คมกฤษณ์ขับรถพารมตีมาจนถึงหน้าบ้านของพ่อเลี้ยงแสน จากนั้นจึงรีบก้าวลงจากรถและวิ่งมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวเพราะเกรงว่าเธอจะวิ่งหนีไป
"เชิญครับ"
"พาฉันมาที่นี่อีกทำไม?" รมตีถามด้วยความหวาดระแวง เธอไม่ยอมก้าวขาลงจากรถเพราะไม่ไว้ใจใคร
"แม่เลี้ยงสั่งให้พาคุณมาที่นี่ครับ" คมกฤษณ์ตอบเสียงเรียบ
"แม่เลี้ยง...ใครเหรอ?"
"คุณแม่ของพ่อเลี้ยงแสน" คมกฤษณ์ขยายความอีกสั้นๆ
หญิงสาวฟังเช่นนั้นแล้วจึงครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงยอมก้าวลงจากรถ ทว่าเป็นจังหวะที่พ่อเลี้ยงภักดีเดินออกมาจากในบ้านพอดี
รมตีจ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาคาดโทษ และยังคงรู้สึกโกรธเคืองที่เขาหลอกล่อตนมาที่นี่จนโดนจับตัวไว้ เธอไม่รู้ว่าคนที่นี่มีเจตนาอะไรถึงได้ทำพฤติกรรมป่าเถื่อนเช่นนี้
"คุณครับ ผมขอคุยกับคุณก่อนเข้าบ้านได้หรือเปล่าครับ?" พ่อเลี้ยงหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารมตี
"เข้าบ้านทำไม หมายความว่ายังไง?" เธอขมวดคิ้วถาม
"แม่เลี้ยงจะให้คุณมาพักที่บ้านหลังนี้ครับ" คมกฤษณ์ตอบ เพราะก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้อธิบายให้หญิงสาวฟัง
"จะให้ฉันมาพักที่นี่ทำไม ฉันไม่รู้จักกับพวกคุณเลยสักคน ฉันจะกลับไปที่โรงแรม" รมตีพูดเสียงดังชัดเจน เพราะกระเป๋าเดินทางของตนอยู่ที่โรงแรมที่ตั้งใจจะพักคืนนี้ซึ่งเป็นโรงแรมที่บิดาจองไว้ให้
"เห็นทีว่าคงจะไม่ได้ครับ พ่อเลี้ยงแสนมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอีกหลายเรื่อง" คมกฤษณ์พูดขึ้นอีก
"นายคม เดี๋ยวฉันคุยเอง" พ่อเลี้ยงภักดีหันไปบอกลูกน้องคนสนิทของแสน
"ครับพ่อเลี้ยง" คมกฤษณ์พูดเท่านั้นแล้วจึงก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว เปิดโอกาสให้พ่อเลี้ยงภักดีมีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกับรมตี
"คุณฟังผมนะครับ ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่รู้จริงๆ ว่าการที่ผมพาคุณมาที่นี่แล้วเพื่อนผมจะทำแบบนี้กับคุณ ผมเพียงแค่คิดว่าไอ้แสนมันจะคุยกับคุณดีๆ แล้วก็ถามเรื่องที่ดินก็แค่นั้น แต่เพื่อนผมมันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลยนะ มันแค่อยากจะถามคุณเรื่องที่ดินก็แค่นั้นเอง จริงๆ นะครับ"
พ่อเลี้ยงภักดีไม่อยากให้รมตีมองว่าตนรู้เห็นกับพ่อเลี้ยงแสนเรื่องจับตัวเธอไว้จึงพยายามอธิบาย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะปกป้องเพื่อนเช่นเดียวกัน
"ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าคุณไม่ชวนฉันมาที่นี่ฉันคงไม่โดนจับตัวไว้แบบนี้ ไม่รู้แหละ ตอนนี้ฉันจะคิดว่าคุณมีส่วนรู้ส่วนเห็นกับเพื่อนของคุณ ไว้ฉันกลับออกไปได้เมื่อไหร่ฉันจะเอาเรื่องพวกคุณให้หมดทุกคนเลย" รมตีขู่เสียงดัง
"คุณใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เดี๋ยวรอคุยกับไอ้แสนมันอีกที เผื่อว่าจะเข้าใจกันมากขึ้น"
"ฉันไม่คุยกับคนป่าเถื่อนแบบนั้นหรอก แต่ถ้าคุณอยากจะไถ่โทษจริงๆ ก็ช่วยกรุณาพาฉันออกไปจากที่นี่ตอนนี้ด้วย" รมตีมั่นใจว่าตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวพวกนี้ เธอจึงจะไม่ยอมถูกใครจับตัวไว้เด็ดขาด
"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก!" ทว่าเสียงทุ้มทรงพลังของพ่อเลี้ยงแสนกลับดังขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาว คมกฤษณ์เห็นว่าเจ้านายมาแล้วเขาจึงเดินไปขึ้นรถและขับออกไป
"ไอ้แสน กูขอคุยกับคุณเขาก่อนไม่ได้หรือยังไงวะ?" พ่อเลี้ยงภักดีหันไปคุยกับเพื่อนสนิท ทว่าเขากลับเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารมตีเสียแล้ว
"วันนี้มึงกลับไปก่อนเถอะ ถ้ามึงอยากคุยอะไรกับผู้หญิงคนนี้ก็ค่อยมาใหม่ เขาน่าจะอยู่ที่นี่อีกหลายวัน" พ่อเลี้ยงหนุ่มจ้องมองใบหน้าสวยบึ้งตึงด้วยสายตาดุดัน
"พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?" เธอพเยิดหน้าถามเสียงขุ่น
"ก็หมายความตามที่พูดไง"
"ไม่เอา ฉันไม่ยอมอยู่ที่นี่แม้แต่วันเดียวหรอก ฉันจะกลับโรงแรมเดี๋ยวนี้ ช่วยกรุณาคืนของของฉันมาด้วย" รมตีจ้องมองพ่อเลี้ยงแสนด้วยแววตาเอาเรื่อง เธอโวยวายเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับตอนที่ถูกขังอยู่ในกระท่อมราวกับคนละคน
"ฉันบอกเธอไปแล้ว ถ้าอยากออกไปจากที่นี่ก็แค่บอกมาว่าเธอซื้อที่ดินมาจากใคร" พ่อเลี้ยงแสนจ้องมองหญิงสาวด้วยแววตาเอาเรื่องไม่ต่างกัน
พ่อเลี้ยงภักดีมองหน้าทั้งสองคนสลับกันจึงเห็นท่าไม่ดี และรู้ดีว่าตนไม่มีปัญญาจะขอให้เพื่อนสนิทยอมปล่อยหญิงสาวไป เขาจึงเลือกที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนได้พูดคุยทำความเข้าใจกันเสียก่อน
"งั้นวันนี้กูกลับก่อนก็แล้วกัน ไว้ผมมาคุยกับคุณใหม่พรุ่งนี้นะครับ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะครับ ผมชื่อภักดี" พ่อเลี้ยงภักดีแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการด้วยรอยยิ้ม ทว่ารมตีกลับยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง แต่ก็ยอมบอกชื่อไปตามมารยาท
"ชื่อสร้อยค่ะ"
"คุณสร้อย ชื่อน่ารักจังเลยนะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมมาหานะครับ" ภักดีพูดเท่านั้นแล้วจึงเดินไปขึ้นรถของตนเองและขับออกไป
"รมตี...ชื่อในโฉนดที่ดินของเธอ" แสนพูดขึ้น ขณะที่กำลังจ้องมองใบหน้าสวยด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย
ชายหนุ่มควรจะรู้สึกว่าเธอคนนี้เป็นศัตรู ทว่าในใจมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขากำลังรู้สึกสับสนในใจที่ตนมีความรู้สึกอยากจ้องมองรมตีอยู่เช่นนี้ ราวกับกำลังหลงใหลความงามภายนอก
"ฉันจะชื่ออะไรก็ช่าง แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะขังฉันไว้ในบ้านของคุณ คุณรู้ใช่หรือเปล่า?"
"ใครบอกว่าฉันจะขังเธอไว้ในบ้านของฉัน ฉันจะให้เธอทำงานเป็นคนรับใช้ของฉันต่างหาก อยากจะรู้นักว่าลูกเศรษฐีอย่างเธอจะทนทำงานเป็นคนรับใช้ได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวเองว่าจะทำไม่ไหวก็รีบพูดความจริงทั้งหมดออกมา"
"ฉันจะพูดอีกครั้ง ปล่อยฉันออกไปจากที่นี่ซะ"
"ฝันไปเถอะ"
"คนไร้เหตุผล!"
"ฉันมีเหตุผลของฉัน"
"เหตุผลบ้าอะไรถึงต้องทำกันถึงขนาดนี้ นี่! คุณเป็นเจ้าของไร่นี้จริงๆ เหรอ?"
"ใช่ ทำไม?"
"เป็นถึงเจ้าของไร่ส้มใหญ่โต แต่กลับทำตัวเป็นอันธพาลได้ขนาดนี้ ไม่รู้กฎหมายบ้านเมือง ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ คิดอยากจะจับใครมาขังไว้ก็ทำตามใจตัวเองแบบนี้น่ะเหรอ คุณเคยได้รับการสั่งสอนมาบ้างหรือเปล่าเนี่ย?"
"นี่เธอ!" คำพูดของรมตีทำให้พ่อเลี้ยงแสนโกรธขึ้นมาทันควัน เขาแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเป็นจังหวะที่คุณแสงศราเดินออกมาหาทั้งสองคนพอดี
"แสน ทำไมถึงไม่พาหนูเขาเข้าบ้านล่ะ?" นางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคน รมตีจึงหันไปมองหญิงชราวัยราวหกสิบกว่าปี แม้จะอายุมากแล้วทว่าคุณแสงศรายังคงดูสง่างาม นางส่งยิ้มมาให้
"ฉันเป็นแม่ของแสน ก่อนอื่นต้องขอโทษหนูด้วยนะจ๊ะกับสิ่งที่ลูกชายของฉันทำลงไป เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรหรอก แต่เขาแค่อยากจะถามเรื่องสำคัญก็แค่นั้นเอง"
"เอ่อ...สวัสดีค่ะแม่เลี้ยง" รมตียกมือไหว้คุณแสงศรา เพราะดูท่าทางนางไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แต่คนเป็นบุตรชายช่างแตกต่างจากมารดาโดยสิ้นเชิง
"เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่านะ" นางบอก
"แต่หนูอยากกลับโรงแรมค่ะ ถ้าแม่เลี้ยงจะกรุณาก็ช่วยปล่อยหนูกลับไปที่โรงแรมเถอะนะคะ หนูไม่สะดวกที่จะค้างที่นี่ ส่วนเรื่องคำตอบที่พ่อเลี้ยงเขาถาม หนูขอปรึกษากับคนในครอบครัวก่อนได้หรือเปล่าคะ?"
"ไม่ได้! ยิ่งเธอทำแบบนี้เธอก็ยิ่งน่าสงสัย" พ่อเลี้ยงแสนพูดแทรกขึ้นเสียงดัง
"น่าสงสัยอะไร ฉันก็แค่อยากคุยกับคุณพ่อก่อน"
"งั้นก็แปลว่าพ่อเธอรู้ว่าซื้อที่ดินมาจากใคร บอกมาว่าตอนนี้พ่อเธออยู่ที่ไหน ฉันต้องการคุยกับพ่อของเธอ ฉันอยากรู้ว่าพ่อเธอได้ที่ดินผืนนี้มายังไง"
"นี่คุณ มันจะมากเกินไปแล้วนะ" คำพูดของพ่อเลี้ยงแสนทำให้รมตีรู้สึกหวั่นใจ
เพราะเธอรู้ดีว่าบิดาชอบซื้อขายที่ดินทางภาคเหนือ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหาขัดแย้งกับใครเช่นนี้ รมตีหวาดกลัวเหลือเกินว่าบิดาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของบิดาพ่อเลี้ยงแสน
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อของฉันนะ"
"เกี่ยวสิ นอกซะจากว่าเธอกำลังปกป้องคนผิดอยู่"
"พ่อเลี้ยงแสน! พ่อฉันไม่ได้ทำอะไรผิด" รมตีขึ้นเสียงด้วยความโกรธ เพราะโดนเขากล่าวหาในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เธอจะไม่เชื่ออะไรทั้งนั้นจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะได้รับการพิสูจน์
"แสน แม่ว่าลูกไปสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวแม่จะดูแลหนู..." คุณแสงศราจ้องมองรมตีเพราะอยากรู้ชื่อของหญิงสาว
"หนูชื่อสร้อยค่ะแม่เลี้ยง"
"หนูสร้อย ฉันพาหนูเข้าไปพักข้างในก่อนดีกว่านะ" รมตีชั่งใจ ก่อนจะยอมตอบรับโดยการพยักหน้า พ่อเลี้ยงแสนชักสีหน้าหงุดหงิดเมื่อโดนมารดาสั่งห้ามไม่ให้คุยกับหญิงสาวตอนนี้
"ใครก็ได้! ไปตามลุงไก่กับไอ้มะยมมาเฝ้ารอบๆ บ้านไว้ อย่าให้ผู้หญิงคนนี้หนีออกไปได้เด็ดขาด" พ่อเลี้ยงแสนออกคำสั่งเสียงดัง ชมพู่ได้ยินพอดีจึงรีบวิ่งไปตามคนสวนทั้งสองคนมา
"แสน ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ?" คุณแสงศรามองค้อนบุตรชาย
"แล้วคุณแม่ก็อย่าลืมนะครับ ว่าผมให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะคนรับใช้ หวังว่าคุณแม่จะไม่ขัด เพราะมันเป็นวิธีที่จะทำให้เขายอมพูดออกมาว่าใครเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง"
พ่อเลี้ยงแสนพูดจบแล้วจึงเดินฟึดฟัดกลับเข้าไปในบ้าน รมตีมองตามหลังคนปากร้ายด้วยแววตาโกรธเคือง แล้วจึงยอมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับคุณแสงศราเช่นเดียวกัน