บทนำ
ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“นายครับ…” เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความนอบน้อมเอ่ยเรียกผู้เป็นนายของเขา ฮันเตอร์ ผู้นำตระกูลRIZZO วัย 35 ในตอนนั้นละสายตาจากหนังสือตรงหน้า พร้อมกับปลายสายตามองลูกน้องคนสนิทอย่าง หิรัญ
“ว่าไง?…”
“กูนึกว่ามึงจะกลับไปหาลูกหาเมียแล้วซะอีก…” ฮันเตอร์เอ่ยออกไปอย่างรู้สึกแปลกใจที่ลูกน้องคนสนิทอย่างรามไม่รีบกลับบ้านเหมือนทุกวัน
“ผมมีเรื่องอยากจะบอกนายก่อนน่ะครับ”
“เรื่องอะไรวะ ทำไมหน้ามึงถึงดูเครียดแบบนั้น” สีหน้าของเขาบอกชัดว่ากำลังเป็นห่วงลูกน้องคนสนิทและน้อยคนนักที่จะได้เห็นความเป็นห่วงจากฮันเตอร์ที่แสดงออกมาแบบนั้น
“ผมจะขอลาออกสิ้นเดือนนี้ครับ…” หิรัญเอ่ยพร้อมทรุดตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้าเจ้านายที่เขาเคารพรักด้วยชีวิต แต่ทว่าในตอนนี้เขาก็มีอีก 3 ชีวิตที่เขารักและต้องคอยปกป้องดูแลเช่นกัน
ฮันเตอร์มองลูกน้องคนสนิทด้วยแววตาเรียบนิ่ง เขาเข้าใจในความหมายที่หิรัญพูดออกมาเป็นอย่างดี เขากับหิรัญไม่ใช่แค่เจ้านายกับลูกน้องเหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่เขากับหิรัญเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นพี่น้องร่วมสาบานว่าจะรักและคอยปกป้องกันและกัน พวกเขาทั้งคู่ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ตลอดชีวิตของ ฮันเตอร์ ตั้งแต่ที่เขาอยู่ในตำแหน่งทายาทของตระกูลจนขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล เขาถูกรอบทำร้ายและถูกทรยศหักหลังจากผู้คนที่เขาไว้ใจ มีเพียงแค่หิรัญที่คอยปกป้องและอยู่เคียงข้างเขาอย่างที่ร่วมสาบานกันไว้
“เหนื่อยจะตามกูแล้วเหรอไง..” ผู้นำตระกูลวัย 35 ในเวลานั้นเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ เขาวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะก่อนจะให้ความสนใจแค่ลูกน้องคนสนิท อันที่จริงมันเป็นอะไรที่น่าใจหายไม่น้อยที่วันนี้เขาอาจจะต้องปล่อยหิรัญไปแล้วจริง ๆ
“เปล่าเลยครับ แต่ผมอยากให้เวลากับนิด หนูอัยย์ แล้วก็ตะวัน”
“เมื่อวันก่อนหนูอัยย์บอกผมว่ามีผู้ชายมาหาที่โรงเรียนแล้วบอกว่าเป็นเพื่อนของผม แต่เพราะหนูอัยย์ไม่คุ้นหน้าและจำสิ่งที่ผมเคยบอกได้ว่าถ้ามีคนแปลกหน้ามาหาที่โรงเรียนหรือมาอ้างว่าพ่อให้มารับอย่าไปเชื่อเพราะผมจะไปรับหนูอัยย์ด้วยตัวเองทุกครั้ง”
“ผมเป็นห่วงลูกเป็นห่วงนิด เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกลัวมันกำลังจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของผมแล้ว”
“ผมเสียนิดกับลูกไปไม่ได้ ผมจะให้พวกเขามาเจออันตรายกับงานที่ผมเลือกทำไม่ได้” หิรัญเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดจะปิดบังในสิ่งที่ตัวเองคิด งานที่เขาทำมันเสี่ยงอันตรายและเกี่ยวพันกับเรื่องความเป็นความตายมาตลอด เขาเคยให้สัจจะวาจาและร่วมสาบานกับฮันเตอร์ว่าเขาจะดูแลรับใช้ฮันเตอร์และตระกูลไปจนกว่าชีวิตเขาจะดับสิ้นไป แต่ทว่าพอมาตอนนี้เขากลับต้องขอผิดคำสาบานเพราะเขาเองก็จำเป็นที่จะต้องปกป้องครอบ ครัวของเขาเช่นกัน
“อืม...กูเข้าใจ แล้วก็คิดไว้อยู่แล้วว่าวันนี้มันต้องมาถึง”
“ผมขอโทษนะครับนาย ขอโทษที่ผิดคำสัญญา” หิรัญเอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด แต่เขาเองก็ตัดสิน ใจอย่างแน่วแน่แล้วเช่นกัน ฮันเตอร์ยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นยืนเดินไปหาลูกน้องคนสนิทพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองแล้วค่อย ๆ พยุงตัวหิรัญขึ้นมา
“ไม่มีอะไรที่มึงต้องขอโทษกูเลย กูเองต่างหากที่ต้องขอโทษและขอบคุณมึงที่เลือกจะเสี่ยงชีวิตอยู่ข้างกูมาตลอด”
“กูคงคิดถึงมึงแล้วก็คงไม่มีใครรู้ใจกูดีเท่ามึงอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละชีวิตของมึงที่ผ่านมาทำเพื่อกูมาเยอะแล้วเหมือนกัน หลังจากนี้มึงไปใช้ชีวิตแบบที่มึงอยากใช้ดูแลครอบครัวของมึงและคนที่มึงรัก”
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือมีปัญหาอะไรอย่าลืมว่ามึงมีกู อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากกู เพราะเราไม่ได้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องแต่เราคือพี่น้องกัน สำหรับกูมึงคือพี่ชายที่กูสามารถพึ่งพาได้ตลอดเวลา มึงคือพี่ชายที่พร้อมจะปกป้องและชี้แนะกูตลอดหลาย 10 ปี”
“กูดีใจที่ช่วงชีวิตที่กูเติบโตมามีมึงอยู่ในนั้นมาเสมอ” ฮันเตอร์เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วไม่ได้ดุดันหรือน่าเกรงขามเหมือนทุกครั้ง แต่เขากลับใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
หิรัญมองหน้าเจ้านายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งใจที่ฮันเตอร์ไม่ได้มองเขาเป็นเพียงแค่ลูกน้อง แต่กลับมองว่าเขาคือพี่ชาย ตลอดการเติบโตระหว่างเขากับฮันเตอร์มันเป็นอะไรที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคู่กันมาตลอด เรียนรู้ความผิดพลาดและก้าวผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปพร้อม ๆ กัน มันเลยไม่แปลกที่พวกเขาจะรักและผูกพันกันมากมายขนาดนี้
เพราะตัวหิรัญเองก็ไม่ได้มองฮันเตอร์เป็นแค่เจ้านายแต่เขากลับรู้สึกว่าฮันเตอร์คือน้องชายที่เขาต้องคอยดูแลและปกป้องมาตลอด ฮันเตอร์เป็นคนใจร้อนและที่สำคัญเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล เกิดและเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูแบบมาเฟีย นิสัยก็เลยจะดูเหมือนคนที่ไร้หัวใจ ใช้ความป่าเถื่อนและรุนแรงเป็นเรื่องปกติจนคล้ายกับคนที่ไร้หัวใจ
แต่อันที่จริงไม่ใช่ ฮันเตอร์ก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองออกมาได้ เพราะคำว่าผู้นำตระกูลมันค้ำคอเขาไว้ เขาจำเป็นต้องร้ายกาจ ไร้หัวใจ และโหดเหี้ยมเพื่อให้คนของเขาปลอดภัยโดยที่เขาจะต้องละทิ้งความรู้สึกของตัวเอง
“มึงจะออกวันนี้เลยใช่ไหม?”
“ยังครับ ผมจะทำงานถึงสิ้นเดือนนี้”
“ก็อีก 2 อาทิตย์สินะ” ฮันเตอร์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะมองหน้าลูกน้องคนสนิทพร้อมกับถอนหายใจออกมาน้อย ๆ
“ว่าแต่ถ้าอนาคตลูกชายฉันกับลูกสาวแกโตพอแล้วทั้งคู่ มึงจะรังเกียจไหมถ้ากูจะขอทาบทามหนูอัยย์เอาไว้ให้เป็นเจ้าสาวของไอ้ฮอลในอนาคต”
“กูคิดว่าเด็กสองคนนั้นน่าจะผูกพันกันมากทีเดียว”
“ผมว่าเรื่องความรักปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเด็กทั้งคู่จะดีกว่าครับ ผมไม่อยากตีตราให้หนูอัยย์ว่าโตขึ้นเขาต้องแต่งงานกับใคร ผมอยากให้เขาเลือกความรักด้วยตัวของเขาเอง”
“ฮึ มึงก็เป็นซะแบบนี้...ถ้าเป็นคนอื่นคงดีใจที่ลูกสาวจะได้เป็นคู่หมั้นกับลูกเจ้านายแต่มึงกลับไม่ใช่แบบนั้น แถมยังปฏิเสธกูอีก...” ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบที่เขาจะได้รับจากหิรัญมันจะออกมาในรูปแบบไหนแต่เขาก็ยังอยากจะเสี่ยงพูดออกไปอีกครั้งเผื่อว่าลูกน้องของเขาจะตอบรับ
แต่สุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไร...
“ผมแค่คิดว่าการที่หนูอัยย์กับคุณฮอลสนิทกันเพราะเขาได้เล่นด้วยกันตามประสาเด็กเพียงเท่านั้นครับ”
“เพราะงั้นในเรื่องของความรัก ถ้าโตขึ้นพวกเขาจะมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของพวกเขาจะดีกว่า” หิรัญเอ่ยออกไปตามตรง เขาเองก็เห็นว่าฮอลกับอัยย์ลดานั้นสนิทสนมกัน แต่เพราะทั้งคู่เป็นเด็กและพวกเขาก็แค่เล่นด้วยกันตามประสาเด็ก การที่จะเกิดความรักในกลุ่มเด็กวัยนี้มันไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้
ในขณะที่อีกด้าน
เด็กน้อยในวัย 7 ขวบกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้รอบคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูล RIZZO อัยย์ลดาในตอนนั้นเธอมีความสุขและก็เพลิดเพลินกับการวิ่งไล่จับเจ้าผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังบินไปบินมาเต็มสวนดอกไม้
“น้องอัยย์ เดี๋ยวล้มนะ” เท้าเล็กที่สวมใส่ร้องเท้าแตะสีแดงผูกโบว์ของเด็กหยุดชะงักเมื่อเสียงเด็กชายอีกคนดังขึ้น อัยย์ลดาหันกลับไปมองต้นเสียงก่อนที่เด็กน้อยจะทำหน้าอ้อนพร้อมกับพูดเสียงเจื้อยแจ้ว
“พี่ฮอล หนูอัยย์ไม่ล้มหรอกค่ะ...หนูอัยย์เก่ง!”
ตุ้บ!!
พูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อครู่ที่โม้เอาซะดิบดีว่าเธอไม่มีทางวิ่งสะดุดล้มได้ง่าย ๆ มาตอนนี้แค่เธอก้าวเท้าวิ่งยังไม่ทันไรก็ล้มหน้าคะมําไปซะแล้ว ฮอลในวัย 14 ปีหลุดขำออกมาก่อนจะรีบวิ่งไปดูเด็กน้อยที่พยายามจะพยุงตัวเองลุกขึ้น
“พี่บอกแล้วไงว่าให้ระวัง...ทำไมหนูอัยย์ชอบดื้อไม่ฟังพี่เนี่ย”
“เจ็บไหม? ไหนให้พี่ดูแผลที่หัวเข่าหน่อย” เด็กชายเอ่ยพร้อมกับดูไปที่แผลตรงหัวเข่าของอัยย์ลดา หนูอัยย์ที่พยายามเก็บอาการความเจ็บของตัวเองเอาไว้แต่พอเลื่อนสายตาไปเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากแผลที่หัวเข่ามันก็ทำให้เด็กน้อยอย่างเธอกลั้นน้ำตาและความกลัวเอาไว้ไม่ได้
“ฮือออ พี่ฮอลหนูอัยย์เจ็บ ฮือออ”
“เลือดออกเยอะเลย ฮือออ หนูอัยย์จะตายไหม ฮือออ” เด็กน้อยร้องโวยวายออกมาเสียงดังก่อนที่เธอจะมองไปที่แผลของตัวเอง ฮอลที่อีกใจก็สงสารแต่อีกใจก็อดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสลักเป็นชื่อเขาแบบตัวย่อก่อนจะเอาไปซับเลือดที่กำลังไหลออกมาจากแผลให้เด็กน้อยอย่างอัยย์ลดา
“นี่แหละจำไว้เลยว่าเวลาพี่เตือนอะไร หนูอัยย์ต้องฟังพี่ด้วยอย่าดื้อแบบนี้”
“เพราะถ้าไม่ฟังหนูอัยย์จะต้องเจ็บตัวแบบนี้อีก”
“ไม่ดื้อแล้วค่ะ ต่อไปหนูอัยย์จะเชื่อฟังพี่ฮอล หนูอัยย์จะไม่ดื้อแล้ว” เด็กน้อยพยักหน้าทั้งน้ำตาก่อนจะมองไปที่แผลของตัวเองที่มีผ้าเช็ดหน้าปิดอยู่ ฮอลมองไปที่เด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะเลื่อนมือไปเกลี่ยหยาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนอยู่ที่แก้มใส แถมหยาดน้ำตามากมายยังติดอยู่ที่แผงขนตายาวของหนูอัยย์อีกต่างหาก
“ไม่ต้องร้องแล้ว เดี๋ยวขี่หลังพี่นะ เดี๋ยวพี่พาหนูอัยย์ไปนั่งเอง” หนูอัยย์พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปขึ้นหลังเจ้าชายขี่ม้าขาวของเธออย่างฮอล
สำหรับอัยย์ลดาแล้ว เธอมองว่าฮอลเป็นเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในทุก ๆ เรื่อง จนเด็กน้อยเกิดความเพ้อฝันเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ว่าอยากมีรักเหมือนในการ์ตูนเจ้าหญิงที่เธอชอบดู ฮอลพาหนูอัยย์มานั่งที่ม้านั่งตัวยาวก่อนที่เขาจะย่อตัวก้มลงไปดูแผลให้เด็กน้อยอีกครั้ง
“เลือดหยุดแล้ว...เดี๋ยวหนูอัยย์ต้องไปล้างแผลแล้วก็ทำแผลนะ”
“ได้ค่ะ แต่อัยย์ขอผ้าเช็ดหน้าพี่ฮอลไว้นะ เดี๋ยวอัยย์เอาไปซักให้”
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านไปซัก”
“ไม่เอาาา หนูอัยย์ขอซักเองนะ” เด็กน้อยพูดด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดเล็กน้อยก่อนจะแย่งผ้า เช็ดหน้าของฮอลมาถือไว้...ฮอลยิ้มขำออกมาอีกครั้งก่อนจะผลักหัวของหนูอัยย์อย่างไม่แรงนักด้วยความเอ็นดู
“ซักเป็นหรอไงเรา”
“ซักไม่เป็นก็จะซัก เดี๋ยวหนูอัยย์จะลองซักผ้าด้วยตัวเอง” เด็กน้อยพูดออกไปอย่างหมายมั่นว่าตัวเองจะทำให้ได้ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยซักผ้าเองเลยก็ตาม
“ไม่ใช่ว่าเอากลับมาคืนพี่แล้วมีแต่กลิ่นน้ำยาซักผ้านะ” ฮอลเอ่ยแซวก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืนมองเด็กน้อยตรงหน้าอีกครั้ง
เขากับหนูอัยย์ค่อนข้างสนิทสนมกันมากทีเดียว แต่อันที่จริงมันไม่ใช่แค่เขาหรอก น้องสาวของเขาอย่างฮันน่าหรือแม้แต่พี่ชายของเขาอย่างเฮลเองก็สนิทกับหนูอัยย์เหมือนกันแต่ถ้าพูดถึงความสนิทมาก ๆ แล้วล่ะก็ มันมีแค่เขาเพียงคนเดียวที่หนูอัยย์จะติดเป็นพิเศษ
“พี่ฮอล...ถ้าโตขึ้นหนูอัยย์ขอเป็นเจ้าสาวพี่ฮอลได้ไหมคะ”
“หืม? พูดอะไรออกมารู้ไหมเนี้ยหนูอัยย์” ฮอลเลิกคิ้วตัวเองขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนจะเอ่ยถามอัยย์ลดากับสิ่งที่เธอพูดออกมาแบบนั้น เด็กน้อยเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเอ่ยเม้มริมฝีปากตัวเองเข้าหากันแน่น ๆ ก่อนจะช้อนสายตาสบมองใบหน้าของเจ้าชายของเธอด้วยแววตาไร้เดียงสา
“หนูอัยย์รักพี่ฮอลค่ะ หนูอัยย์อยากเป็นเจ้าสาวของพี่ฮอล”
“เด็กน้อยตัวแค่นี้หัดมาสารภาพรักกับผู้ชายแล้วเหรอเรา” ยิ่งได้ฟังคนเป็นพี่อย่างฮอลก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กสาวไม่น้อย เธอพูดออกมาทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร เขาย่อตัวลงตรงหน้าหนูอัยย์อีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามเธออย่างอยากรู้
“หนูอัยย์รู้หรอว่าความรักคืออะไร?” เด็กน้อยที่ได้ยินคำถามก็นิ่งเงียบไปอย่างไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความรักมันคืออะไร เธอรู้แค่เธอชอบเวลาที่เธอได้อยู่กับฮอลมันคือช่วงเวลาที่เธอไม่อยากให้หายไปไหนเลย
“หนูอัยย์ไม่รู้ค่ะ แล้วพี่ฮอลรู้หรอคะว่าความรักคืออะไร”
“พี่เองก็ไม่รู้ พี่ไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไรในตอนนี้ และเราทั้งคู่ก็ยังเด็กกันมากที่จะพยายามหาคำตอบว่าความรักคืออะไร”
“หนูอัยย์เองก็เหมือนกัน โตขึ้นหนูอัยย์ก็จะเรียนรู้ได้เองว่าความรักสำหรับหนูอัยย์คืออะไร...ตอนนี้หนูอัยย์อาจจะรักพี่เหมือนน้องสาวรักพี่ชาย”
“แต่มันก็ไม่ใช่ความรักแบบที่พ่อกับแม่ของเรารักกันหรอก” ฮอลอธิบายอย่างใจเย็นเพราะเดิมทีเขาก็เป็นคนที่ใจเย็นและอ่อนโยนเวลาที่อยู่กับอัยย์ลดาอยู่แล้ว
อัยย์ลดายังคงทำหน้าฉงนใจด้วยความสงสัยในสิ่งที่ฮอลพูดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรเขาอีก ฮอลมองใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เอาไว้ถ้าโตขึ้นหนูอัยย์ยังยืนยันว่ารักพี่จริง ๆ เข้าใจในคำว่ารักแล้วจริง ๆ ค่อยมาบอกพี่ใหม่อีกรอบว่าหนูอัยย์รู้สึกยังไงกับพี่”
“ตกลงไหมครับ...” ฮอลในวัย 14 ปีพูดพร้อมกับยกมือขึ้นแล้วยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าอัยย์ลดาคล้ายกับว่าจะให้คำสัญญากับเด็กน้อย...หนูอัยย์ระบายยิ้มออกมาด้วยความไร้เดียวสาก่อนที่เธอจะยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวกับนิ้วของฮอลเอาไว้
“ตกลงค่ะพี่ฮอล” เสียงใสเอ่ยออกไปอย่างเจื้อยแจ้ว นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายไปด้วยความสดใสเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่น่ามองของเธอ
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” แต่ทว่าเสียงทุ้มของใครอีกคนก็ดังขึ้นอีกครั้งทั้งฮอลและหนูอัยย์ต่างหันไปมองก่อนจะเห็นว่าเป็นเฮลทายาทลำดับที่ 1 ที่อนาคตจะต้องขึ้นเป็นผู้นำตระกูลต่อจากผู้เป็นพ่อ
“พี่เฮล หนูอัยย์ล้มเจ็บมากกก”
“ล้มตรงไหน?”
“ตรงนู้นนน”
“บอกพี่เฮลไปด้วยดิว่าหนูอัยย์ล้มเพราะอะไร?” ฮอลเอ่ยออกไปพร้อมกับมองหน้าเด็กน้อยที่พอเห็นเฮลก็รีบตะโกนฟ้องหน้าตาเอาจริงเอาจังเลย
เด็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นก็เม้มปากตัวเองแน่นเพราะรู้ดีแก่ใจว่าที่เธอล้มเป็นเพราะเธอดื้อไม่เชื่อฟังฮอล
“ล้มเพราะหนูอัยย์ไม่เชื่อพี่ฮอล พี่ฮอลบอกอย่าวิ่งแต่หนูอัยย์วิ่งค่ะ”
“แล้วพี่ควรจะสงสารเราดีไหมเนี้ย...” เฮลที่ตอนนั้นอายุได้ 16 ปีพูดขึ้นพร้อมกับเดินมาลูบหัวหนูอัยย์ด้วยความเอ็นดู เพราะหนูอัยย์สำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฮันน่าที่เป็นเหมือนน้องน้อยของพวกเขา
“ต้องสงสารสิคะ เพราะหนูอัยย์เลือดไหลเลยนะ”
“เด็กดื้อก็ต้องเอาเลือดออกบ้างมันก็ถูกแล้ว” ฮอลยังคงพูดแหย่ไม่หยุดจนเด็กน้อยเริ่มหน้าบูดเป็นตูดลิง เล่นเอาสองหนุ่มอย่างเฮลและฮอลต่างหัวเราะกันออกมา
“เดี๋ยวต้องเข้าบ้านแล้วนะ พ่อเรียกพบ” เฮลเลื่อนสายตาไปมองน้องชายก่อนจะเอ่ย ฮอลพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อเป็นการตอบรับก่อนจะหันไปมองที่อัยย์ลดาอีกครั้ง
“เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปหาพ่อกันแล้ว หนูอัยย์เข้าไปรอน้าหิรัญในบ้านพี่เลยละกัน”
“ได้ค่ะ แต่พี่ฮอลต้องให้หนูอัยย์ขี่หลังนะคะ” เด็กน้อยอ้อนตาแป๋ว ฮอลมองหน้ากับเฮลอย่างรู้ทันความขี้อ้อนของหนูอัยย์ก่อนที่ฮอลจะพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งให้อัยย์ลดาขึ้นหลังของเขา
“หนูอัยย์ลูก กลับบ้านกัน พ่อทำงานเสร็จแล้วครับ” แต่ยังไม่ทันที่หนูอัยย์จะได้ทำอย่างที่อ้อน เสียงของผู้เป็นพ่ออย่างหิรัญก็เอ่ยดังขึ้น เด็กน้อยหันไปมองก่อนจะเห็นผู้เป็นพ่อเดินส่งยิ้มมาให้เธอด้วยความอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง
“คุณพ่อ~~” เด็กน้อยร้องเรียกผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อเอาไว้หลังจากที่พ่อของเธอทำงานเสร็จทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของเธอ แต่เพราะพ่อของเธอต้องทำงานตลอดทุกวันไม่มีวันหยุดเธอเลยได้มีโอกาสมาเที่ยวเล่นที่คฤหาสน์ของตระกูล RIZZO อยู่บ่อยครั้ง จนทำให้เธอสนิทสนมกับลูกสาวและลูกชายบ้านนี้
“ได้แผลมาอีกแล้วใช่ไหม ไหนให้พ่อดูแผลหน่อย...” หิรัญเอ่ยพร้อมกับย่อตัวลงไปดูแผลที่หัวเข่าของลูกสาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของลูกน้อยอีกครั้ง
“เจ็บไหมเนี้ย กลับไปบ้านถ้าแม่รู้หนูอัยย์ไม่รอดแน่”
“เจ็บนิดหน่อยเองค่ะ แต่คุณพ่ออย่าบอกคุณแม่น้า จุ๊ ๆ เดี๋ยวแม่ดุแล้วไม่ให้มาที่นี่อีก”
“จอมวางแผนอีกนะเรา กลับไปบ้านแม่ก็ต้องเห็นแผลหนูอยู่ดี”
“ก็บอกว่าอัยย์ไม่ได้วิ่งล้ม บอกว่าอัยย์สะดุดล้ม” เด็กน้อยจอมวางแผนพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดจนทำให้ผู้เป็นพ่ออดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ขณะที่สองหนุ่มทายาทของตระกูล RIZZO ต่างก็จับจ้องไปที่เด็กน้อยที่พูดวางแผนกับผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าจริงจังแต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความน่ารักความน่าเอ็นดู
“โอเค ๆ พ่อจะทำตามที่หนูอัยย์บอกนะครับ”
“แต่ตอนนี้เรากลับบ้านกันก่อนนะ พ่อกลับบ้านผิดเวลาโดนคุณแม่บ่นหูชาแน่นอน” หิรัญเอ่ยกับลูกสาวอย่างหยอกเย้าคล้ายกับไม่ได้จริงจังอะไรนัก แต่คิดว่ากลับถึงบ้านไปน่าจะโดนภรรยาคนสวยบ่นจริง ๆ เพราะนี่เขาเลยเวลากลับมาบ้านจะ 3 ชั่วโมงแล้ว
“ไปค่ะ! กลับบ้านกัน~~”
“พี่ฮอล พี่เฮล หนูอัยย์ไปก่อนน้า ~ บ๊ายบายค่า” เด็กน้อยหันไปโบกมือบ๊ายบายพร้อมกับส่งยิ้มสดใสให้สองหนุ่ม ฮอลมองภาพเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือให้พวกเขาไม่หยุดก่อนที่เด็กหนุ่มจะยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้า
“เจอกันใหม่นะหนูอัยย์” เฮลพูดขึ้นนิ่ง ๆ พลางส่งยิ้มให้เด็กน้อย หนูอัยย์ยิ้มรับด้วยความไร้เดียงสาก่อนจะเอ่ย
“ค่า~”
“เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับคุณเฮล คุณฮอล” หิรัญเอ่ยพร้อมกับจับมือลูกสาวเอาไว้พลางมองไปที่ลูกชายของเจ้านายทั้งสอง
“สวัสดีครับลุงหิรัญ/สวัสดีครับ” ทั้งฮอลและเฮลต่างพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยกมือไหว้ลาลูกน้องคนสนิทของพ่อ สำหรับพวกเขาหิรัญก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่พวกเขานับถือ ที่ผ่านมาหิรัญคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยของเขามาตลอดเช่นกัน
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ” หิรัญเอ่ยเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังพาลูกสาวเดินออกไปจากตรงนี้ หนูอัยย์หันมามองฮอลเป็นระยะพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายอยู่อย่างนั้น
“ดูท่าหนูอัยย์จะติดมึงมากเลยนะ”
“ก็ตามประสาเด็ก” ฮอลเอ่ยตอบรับพี่ชายที่พูดออกมาอย่างนั้น ขณะที่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่เด็กน้อยอย่างอัยย์ลดาโดยไม่ละสายตาไปไหน ภาพของเด็กน้อยที่กำลังเดินจูงมือพ่อของเธอไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสนั้นทำให้ฮอลอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ไปเถอะ พ่อรอนานแล้ว”