บ้านกระท่อมท้ายไร่
รมตีค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความยากลำบาก ทั้งยังรู้สึกหนักอึ้งในหัว เธอนึกถึงเหตุการณ์อันเลือนรางที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อหลายชั่วโมงก่อน ขณะที่ร่างอันไร้เรี่ยวแรงกำลังประคองตัวลุกขึ้นนั่ง
"นี่เราอยู่ที่ไหนกัน..." ดวงตากลมสั่นระริก พลันกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องสี่เหลี่ยมทึบที่ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากเตียงนอนที่ตนกำลังนั่งอยู่
ผนังทำจากแผ่นไม้รวมทั้งเพดาน รมตีจึงไม่สามารถรับรู้โดยได้เลยว่าตอนนี้ตนกำลังอยู่ที่ไหน และมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ ถึงถูกคนแปลกหน้าจับมาขังไว้ในห้องห้องนี้
ร่างกะทัดรัดในชุดกางเกงยีนกับเสื้อยืดสีขาวประคองตัวเองลุกขึ้นยืน เท้าเล็กยังคงสวมรองเท้าผ้าใบอยู่ เธอเดินตรงไปยังบานประตูที่ถูกปิดสนิท
แน่นอนว่ากลอนประตูด้านในไม่ได้ล็อก มือเรียวจึงสัมผัสลงตรงบานประตูไม้และผลักมันออกไป ถึงได้แน่ใจว่าบานประตูถูกล็อกจากด้านนอก
"ใครอยู่ข้างนอกน่ะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ พวกคุณเป็นใคร จับตัวฉันมาทำไม?" รมตีตะโกนถามออกไปเสียงดัง ทั้งที่ในใจรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
และดูเหมือนจะมีคนได้ยินเสียงของเธอ เพราะตอนนี้มีเสียงไขกุญแจจากด้านนอก ครู่หนึ่งบานประตูก็ถูกเปิดออก รมตีจึงได้พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่
"ตื่นแล้วเหรอ?" คมกฤษณ์เลิกคิ้วถาม ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาทว่าบึ้งตึง น้ำเสียงดุดันเกินกว่าการพูดคุยปกติ
รมตีถือโอกาสนี้ชะเง้อมองออกไปด้านนอก จึงเห็นว่ามีเพียงต้นไม้ใหญ่หนาทึบ ที่นี่เป็นกระท่อมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีทว่าตั้งอยู่กลางป่าใหญ่นั่นเอง
"คุณเป็นใคร จับฉันมาทำไม?"
"ไว้คุยกับเจ้านายผมดีกว่า ตอนนี้คุณแค่รอในนี้ไปก่อน แล้วก็ไม่ต้องเรียกอีก" คมกฤษณ์บอกเท่านั้นแล้วจึงปิดประตูและล็อกกุญแจจากด้านนอกไว้เช่นเดิม
รมตีถอนหายใจหนักๆ อยากรู้ให้ได้เสียตอนนี้ว่าใครกันที่เป็นเจ้านายของเขา หรือจะเป็นผู้ชายคนที่อ้างว่าจะพาตนไปชมไร่ส้ม ทว่าภาพเหตุการณ์ทั้งหมดกลับสิ้นสุดลงตอนที่ตนก้าวขาลงจากรถ
ร่างเล็กเดินตรงไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนเช่นเดิม พลันคิดหาเหตุผลของเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้...
หนึ่งวันก่อน รมตีเปิดซองเอกสารสีน้ำตาลและดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาดู จึงปรากฏว่ากระดาษในมือเป็นโฉนดที่ดินเกือบร้อยไร่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นชื่อของตน
ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้ดีใจเช่นที่ควรจะเป็น เพราะเธอไม่เคยต้องการทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามหาศาลเช่นนี้
"โฉนดที่ดินนี่คะ..." มือเรียววางกระดาษมูลค่าเกือบร้อยล้านลงบนโต๊ะอาหาร
"ไม่ดีใจเหรอลูก?" คุณรามถามบุตรสาว
"ไม่รู้สิคะ" รมตีทำสีหน้าเอือมระอา
"ฟังพ่อนะลูก การซื้อที่ดินเก็บไว้มันคือการถือทรัพย์สินที่มั่นคง อนาคตที่ดินพวกนี้จะมีมูลค่าที่สูงขึ้นมาก พ่ออยากให้ลูกเรียนรู้การลงทุนพวกนี้ไว้"
คุณรามอธิบายแก่บุตรสาว ในฐานะที่เขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานานหลายสิบปีจึงรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
"แต่สร้อยคิดว่าของพวกนี้มันเป็นภาระมากกว่าค่ะ อีกอย่าง..."
"หนูสร้อย" คนเป็นบิดาพูดขัดจังหวะขึ้นเสียงดุ รมตีจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงมองโฉนดที่ดินอีกครั้ง
"เก็บไว้เถอะนะลูก วันหนึ่งในอนาคตที่มันได้ราคาดีกว่านี้ถ้าหนูสร้อยอยากขายพ่อก็ไม่ว่าอะไร คิดซะว่าที่ดินผืนนี้พ่อซื้อให้หนูเป็นของขวัญที่เรียนจบ"
รมตีฟังเท่านั้นจึงแหงนหน้าขึ้นมามองบิดาอีกครั้ง เธอคลี่ยิ้มเมื่อรู้ว่าสิ่งสิ่งนี้คือของขวัญวันเรียนจบ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับมูลค่าของของขวัญที่สูงมากเกินไปก็ตาม
"ขอบคุณค่ะคุณพ่อ งั้นสร้อยยอมเก็บไว้ก็ได้ค่ะ"
"ดี อ้อ พ่อจองตั๋วเครื่องบินแล้วก็โรงแรมไว้ให้แล้วนะ พรุ่งนี้หนูสร้อยจะต้องไปดูที่ด้วยตัวเอง เดี๋ยวพ่อจะให้เลขาของพ่อไปด้วย"
"ต้องไปดูที่ดินด้วยตัวเองด้วยเหรอคะ"
"ต้องไปสิ ไปสักครั้งก็ยังดี เราอุตส่าห์ซื้อที่ดินผืนนี้แล้ว มันเป็นของเราแล้วก็ต้องดูแลมันหน่อย" หญิงสาวครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ
"ก็ได้ค่ะ สร้อยไปดูที่ดินก็ได้ แต่สร้อยไปคนเดียวนะคะ ไม่เอาเลขาคุณพ่อไปด้วย อีกอย่างสร้อยขอเวลาเที่ยวเหนือสักสองอาทิตย์นะคะ"
ในเมื่อปฏิเสธการไปดูที่ดินไม่ได้ รมตีจึงถือโอกาสนี้ไปเที่ยวพักผ่อนสถานที่สวยๆ ของภาคเหนือของประเทศไทยด้วย
"ตามใจ พ่อรู้ว่าหนูสร้อยดูแลตัวเองได้" คุณรามบอกด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสองคนพ่อลูกจึงพูดคุยกันเรื่องอื่นๆ และรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
วันถัดมา รมตีเช่ารถและขับมาตามแผนที่เพื่อมายังที่ดินผืนที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญเรียนจบ เธอทอดสายตามองเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศทั้งสองฝั่งทางด้วยความสุข จนกระทั่งขับรถมาถึงจุดหมายปลายทาง
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าที่ดินของตนติดกับไร่ส้มขนาดใหญ่ และที่สำคัญรอบๆ ไร่ส้มกำลังมีการก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ตหลายแห่ง
รมตีเศร้าใจเมื่อเห็นต้นไม้ถูกทำลายจนราบ ธรรมชาติป่าเขาถูกทำลายเพื่อแลกกับโรงแรมรีสอร์ตสวยหรู เพื่อผลประโยชน์ของพวกนักธุรกิจทั้งสิ้น
"นี่มันทำเลทองเลยนะ ว่าแต่คุณพ่อซื้อที่ดินผืนนี้มาได้ยังไงกัน...?"
หญิงสาวมองโฉนดที่ดินในมืออีกครั้ง จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถ และทอดสายตามองผืนดินของตนเองที่มีภูเขาอยู่เบื้องหน้าไกลสุดลูกหูลูกตา
แต่ระหว่างที่รมตีกำลังยืนมองที่ดินตรงหน้า อยู่ๆ กลับมีรถของใครคนหนึ่งขับมาจอดต่อท้ายรถของเธอ
"คุณครับ รถเสียหรือเปล่าครับ?" พ่อเลี้ยงภักดีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เพราะเขาเห็นว่าผู้หญิงตัวคนเดียวมายืนอยู่ริมถนนเช่นนี้จึงจอดรถถามด้วยความเป็นห่วง
"รถไม่ได้เสียหรอกค่ะ พอดีฉันมาดูที่ดินค่ะ" รมตีตอบกลับไป แต่คำตอบกลับทำให้พ่อเลี้ยงภักดีขมวดคิ้วแปลกใจ
"หมายถึงว่าคุณจะซื้อที่ดินผืนนี้เหรอครับ แย่จังเลยนะครับ ที่ผืนนี้มีคนซื้อไปแล้วเมื่อเจ็ดเดือนก่อน แต่คนในพื้นที่ไม่มีใครรู้เลยนะครับว่าใครที่เป็นคนซื้อไป แต่น่าจะเป็นพวกนายทุนหรือพวกนักธุรกิจที่มากว้านซื้อที่ดินเพื่อเอาไปทำโรงแรมรีสอร์ตน่ะครับ เสียดายต้นไม้นะครับ อีกหน่อยก็คงจะถูกทำลายลงหมด"
"เอ่อ...ความจริงฉันเป็นเจ้าของที่ผืนนี้เองค่ะ แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกนายทุนนะคะ แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะทำลายป่าไม้พวกนี้ด้วย"
รมตีไม่ได้ต้องการจะโอ้อวดอะไร เพียงแค่ไม่อยากให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าคนที่ซื้อที่ดินผืนนี้เพียงต้องการแค่เอาไปทำโรงแรมหรือรีสอร์ตเช่นที่เขาพูด
ทว่าสีหน้าของพ่อเลี้ยงภักดีกลับเคร่งขรึมลงทันทีเมื่อรู้เช่นนั้น เขาจ้องมองรมตีด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ใบหน้าหล่อคมคายค่อนไปทางบึ้งตึงลงเสียด้วยซ้ำ
"ผมดีใจนะครับที่ได้เจอเจ้าของที่แท้จริง ไหนๆ ที่ดินของคุณก็อยู่ติดกับไร่ส้มนี้แล้ว ผมว่าคุณควรไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านไว้นะครับ เจ้าของไร่ส้มนี้เป็นเพื่อนกับผมเอง คุณจะได้ไปเดินชมไร่ด้วย มีรีสอร์ตในไร่ด้วยนะครับถ้าเกิดว่าคุณอยากค้างคืนที่นี่ ไปด้วยกันนะครับ" พ่อเลี้ยงภักดีฝืนยิ้มและเอ่ยปากชวน
"ดีจังเลยค่ะ งั้นฉันขับรถตามคุณไปนะคะ" หญิงสาวตอบตกลงโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอเองก็อยากเดินชมไร่ส้มมานานแล้ว
"ครับ งั้นขับตามมานะครับ" เขาบอก
"ค่ะ ไร่ส้ม อยากกินส้มพอดีเลย" รมตีฉีกยิ้มดีใจ จากนั้นจึงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำที่ และขับตามรถของชายหนุ่มคนนั้นไปช้าๆ
พ่อเลี้ยงภักดีขับรถช้ากว่าปกติเพราะต้องการเวลาคิดไตร่ตรอง ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ซื้อที่ดินผืนนี้ไปจะอายุยังน้อยขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกหนักใจที่จะต้องบอกเพื่อนสนิท แต่ก็จำเป็นที่จะต้องบอกเพราะพ่อเลี้ยงแสนตามหาเจ้าของที่ดินคนใหม่มานานหลายเดือนแล้ว
"เอาวะ ถึงจะยังดูเด็กๆ อยู่ แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนี้ล่ะวะ คงพอจะถามข้อมูลอะไรได้บ้าง" พ่อเลี้ยงหนุ่มพึมพำ จากนั้นจึงหยิบมือถือขึ้นมา และต่อสายไปหาเพื่อนสนิทของตน
(ว่าไงไอ้ภัก?)
"กูมีเรื่องสำคัญจะบอก กูเจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนดูที่ดินของลุงพอนที่ถูกบังคับขายไปเมื่อเจ็ดเดือนก่อน กูจอดรถคุยกับเขา ถึงได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินว่ะ"
(อะไรนะ! มึงว่าอะไรนะ?)
"เป็นผู้หญิง สวยมากแล้วก็ยังดูเด็กอยู่เลย มึงต้องคุยกับเขาดีๆ นะ"
(มึงเฝ้าผู้หญิงไว้ กูต้องการเจอผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้เลย!)
"ใจเย็นๆ สิวะ มึงรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ กูกำลังพาเขาไปหา กูบอกเขาว่าจะพามาทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านแล้วก็มาชมไร่ส้มด้วย อีกไม่ถึงสองนาทีก็ถึงแล้ว เขากำลังขับรถตามหลังกูมา แค่นี้ก่อนนะ"
พ่อเลี้ยงภักดีบอกเพื่อนเท่านั้นแล้ววางสาย จากนั้นจึงหักพวงมาลัยรถและขับนำหน้ารถของแขกผู้มาเยือนตรงมาจอดที่หน้าบ้านของพ่อเลี้ยงแสน
รมตีจอดรถแล้วจึงกวาดสายตามองไร่ส้มบนเนื้อที่ขนาดใหญ่ เธอชื่นชอบบรรยากาศร่มรื่นงดงามเป็นธรรมชาติ มองออกไปไกลอีกเล็กน้อยจึงเห็นคนงานกำลังเก็บส้มกันอย่างขะมักเขม้น
หญิงสาวยิ้มดีใจที่มีโอกาสได้มาชมไร่ส้มแห่งนี้ เธอหันกลับมาทางด้านขวามือจึงเห็นว่าเป็นบ้านไม้สักหลังใหญ่โตโอ่อ่าซึ่งสามารถบ่งบอกฐานะของคนอยู่ได้เป็นอย่างดี
รมตีมองไปเห็นว่าพ่อเลี้ยงภักดีก้าวลงจากรถ เขาเดินมาหาและเคาะกระจกเบามือ หญิงสาวจึงรีบเปิดประตูเพื่อลงจากรถ
ทว่าทันทีที่รมตีก้าวขาลงจากรถ เธอก็ถูกใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหลังใช้ผ้าสีขาวปิดจมูกตนไว้ ยานอนหลับส่งผลให้ร่างอรชรอ่อนระทวยหมดสติลงในทันทีทันใด
"ไอ้แสน! ไอ้บ้า มึงทำอะไรของมึงวะ!?" พ่อเลี้ยงภักดีตกใจกับการกระทำของคมกฤษณ์พี่ทำตามคำสั่งเจ้านาย เขาจึงหันไปถามพ่อเลี้ยงแสนที่กำลังเดินตรงมาหารมตี
ทว่าพ่อเลี้ยงแสนกลับไม่ยอมตอบ เขาจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของคมกฤษณ์ก่อนที่จะเดินเข้าไปช้อนเอาร่างอรชรของหญิงสาวขึ้นมาโอบอุ้มไว้ จากนั้นจึงอุ้มร่างไร้สติไปขึ้นรถของตนเองและขับออกไปทันที
หมายเหตุ : ชื่อนางเอกอ่านว่า ระ-มะ-ตี