชื่ออะไรแต่จูบของเขามันทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ จูบของเขาเร่าร้อนหนักหน่วงบางครั้งก็อ่อนหวานและมันยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ
แม้จะเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเพราะฤทธิ์ยาและแอลกอฮอล์ทำให้ตาพร่ามัวไปหมดอีกทั้งบริเวณหน้าห้องน้ำแสงก็ไม่สว่างมากเท่าไหร่ แต่เธอจำความรู้สึกทุกอย่างได้ดี กลิ่นกายของเขาน้ำหอมของเขามันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด หญิงสาวพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านแต่เมื่อเผลอทีไรก็กลับคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงร่านรักที่คิดถึงความทรงจำในคืนนั้นอยู่ตลอดถ้าหากมีคนอื่นรู้คงได้หัวเราะเยาะเธอแน่ๆ
ปราญติญาเริ่มเป็นกังวลกับการไปงานเลี้ยงของโรงเรียนเพราะถ้าหากไปเจอกับเขาแล้วเธอจะทำหน้ายังไง แต่บางทีรูปถ่าย ที่อยู่ในห้องนั้นอาจจะไม่ใช่รูปถ่ายของเขาก็ได้เพราะห้องนั้นค่อนข้างกว้างอาจจะมีผู้อาศัยอยู่ในนั้นหลายคน เธอภาวนาให้ผู้ชายที่นอนด้วยไม่ใช่เพื่อนในชั้นเรียนของเธอ
หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเผลอหลับและตื่นมาอีกครั้งในเวลาเช้าซึ่งวันนี้หญิงสาวต้องไปขึ้นเวรก่อน 08:00 น.
เธอเดินลงจากหอพักแวะทานข้าวที่ร้านข้าวแกงก่อนจะเข้ามา มาในโรงพยาบาล
“อ้าวคุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะหรือแผลมีเลือดออก” เธอตกใจเมื่อเจอกับผู้ชายคนที่มาเย็บแผลเมื่อวานตอนค่ำ
“เมื่อวานผมจ่ายเงินแล้วลืมเอายา วันนี้ก็เลยรีบมาเอายาแต่เช้า”
“แล้วเมื่อคืนไม่ปวดแผลเหรอคะ”
“ปวดครับแต่ผมมียาแก้ปวดที่ห้อง”
“คุณมียาก่อนอาหารนะคะถ้ายังไงก็อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วย ยาแก้อักเสบต้องทานให้หมดส่วนยาแก้ปวดก็ทานตอนปวดหรือรู้สึกมีไข้แผลไม่มีเลือดออกใช่ไหม”
“ไม่รู้เหมือนกันคุณช่วยดูให้ผมหน่อยสิ” เขานั่งลงตรงเก้าอี้สำหรับผู้มารอรับบริการ ปราญติญาเดินเข้ามาใกล้และดูแผลให้เขา
“แผลปกติดีไม่มีเลือดซึมหรอกค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ฉันลืมบอกคุณอีกอย่างอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ” เธอพูดกับเขาแต่ชายหนุ่มก็ยังนิ่งและจ้องหน้าเธอเหมือนกำลังต้องการอะไรสักอย่าง
“เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ” ภาณุวิชญ์ถามเพราะรู้สึกคุ้นเสียงคุ้นหน้าอีกทั้งกลิ่นน้ำหอมของเธอมันทำให้เขาเริ่มมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อคืนก่อน
“เราเจอกันเมื่อวานไงคะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงเจอกันเมื่อคืนผมหมายถึงเจอกันข้างนอก”
“ไม่น่าจะใช่นะคะฉันไม่เคยเจอคุณเลย คุณอาจจะจำคนผิดก็ได้”
ภาณุวิชญ์มองหน้าเธอซึ่งวันนี้ปราญติญาแต่งหน้าอ่อนๆ ต่างจากผู้หญิงที่เจอคืนนั้นมาก ชายหนุ่มก็มั่นใจไปแล้ว 80% ว่าผู้หญิงคนนี้คือคน ที่เขากำลังตามหาและเขาจะต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ บางทีเธออาจจะอายจนไม่กล้ายอมรับหรืออีกกรณีหนึ่งก็คือคืนนั้นด้วยฤทธิ์ของยาทำให้เธอจำอะไรไม่ได้
“ถ้างั้นผมน่าจะจำคนผิด ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแผลให้ คุณบอกว่าแผลห้ามโดนน้ำใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“หัวผมคงเน่าแน่” ชายหนุ่มพูดแล้วยิ้ม
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณก็ไปให้ร้านสระผมสระให้สิคะหรือไม่ก็ให้คนที่บ้านสระให้ก็ได้”
“นั่นสิผมลืมไปเลยว่าคนที่บ้านผมก็น่าจะช่วยสระผมได้”
“ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ อย่าลืมมาตัดไหมตามนัดนะคะ”
“ขอบคุณครับ” ภาณุวิชญ์ยิ้มให้กับหญิงสาวจากนั้นก็ขับรถกลับมาที่บ้าน
พอเดินเข้ามาก็เจอกับมารดาที่กำลังเดินดูคนงานตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่บริเวณหน้าบ้าน
“ณุมาแต่เช้าเลยวันนี้ไม่ไปทำงานเหรอลูก”
“ไปครับแม่ แต่ผมว่าจะให้มาช่วยสระผมให้หน่อย”
“ทำไมต้องให้แม่สระผมให้โตจนป่านนี้แล้วนะ”
“แม่ครับดูนี่สิผมมีแผลนะ”
“ตายจริงไปโดนอะไรมาเจ็บมากไหม”
“เมื่อวานเกิดอุบัติเหตุที่ไซต์งานนิดหน่อยครับ”
“ไปหาหมอมาแล้วใช่ไหม”
“ผมไปหาหมอมาตั้งแต่เมื่อวานหมอเย็บแผลให้แล้วแต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหัวตัวเองกำลังจะเน่าจะไปให้ร้านสระก็กลัวเขาทำไม่ดีแม่ช่วยสระผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อนเพราะรู้ว่ามารดาจะต้องตามใจ
“ว่าแต่มีแผลแค่ที่หัวใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ที่หัวที่เดียวครับแม่”
“เช้านี้แล้วกินข้าวมาหรือยัง”
“ยังเลยพอดีเมื่อวานลืมยาไว้ที่โรงพยาบาลเช้านี้ก็เลยแวะเข้าไปเอายาและว่าจะมาขอข้าวมากินที่นี่วันนี้ในครัวมีอะไรกินบ้างครับ”
“มีกับข้าวหลายอย่างเลยเข้าไปข้างในกันเถอะจะได้รีบกินข้าวและเดี๋ยวแม่จะสระผมให้” มารดาของชายหนุ่มเดินนำลูกชายเข้าไปในครัวจากนั้นก็นั่งดูใช้ลงทานข้าวจนอิ่มก่อนจะพาเขาไปสระผม
“แม่ได้ข่าวว่าโรงเรียนเก่าของลูกจะจัดงานครบรอบ 50 ปีใช่ไหม” คุณวิภาวีถามลูกชายหลังจากสระผมให้เขาเสร็จแล้วและตอนนี้พากันมานั่งในห้องรับแขก
“ใช่ครับแม่”
“แล้วลูกจะไปร่วมงานของโรงเรียนหรือเปล่า”
“ไปครับแม่มีอะไรหรือเปล่า”
“แม่อยากฝากเงินไปบริจาคให้กับโรงเรียนหน่อยบริจาคเป็นชื่อลูกเลยนะ”
“ไม่ดีกว่าครับแม่ผมว่าบริจาคในนามของบริษัทน่าจะดีกว่าคนจะได้รู้จักบริษัทเรามากขึ้นด้วยนะครับ”
“ที่แม่ทำบุญแม่ไม่ได้หวังจะให้ใครรู้จักบริษัทเราหรอกนะใช้ชื่อของลูกไปก็แล้วกัน”
“แม่จะบริจาคเท่าไหร่ครับ”
“แม่ไม่ว่าจะบริจาคแสนหนึ่ง”
“ถ้างั้นผมช่วยแม่อีกหนึ่งแสนดีไหม”
“ดีสิ แต่ลูกลองถามพี่ชายกับพี่สาวของลูกสิว่ามีใครอยากบริจาคไหม”
“สองคนนั้นเขาไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้นะผมไม่อยากรบกวน” พี่ชายและพี่สาวของเขาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใหญ่กว่าและมีชื่อเสียงมากกว่า
“ลองถามดูนะเผื่อเขาจะบริจาคโรงเรียนของลูกก็จะได้ผลประโยชน์”
“ก็ได้ครับแม่” ภาณุวิชญ์ไม่ได้เรียนโรงเรียนใหญ่เหมือนกับพี่ชายพี่สาวทั้งสองคน เขาเรียนโรงเรียนเล็กๆ เพราะมีเพื่อนสนิทเรียนอยู่ที่นั่นและไม่อยากตื่นเช้าเข้ามาเรียนในตัวจังหวัด แม้มารดาจะพยายามคะยั้นคะยอให้สอบเข้าโรงเรียนใหญ่แต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธและบอกกับบิดามารดาว่าเรียนโรงเรียนไหนมันก็เหมือนกันและเขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าถึงแม้จะจบจากโรงเรียนขนาดเล็กแต่พอถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศในคณะที่ตนเองต้องการได้