พ่อเลี้ยงแสนขับรถกลับมาถึงบ้าน จึงเห็นว่ารถของพ่อเลี้ยงภักดียังคงจอดอยู่ เขารีบเดินเข้าไปในบ้านและเห็นว่าเพื่อนสนิทกำลังนั่งคุยกับมารดาของตนอยู่
"กลับมาแล้วเหรอพ่อตัวดี?" คุณแสงศราถามบุตรชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ไอ้ภักเล่าให้คุณแม่ฟังหมดแล้วสินะครับ?" เขาถามขณะที่กำลังทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
"ใช่ แม่รู้เรื่องหมดแล้ว"
"แต่คุณแม่เข้าใจเหตุผลของผมใช่หรือเปล่าครับ?
"แสน...แม่เข้าใจดีนะว่าลูกอยากจับตัวคนร้ายให้ได้ แต่การที่ลูกทำแบบนี้กับผู้หญิงมันไม่ถูกต้อง แม่ไม่เคยสอนให้ลูกทำตัวเป็นอันธพาลแล้วก็ทำอะไรรุนแรงแบบนี้ โดยเฉพาะทำกับผู้หญิง การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่แม่รับไม่ได้นะแสน ลูกปล่อยหนูผู้หญิงไปซะนะ"
นางเอ่ยขอบุตรชาย ทว่าน้ำเสียงค่อนไปทางคำสั่งเสียมากกว่า เพราะคุณแสงศราก็ไม่คิดด้วยว่าผู้หญิงวัยรุ่นคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถูกฆาตกรรมของสามี
อีกอย่างที่ดินของลุงพอนก็น่าจะถูกขายต่อไปหลายทอดแล้ว ทั้งยังไม่มีอะไรการันตี ว่าคนที่ซื้อที่ดินผืนนี้ไปจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสามี
"ผมแค่ต้องการข้อมูลบางอย่างจากเขาก็เท่านั้นเองครับคุณแม่"
"แต่ตำรวจเขาก็ตรวจสอบแล้วว่านายทุนที่มาซื้อที่ดินของลุงพอนไปไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเรานะ"
"แต่ผมไม่เชื่อไงครับคุณแม่ ผมคิดว่าโรงแรมรีสอร์ตที่กำลังสร้างอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นเจ้าของเดียวกัน พวกมันส่งคนเข้ามาเจรจาขอซื้อที่ดินเราหลายครั้งแต่ละครั้งก็ไม่ซ้ำหน้ากัน ผมถึงต้องรู้ให้ได้ไงครับ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่"
"แสน แม่ไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์มากเกินไปนะลูก"
"คุณแม่คงไม่ได้กำลังพยายามลืมใช่หรือเปล่าครับ ว่าที่คุณพ่อถูกฆ่าตายก็เพราะว่าเราไม่ยอมขายที่ให้พวกมัน คุณพ่อไม่เคยมีศัตรูที่ไหน ผมถึงมั่นใจมากว่ามันจะต้องมีคนที่มีอำนาจคนใดคนหนึ่งสั่งฆ่าคุณพ่อเพียงเพราะว่าเราไม่ยอมขายที่ให้พวกมัน" พ่อเลี้ยงแสนพูดออกมาด้วยอารมณ์ความโกรธ
"ปล่อยเป็นเรื่องของตำรวจดีกว่านะลูก"
"ตำรวจทำอะไรไม่ได้หรอกครับ หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็แทบจะไม่มีอะไรเลย อีกอย่างตอนนี้ก็ผ่านมาหกเดือนแล้ว จะให้ผมอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยผมรอไม่ได้หรอกนะครับคุณแม่ ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ผมจะไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด และตอนนี้ก็มีผู้หญิงคนนี้ไงครับเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผมสืบไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้"
"แม้ว่าเรื่องมันอาจจะซับซ้อนมากขึ้น แล้วก็อาจจะเป็นอันตรายสำหรับตัวมึงมากขึ้นน่ะเหรอ?" พ่อเลี้ยงภักดีถาม แสนจึงหันไปมองเพื่อนด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
"กูจะไม่ยอมแพ้ ถ้าตำรวจยังจับตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ กูนี่แหละจะลงโทษมันเอง" พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเกรี้ยวกราด
คุณแสงศราจึงทำได้เพียงถอนหายใจ เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ขัดความต้องการของบุตรชายไม่ได้ อีกอย่างนางเองก็อยากจะรู้ว่าใครที่เป็นคนฆ่าสามี แต่ก็ยังไม่ได้เห็นด้วยกับการที่บุตรชายจับผู้หญิงคนนี้มาขังไว้
"ถ้าลูกยืนยันที่จะสืบเรื่องนี้จากหนูผู้หญิงคนนี้แม่ก็จะไม่ขัด แต่แม่ขอว่าอย่าเอาเขาไปขังไว้ในป่าแบบนั้น แม่ไม่ชอบให้ลูกรังแกผู้หญิง ไปพาผู้หญิงมาพักในบ้านของเราจนกว่าลูกจะสืบเรื่องนี้รู้เรื่อง"
คุณแสงศราออกคำสั่งต่อบุตรชายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พ่อเลี้ยงแสนมีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมทำตามความต้องการของมารดา
"ก็ได้ครับ แต่เขาจะต้องมาอยู่ในห้องพักคนงาน ห้ามใช้โทรศัพท์สื่อสารและห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ผมจะโทรไปบอกให้ไอ้คมพาเขามาที่นี่ครับ"
"มันต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอแสน?" คุณแสงศราถึงกับต้องเอียงคอถาม
"ใช่ครับ"
"ก็ดีเหมือนกัน รีบโทรบอกให้คมพาผู้หญิงมาที่นี่ กูมีเรื่องอยากจะทำความเข้าใจกับเขา ตอนนี้เขาคงเข้าใจผิดว่ากูพาเขามาให้มึงจับตัวไปขังไว้แบบนั้น" พ่อเลี้ยงภักดีพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ายังคงขุ่นเคืองกับการกระทำของเพื่อนสนิทอยู่ไม่น้อย
"เออ ไอ้พ่อคนดี" แสนพูดแล้วจึงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและต่อสายไปหาคมกฤษณ์
"ชมพู่ เดี๋ยวช่วยไปจัดห้องพักคนงานไว้หนึ่งห้องด้วยนะ เอาติดกับห้องของเธอนั่นแหละ จะมีคนมาพัก" คุณแสงศราหันไปคุยกับสาวใช้วัยละอ่อน
"จะมีคนใช้คนใหม่เหรอคะแม่เลี้ยง" ชมพู่ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น คุณแสงศราไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นชมพู่จึงรีบเดินตรงไปยังห้องพักคนงานซึ่งอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกันนี้เอง
ราวสองชั่วโมงผ่านไป พ่อเลี้ยงแสนเดินออกมาตรวจงานที่ไร่ส้ม ขณะที่คนงานกำลังเก็บส้มกันอย่างขะมักเขม้นในช่วงบ่าย
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ไร่อันกว้างใหญ่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบิดาที่เคยเดินชมสวนส้มด้วยกันเป็นประจำทุกวัน มันยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นและอยากค้นหาความจริงให้ได้เร็วที่สุด แต่ระหว่างกำลังคิดหลายๆ เรื่องเสียงของใครคนหนึ่งกลับดังขึ้น
"แสนคะ" ชายหนุ่มหันขวับไปยังต้นเสียงนั้น จึงเห็นว่าสุคนธวายืนฉีกยิ้มหวานอยู่
"อ้าว วา มีธุระอะไรหรือเปล่าถึงมาถึงที่นี่?" แสนถามเสียงเรียบ สุคนธวาเป็นเพื่อนสนิทของชายหนุ่มตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตอนนี้เธอทำงานรับราชการในพื้นที่ ทั้งสองจึงมีโอกาสได้พบเจอกันบ่อยครั้ง
"แหม ไม่มีธุระแล้วจะมาเยี่ยมเพื่อนไม่ได้เหรอคะ ได้ยินข่าวว่าคุณเซ็นใบหย่ากับทับทิมเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ก็เลยว่าจะแวะมาตรวจสอบสภาพจิตใจเพื่อนซะหน่อย เป็นไงบ้าง?"
"จะมาตรวจสอบสภาพจิตใจอะไร ฉันกับทับทิมเลิกกันไปปีกว่าจะสองปีอยู่แล้วเชียว"
"นั่นน่ะสิคะ เลิกกันไปตั้งเกือบสองปีแล้ว แต่เขาก็ยื้อทะเบียนสมรสไว้ได้นานพอสมควรนะคะ เหตุผลจริงๆ คืออะไรกันแน่คะแสน ทำไมทับทิมเขาถึงเพิ่งยอมมาหย่าให้"
"เพราะคุณแม่บอกเขาว่าเงินทั้งหมดที่เรามีอยู่จะต้องเอาไปใช้หนี้ในชื่อของคุณพ่อ แล้วก็บอกไปว่าทางไร่ยังคงติดหนี้อยู่อีกหลายสิบล้าน ทางไร่อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก พอบอกแบบนั้นเขาก็เลยรีบมาขอหย่าทันที พวกผู้หญิงหิวเงินน่ะ คิดไม่ถึงว่าฉันเคยแต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงแบบนั้นมาตั้งสองปี"
ความจริงแล้วพ่อเลี้ยงแสนไม่ได้ใส่ใจกับการเลิกรามากนัก สาเหตุที่เขาแต่งงานกับทับทิมก็เพราะผู้ใหญ่แนะนำมาให้ อีกทั้งตอนนั้นมารดาอยากให้แต่งงานมีครอบครัวเขาจึงยอม แต่ไม่ได้อยู่กินกันทับทิมเพราะความรักเช่นที่ชาวบ้านเข้าใจ
"ก็ดีแล้วล่ะค่ะที่เสียเวลาไปแค่สองปี แล้วนี่แสนยังคงสืบเรื่องการเสียชีวิตของคุณลุงอยู่หรือเปล่า ถ้ามีอะไรที่วาพอช่วยได้ก็บอกได้นะ"
"ก็สืบอยู่ แต่ว่าไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก" แสนตอบเสียงเรียบ แต่สุคนธวาสังเกตเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของชายหนุ่มจึงไม่อยากชวนเขาคุยมากกว่านี้
"แต่ถ้ามีก็บอกได้เลยนะ วายินดีช่วยทุกอย่างเลย"
"ขอบใจ" แสนตอบขณะที่สายตาทอดมองไปยังสวนส้มใหญ่โตสุดลูกหูลูกตา
"เอ่อ...งั้นแสนก็เดินตรวจไร่ตามสบายเถอะ เดี๋ยววาจะเข้าไปเยี่ยมคุณป้าแสงซะหน่อย แล้วเจอกันนะ"
"อืม..." ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้า
สุคนธวาจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายของเพื่อนสนิทอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหล่อนจึงหมุนตัวเดินกลับไปยังเรือนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ไร่ส้มมากนัก