บทที่ 7 หลงอวี่
ลำธารที่เคยเงียบสงบ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เ
หยียนหลีที่กำลังแช่น้ำอย่างเพลิดเพลินต้องรีบสะดุ้งลุกขึ้นมาเมื่อเสียงดัง ตุ้บ! ดังสนั่นจากบริเวณใกล้เคียง นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปยังต้นเสียง
“ใคร!”
นางตะโกนถามเสียงดัง สะท้อนก้องไปทั่วลำธาร
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เหยียนหลีตัดสินใจลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ พลังวิญญาณที่ยังไม่มั่นคงดีนักทำให้นางโคลงเคลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ละความตั้งใจที่จะป้องกันตัวเอง นางคว้าชุดผ้าที่พาดอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ ๆ มาสวมอย่างลวก ๆ พร้อมกับตั้งพลังวิญญาณเตรียมพร้อม
ในที่สุด สายตาของนางก็จับจ้องไปยังร่างของชายคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นจากพุ่มไม้ ร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มกับเส้นผมที่ถูกรวบไว้เรียบร้อย ชายคนนั้นดูเหมือนจะกำลังพยายามตั้งตัวหลังจากที่ลื่นล้มลงมาตามเนินหิน ใบหน้าของเขามีรอยคราบดินเล็กน้อย แต่ยังคงเห็นความหล่อเหลาที่ซ่อนอยู่
“บังอาจนัก! เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าลอบมองข้า!”
เหยียนหลีคำรามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ นางปล่อยพลังวิญญาณออกมาพร้อมกับดีดตัวลงจากอากาศ มุ่งตรงเข้าหาชายคนนั้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นเงาของนางพุ่งเข้าใส่ เขายกมือขึ้นร้องห้าม
“หยุดก่อน! แม่นาง ฟังข้าก่อน! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองเจ้า!”
แต่เหยียนหลีไม่สนใจคำอธิบายใด ๆ ในหัวของนางเต็มไปด้วยความโมโหและความอับอายที่มีชายแปลกหน้าโผล่มาในขณะที่นางกำลังแช่น้ำ นางรวมพลังไว้ที่มือขวาแล้วปล่อยพลังวิญญาณใส่เขาอย่างไม่ยั้ง
“เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
พลังของนางแม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็แรงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้นได้ เขาใช้แขนกันตัวเองจากแรงปะทะ ก่อนจะรีบกลิ้งหลบออกไปจากจุดที่นางโจมตี
“ข้าบอกให้หยุดก่อน! ข้าแค่หลงทางมาเท่านั้น!”
เขาตะโกนออกมาอย่างจนตรอก
เหยียนหลีไม่มีท่าทีจะหยุด นางหยิบท่อนไม้จากพื้นขึ้นมาได้ก็ฟาดใส่ชายคนนั้นอย่างไม่ยั้ง พร้อมกับพูดด้วยความโมโห
“เจ้าคนไร้ยางอาย! ไม่รู้หรือว่าชายหญิงแตกต่างกัน! กล้ามาบุกรุกแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไว้หรือ!”
ชายหนุ่มพยายามปัดป้องไม้ในมือของนาง ขณะเดียวกันก็พยายามอธิบาย
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ! ข้าสะดุดลื่นลงมา... แม่นาง! เจ้าไม่ฟังคำข้าบ้างเลยหรือ!”
“ไม่ฟัง! เจ้าบังอาจมองข้าแบบนั้น ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้จำไปจนวันตาย!”
ไม้ในมือของเหยียนหลีฟาดลงไปอย่างแรง โดนเข้าที่ศีรษะของชายหนุ่มจนเขาล้มลงไปนอนกับพื้น เสียงเงียบหาย มีเพียงลมที่พัดผ่านและเสียงน้ำไหลที่ดังอยู่เบา ๆ
นางยืนมองร่างของชายหนุ่มที่แน่นิ่งไป พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่คงจะสลบไปแล้วสินะ”
เหยียนหลีค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ร่างของชายคนนั้นอย่างระมัดระวัง นางยืนเท้าเอว มองเขาด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าคิดหรือว่าข้าจะปล่อยเจ้าไว้ถ้าเจ้าทำอะไรไม่สมควรอีก”
ชายหนุ่มยังคงนอนนิ่งอยู่กับพื้น เหยียนหลีจึงใช้ไม้เขี่ยที่แขนของเขาเบา ๆ
“นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”
ไม่มีคำตอบ นางขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ ก่อนจะก้มลงไปมองเขาใกล้ ๆ ดวงตาของเขายังปิดสนิท ใบหน้าซีดเล็กน้อย
“ข้าคงเผลอฟาดแรงไปหน่อย”
นางพึมพำกับตัวเองอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
เหยียนหลีนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม แล้วจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อดูใกล้ ๆ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา นางเริ่มรู้สึกแปลกใจมากขึ้น
“หรือว่า...เจ้าจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา?”
พลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว นางคว้ากำไลหยกที่เฟิงหลงเหยียนมอบให้มาดู แล้วพึมพำกับตัวเอง
“หรือข้าควรใช้สิ่งนี้เรียกเฟิงหลงเหยียนกลับมา?”
“ไม่ได้ ๆ ท่านเฟิงไปทำเรื่องสำคัญ ข้าต้องไม่รบกวน”
นางพูดพลางส่ายใบหน้าสวยไปมา แต่ทันใดนั้น ร่างของ
ชายหนุ่มก็ขยับเล็กน้อย นัยน์ตาสีเข้มของเขาค่อย ๆ ลืมขึ้นมา พร้อมกับเสียงครางเบา ๆ
“อือ...”
เหยียนหลีสะดุ้ง รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือกำไม้ในมือแน่นอีกครั้ง
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ เขายกมือขึ้นลูบศีรษะด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ข้าแค่หลงทางมาที่นี่เท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้?”
“หลงทาง? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ!”
เหยียนหลีตอบกลับเสียงแข็ง
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏตัวตรงนี้ในขณะที่ข้ากำลังแช่น้ำอยู่! เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร?”
“ข้าพูดจริง!”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าเพียงเดินตามทางในป่า แต่บังเอิญพลาดลื่นตกลงมา! ข้าไม่รู้เลยว่ามีใครอยู่ที่นี่”
เหยียนหลีจ้องมองเขาอย่างสงสัย ท่าทีของเขาดูไม่เหมือนคนโกหก แต่ความไม่ไว้ใจก็ยังคงอยู่ในใจ
“แล้วเจ้าคือใครกันแน่?”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
“ข้าชื่อหลงอวี่ เป็นเพียงนักเดินทางที่กำลังตามหาสมุนไพรหายากในป่าแถบนี้”
“หลงอวี่...” นางพูดชื่อนั้นเบา ๆ ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะเชื่อเขาดีหรือไม่
“แล้วแม่นางล่ะ? เหตุใดถึงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง?”
คำถามนั้นทำให้เหยียนหลีชะงัก นางหลบสายตาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ
“เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
นางจะไม่มีทางบอกให้ผู้ใดรู้ ว่าร่างที่แท้จริงของนางคือดอกบัว
นิรันดร์
หลงอวี่ยิ้มมุมปาก
“ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของเจ้านักหรอก แต่ถ้าเจ้าตั้งใจจะทำร้ายข้าอีก ข้าคงต้องป้องกันตัวเอง”
“ป้องกันตัวเอง? เจ้าคิดว่าข้ามิอาจสู้เจ้าได้หรืออย่างไร?” เหยียนหลีตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยัน
“ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้”
เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แต่เจ้าควรรู้ไว้ ว่าข้าก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครทำร้ายได้ง่าย ๆ เช่นกัน”
เหยียนหลีจ้องมองหลงอวี่ด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากบางของนางยกยิ้มเยาะ
“อีกสักทีดีไหม? เจ้าน่ะ!”
นางพูดพร้อมกับง้างมือขึ้น พลังวิญญาณเริ่มหมุนวนรอบฝ่ามือของนาง ราวกับเตรียมจะโจมตีอีกครั้ง หลงอวี่ที่กำลังนั่งอยู่ต้องรีบยกแขนขึ้นมาปัดป้องโดยไม่ทันได้คิด สัญชาตญาณในการป้องกันตัวของเขาทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังกลัว
“เดี๋ยวสิ! แม่นาง! ใจเย็นก่อน!”
หลงอวี่พูดพร้อมกับถอยหลังไปสองก้าว ดวงตาเต็มไปด้วยความลนลาน
“ใจเย็นหรือ?”
เหยียนหลีแค่นเสียง
“ข้าจะเย็นได้อย่างไร เจ้ากล้าพูดว่าจะปกป้องตัวเองจากข้า! แทนที่จะอธิบายว่าความจริงแล้วเจ้าคือใคร!”
หลงอวี่ถอนหายใจแรงอย่างจนปัญญา
“ก็ได้ ๆ ข้าพูดแล้ว ฟังข้านะ ข้าไม่อยากสู้กับเจ้าเลย
จริง ๆ”
“ดี”
เหยียนหลีลดมือที่ง้างอยู่ลงเล็กน้อย แต่ยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบพูด อย่าให้ข้าต้องหมดความอดทน”
หลงอวี่ยืดตัวขึ้นสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดออกมา
“ข้าชื่อหลงอวี่...”
“ข้าคงต้องอธิบายให้เจ้าฟังแล้ว ข้าคือหลงอวี่ ศิษย์ของสำนักเซียนเทียนหลง ข้าถูกส่งมายังป่าแห่งนี้พร้อมศิษย์พี่และศิษย์น้องอีกหลายคนเพื่อฝึกฝนพลังตบะ”
เหยียนหลีเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวในแม่น้ำของข้า? หรือเจ้ากำลังโกหก?”
หลงอวี่ถอนหายใจ
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไมกัน? ฟังให้จบก่อนสิ ระหว่างที่ข้าและพวกพ้องกำลังฝึกฝนอยู่ในป่า เราถูกสัตว์อสูรจากเผ่าปีศาจจู่โจม มันเป็นพยัคฆ์เพลิงสองหัวที่มีพลังอำนาจมหาศาล”
เหยียนหลีชะงักไปเล็กน้อย นางเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์อสูรในป่าลึก แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้
“แล้วเจ้าเป็นเซียนแท้ ๆ ยังหนีมันไม่ได้หรือ?”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เจ้าคิด”
หลงอวี่ตอบพลางส่ายหน้า
“พวกเราเพิ่งเข้าสู่ระดับฝึกฝนขั้นกลาง แม้จะพอรับมือได้บ้าง แต่พยัคฆ์เพลิงสองหัวนั้นมีพลังรุนแรงเกินกว่าที่พวกเราจะต่อกรได้ ศิษย์พี่ของข้าพยายามล่อมันออกไป ส่วนข้าถูกสั่งให้พาศิษย์น้องคนอื่นหลบหนี แต่ระหว่างทางพลังของมันทำให้พื้นที่รอบข้างสั่นสะเทือนและข้าพลัดหลงเข้ามาในเขตของเจ้า”
เหยียนหลีมองเขาอย่างครุ่นคิด แม้คำพูดของหลงอวี่จะฟังดูจริงใจ แต่บางอย่างในตัวเขายังคงทำให้นางไม่วางใจ นางจึงถามต่อ
“แล้วตอนนี้พวกศิษย์พี่และศิษย์น้องของเจ้าหายไปไหนกันหมด?”
หลงอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาแฝงด้วยความกังวล
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน หลังจากที่ข้าพลัดหลง ข้าก็ไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้อีก”
“หึ แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าพวกเขาอาจจะตายไปแล้ว?”
เหยียนหลีถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
หลงอวี่ส่ายหน้า
“ข้ารู้จักพวกเขาดี พวกเขามีฝีมือพอที่จะเอาตัวรอดได้ ศิษย์พี่ของข้าเก่งกาจที่สุดในสำนัก เขาต้องหาวิธีช่วยศิษย์น้องและกลับไปรายงานอาจารย์แน่นอน”
เหยียนหลีหัวเราะเบา ๆ
“เจ้ามั่นใจในตัวพวกเขาเสียจริง”
“เพราะข้ามั่นใจในคำสอนของอาจารย์”
หลงอวี่ตอบ
“สำนักเซียนเทียนหลงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ฝึกฝน แต่เป็นครอบครัวที่คอยปกป้องกัน”
คำพูดนั้นทำให้เหยียนหลีชะงัก นางไม่เคยมีครอบครัวที่แท้จริง ไม่เคยมีใครคอยปกป้อง มีเพียงแต่เฟิงหลงเหยียนที่สัญญาว่าจะปกป้องแต่กลับไม่พานางไปด้วย เหยียนหลีหลบสายตาและพูดกลบเกลื่อน
“ก็ดีแล้วที่เจ้ามีคนคอยดูแล”
หลงอวี่มองนางอย่างสงสัย
“แล้วเจ้าล่ะ? อาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังงั้นหรือ?”
“ข้าก็อยู่ของข้าแบบนี้มาตลอด จะมีหรือไม่มีใครก็ไม่ต่างกัน”
เหยียนหลีตอบเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่นางพยายามปิดบัง
หลงอวี่สังเกตเห็นแววตาเศร้าเล็ก ๆ ในดวงตาของนาง แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามต่อ
“ข้าขอถามอีกเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
“ว่ามา”
“เหตุใดพลังวิญญาณของเจ้าจึงแปลกประหลาดนัก? ข้าไม่เคยพบใครที่มีพลังเช่นเจ้า”
เหยียนหลีชะงัก นางหลบสายตาและพูดเบา ๆ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน มันติดตัวข้ามาตั้งแต่จำความได้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของเจ้า?”
“เจ้าพูดเหมือนกับเจ้ารู้”
เหยียนหลีตอบกลับ
“หรือเจ้าแค่เดา?”
หลงอวี่ยิ้มบาง
“ข้าแค่สงสัย เพราะพลังของเจ้ามันไม่ธรรมดา ข้ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่ข้าก็ไม่กล้าสรุปอะไร”
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าสรุปอะไรทั้งที่ยังไม่รู้”
นางตอบอย่างเย็นชา
หลงอวี่หัวเราะเบา ๆ
“ได้ ๆ ข้าจะไม่พูดอะไรอีก แต่ข้าอยากจะอยู่ที่นี่สักระยะ เพื่อฟื้นฟูพลังและหาทางกลับไปหาศิษย์พี่ศิษย์น้อง เจ้าจะอนุญาตหรือไม่?”
เหยียนหลีมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะพยักหน้า
“เจ้าจะอยู่ก็ได้ แต่อย่ามาสร้างปัญหาให้ข้า”
“ขอบคุณมาก แม่นาง”
หลงอวี่พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง