7
คนมีตำหนิ
พิณลดายืนสงบนิ่งอยู่ในห้องทำงานของรองศาสตราจารย์นายแพทย์วาทีที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลทางการแพทย์ในคอมพิวเตอร์ โดยเขาให้เธอยืนรอเงียบๆ เช่นนี้มาห้านาทีแล้ว กระทั่งพิณลดาเผลอถอนหายใจเสียงดัง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจึงเหลือบขึ้นมองหญิงสาวชุดกาวน์ที่ยืนอยู่
“คุณก็อดทนยืนเก่งดีนะ”
รู้น้อยไปเสียแล้ว พิณลดาหมายมั่นไว้ในใจว่าหากเขายังไม่พูดอะไรภายในหนึ่งนาทีนี้เธอจะขอตัวกลับไปทำงาน เรียกเธอมาพบก็ปล่อยให้ยืนรออย่างเสียเวลาเปล่า
“อาจารย์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ” นายแพทย์วัยสี่สิบเจ็ดปีลุกมายืนกอดอกใกล้แพทย์หญิง ระยะที่ห่างกันเพียงหนึ่งฟุตสร้างความอึดอัดจนพิณลดาต้องก้าวออกห่าง
“คุณรังเกียจผมเหรอ แสดงออกชัดเจนเกินไปหรือเปล่า หึ!” วาทีแค่นเสียงขึ้นจมูก เหยียดยิ้มมองคนที่วางมาดหยิ่งอย่างรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็เกลียดเธอไม่ลง
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้รังเกียจ แค่รู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันเกินไป”
“กลัวใครมาเห็นเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นี่ห้องส่วนตัวของผม” วาทีว่าพลางวางมือบนไหล่บาง หากแต่หญิงสาวรีบถอยกรูดทันที
พิณลดากัดฟันบีบมือสุดฤทธิ์ เธอไม่อยากมีปัญหาให้ชีวิตการเป็นแพทย์ประจำบ้านยุ่งยากไปมากกว่านี้ ปัญหาเท่านี้เองเธอเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
“อาจารย์อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ เราควรเว้นระยะห่าง มันคงไม่ดีหากมีใครมาเห็นเข้า”
“คุณแคร์สายตาคนอื่นเหรอ”
“ก็เราเป็นสัตว์สังคมนี่คะ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้เลยไม่ต้องแคร์ใคร” และหากเธอไม่แคร์อะไรก็คงจะประเคนหมัดบนใบหน้านั้นไปแล้ว ให้ตายเถอะ พิณลดาไม่อยากมองหน้าหมอนี่ให้เสียสายตาเลย
“คุณนี่ยังกล้ากับผมไม่เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่เป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งยันตอนนี้ที่ขึ้นปีสองแล้ว นี่คุณไม่ใจอ่อนกับผมบ้างเหรอ”
วาทีไม่คิดว่าตนขี้เหร่ แม้ไม่หล่อออร่าจับ แต่พื้นฐานหน้าตาก็อยู่ในระดับสามัญทั่วไป จมูกโด่งก็ทำมาอย่างเป็นธรรมชาติ หรือเธอรังเกียจที่เขาทำศัลยกรรมพลาสติก
“ขออภัยจริงๆ ค่ะ ฉันโฟกัสแค่เรื่องงานและยังไม่อยากมีความรัก”
“แต่คุณก็อายุมากขึ้นทุกวันๆ ปีหน้าก็เลขสามแล้วนี่ แถมยังมีลูกติด”
“แล้วไงคะ อาจารย์จะบอกว่าเพราะอายุเริ่มเยอะและมีลูกติด ก็ไม่ควรจะเลือกมากใช่ไหม หมูหมากาไก่ก็เลือกๆ ไปอย่างงี้เหรอคะ”
“เปล่าซะหน่อย ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” แต่เอ... ประโยคที่เธอว่าเมื่อกี้ไม่ใช่กำลังเปรียบว่าเขาเป็นหมูหมากาไก่อยู่เหรอ “ถึงคุณมีลูกและท้องในวัยเรียนจนต้องดรอปไป แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจ ตัวผมเองก็มีตำหนิ ผมเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วสองครั้ง”
พิณลดาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดชีวิตแต่งงานของวาทีถึงล้มเหลว ก็คงเพราะนิสัยที่คิดว่าตนดีเด่เหนือใครแบบนี้ไงล่ะ
“สรุปว่าอาจารย์ไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องงานใช่ไหมคะ”
“โอเค ผมไม่นอกเรื่องแล้วก็ได้ ที่เรียกมานี้ก็เพราะเรื่องงานนี่แหละ ผมจะคุยกับคุณเรื่องเคสเด็กสามเดือนที่มาด้วยอาการชักเกร็งเมื่อสามวันก่อน”
“ทำไมเหรอคะ”
เขามีอะไรจะตำหนิอย่างนั้นเหรอในเมื่อเคสนี้ผ่านมาสามวันและเด็กก็ออกจากโรงพยาบาลอย่างปลอดภัยแล้ว แถมดารัณแม่ของเด็กยังขอแลกเบอร์กับเธอ บอกว่าอยากผูกมิตรทำความรู้จัก ตลอดระยะเวลาที่ทารกน้อยรักษาตัวอยู่ที่นี่พิณลดาได้พูดคุยกับดารัณทุกวัน ความสนิทสนมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่ดารัณเอ่ยชวนเธอไปร่วมงานวันเกิดที่จะถึงนี้
“เห็นทีผมคงต้องรายงานเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการ” นายแพทย์ยิ้มเย็นแล้วถอยไปนั่งไขว่ห้างบนโซฟาสีดำ
“เพราะอะไรเหรอคะ”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอหมอพิณถึงได้ให้ Hydrocortisone IV [1] โดยที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ป่วยมีภาวะ Adrenal Insufficiency [2] ”
“แต่ในสถานการณ์นั้นเด็กมีภาวะ Hypoglycemia [3] , Hypothermia [4] และ Hypotension [5] ซึ่งเข้าข่าย Adrenal Crisis [6] การให้ Hydrocortisone ทันทีเป็นแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานไม่ใช่เหรอคะ ถ้าต้องรอผลเลือดและปัสสาวะซึ่งใช้เวลาตรวจหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ถ้าต้องรอนานขนาดนั้นเด็กคงช็อกและเสียชีวิตไปก่อน”
“หึ! คุณนี่มันเก่งจริงๆ เลยนะ เก่งในที่นี้คือเถียงเก่งนะ”
วาทีไม่ชอบผู้หญิงฉลาดจอมผยอง แต่เขาจะละเว้นให้พิณลดาหนึ่งราย ยิ่งเธอผลักไสก็ยิ่งรู้สึกท้าทาย
“แต่ฉันคิดว่าฉันทำตามแนวทางปฏิบัติ...”
“แนวทางปฏิบัติงั้นเหรอ เหอะ! คุณเป็นแค่แพทย์ประจำบ้านปีสองนะหมอพิณ แต่ดันทำตัวเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อเด็ก ผมเห็นสมควรว่าต้องรายงานการปฏิบัติงานของคุณต่อคณะกรรมการ โดยผมจะกล่าวหาว่าคุณใช้ยาเกินความจำเป็นและอันตรายต่อเด็ก”
“คะ?”
“เว้นแต่ว่าถ้าคุณยอมไปกินข้าวดูหนังกับผม ไม่สิ แบบนั้นน้อยไป เอาเป็นว่าถ้าคุณตกลงคบกับผม ผมจะไม่รายงานเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการ”
พิณลดาเหลือจะเชื่อเลย คนพรรค์นี้ช่างเหมาะแก่การเป็นใหญ่เป็นโตเหลือเกิน ประเทศไทยจงเจริญ! หมดปัญญาจีบผู้หญิงเลยต้องพึ่งวิธีบีบบังคับ เวทนาเหลือเกิน
“การช่วยชีวิตของฉันไม่ได้กระทำโดยขาดเหตุผล มันคือภาวะฉุกเฉินที่ฉันต้องตัดสินใจเอง”
“ตัดสินใจเองงั้นเหรอ ผมเป็นแพทย์ที่ปรึกษา คุณเห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”
พิณลดาไม่ได้เห็นเป็นหัวหลักหัวตอ แต่เห็นเป็นคนแก่ประสาทกลับต่างหาก
“เปล่าเลยค่ะ อาจารย์จำไม่ได้จริงๆ เหรอคะว่าคืนเกิดเหตุเมื่อสามวันก่อนฉันโทร.หาอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำ แต่อาจารย์เมาและโวยวายว่าโทร.มาทำไมนักหนา น่ารำคาญ แล้วก็ตัดสายทิ้ง” หมัดนี้ของพิณลดาเปลี่ยนสีหน้านายแพทย์จนอึ้งเหวอ
“คุณโทร.มาเหรอ ไม่จริงหรอก ผมไม่เห็นจำได้เลย” วาทีควักโทรศัพท์มาเช็กประวัติการโทร ซึ่งไม่พบเบอร์ของพิณลดาเลย “ไม่เห็นชื่อคุณโทร.เข้ามา”
“เป็นเครื่องของพยาบาลที่โทร.ไปค่ะ”
“อ้อ งั้นเหรอ ก็ไม่ใช่เบอร์ที่ผมเมมไว้ก็เลยไม่อยากรับสาย”
“ยังไงก็ตาม คำพูดตวาดของอาจารย์ในคืนนั้นได้ยินกันถ้วนทั่วเลยค่ะ รวมทั้งพ่อแม่ของเด็กที่ป่วยด้วย ในเมื่ออาจารย์วาทีเป็นแพทย์ที่ปรึกษาแต่ไม่ยอมให้คำปรึกษา แบบนี้ฉันสามารถใช้โต้แย้งคณะกรรมการได้ไหมคะ”
“หึ! เธอมัน... ฮึ่ย!” วาทีเข่นเขี้ยวแล้วหยิบเอกสารบนโต๊ะมาดูอีกครั้ง “อะนี่ไง ผลเลือดไม่มีหลักฐานว่าต่อมหมวกไตเด็กผิดปกติเลย ถ้าผมจะกล่าวหาว่าคุณใช้ยาเกินความจำเป็นและเป็นอันตรายต่อเด็ก คราวนี้จะเถียงว่ายังไง”
“บางรายอาจไม่มีผลเลือดผิดปกติในช่วงแรก ถ้ารอให้เด็กเข้าสู่ภาวะวิกฤตเพื่อยืนยันผลตรวจ มันอาจสายเกินไป ถ้าเด็กตายและผู้ปกครองฟ้องร้องขึ้นมาจะทำยังไงคะ”
“คุยกับคุณมันน่าหงุดหงิดชะมัด จะไปไหนก็ไปเลยไป”
“ขอบคุณค่ะ” พิณลดาตอบรับทันทีอย่างไม่รีรอ วาทีอ้าปากเหวอแต่ไม่ทันได้กล่าวอะไร เมื่อถูกขัดจังหวะด้วยหญิงวัยกลางคนร่างอวบที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไม่ให้สัญญาณ
“อ้าว! พี่ทีมีแขกอยู่เหรอเนี่ย”
“วันหลังก็หัดเคาะประตูบ้างสิ” วาทีตอบกลับวิภา ซึ่งเป็นน้องสาวคลานตามกันมา สตรีวัยสี่สิบสามปีไม่สนใจการตำหนิของพี่ชายและปรายมองพิณลดาอย่างเยาะหยัน
“มาหาพี่ฉันถึงในห้อง ไม่ได้จะมาอ่อยให้ความหวังแล้วก็ทำเล่นตัวหรอกใช่ไหม”
“นี่มันเวลาทำงานค่ะ คุณเห็นกาวน์ที่ฉันสวมอยู่ไหมคะ เห็นผมเผ้ายุ่งเหยิงและริมฝีปากที่ไร้สีสันนี่ไหม มันเป็นร่องรอยหลักฐานว่าฉันมัวทำงานจนไม่มีเวลาเสริมสวย ฉะนั้นหยุดคิดไปได้เลยว่าฉันจะทำอะไรอย่างที่คุณวิภาว่า” อีกอย่างเธอไม่ได้พิศวาสอีตาอาจารย์แพทย์ประสาทกลับนี่เลยสักนิด
“อวดดี! ถ้าฉันไม่เกรงใจพี่ชายฉันนะ รับรองว่าฉันจะฟาดหน้าหล่อนให้เลือดกบปากเลย”
วิภากระแทกกระเป๋าหรูบนโต๊ะทำงานพลางเลื่อนเก้าอี้นั่ง พิณลดาส่ายหน้าระอาแล้วออกไปจากห้องพร้อมเสียงแจ๋นของวิภาที่ตั้งใจพูดดังไล่หลัง
“ไม่รู้ว่าพี่ทีจะหลงอะไรนังนี่นักหนา ทำเป็นหยิ่งทำเป็นเล่นตัวทั้งที่ตัวเองเป็นของมีตำหนิ แรดจนท้องไม่มีพ่อ เหอะ! คนแบบนี้น่ะเหรอที่พี่จะเอามาเป็นเมีย”
พิณลดาเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่หลังประตู หักห้ามใจไม่ให้เปิดผลัวะกลับเข้าไปด่ายัยเจ๊นั่น คิดว่าเธออยากได้พี่ชายประสาทกลับของเจ๊แกมาเป็นสามีเหรอ เจอกันครั้งหน้าถ้ายังปากหมาอีกพิณลดาจะไม่ยอมแล้วแน่
ตอนนี้ได้แต่กัดฟันกล่อมใจว่าอย่าไปสนคนพรรค์นั้น ก็แค่ยัยมนุษย์ป้าคนหนึ่ง วิภาไม่มีค่าอะไรให้พิณลดาต้องแลก จะใส่ใจอะไรกับคนที่มีพี่ชายเป็นหมอแท้ๆ แต่ตอนลูกป่วยกลับเอาน้ำมนต์มาให้ลูกกิน วิภาเคยทำแบบนั้นตอนที่ลูกชายของเธอป่วยเข้าโรงพยาบาล ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าลือไปทั่วโรงพยาบาลจนวาทีหน้าบางอยู่พักหนึ่ง
****
[1] เป็น glucocorticoid ที่ใช้ทดแทนในภาวะขาดฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต หรือใช้ลดการอักเสบในภาวะเฉียบพลัน การให้ IV (Intravenous) หมายถึงการฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำโดยตรง
[2] ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมหมวกไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมนกลุ่ม cortisol และ aldosterone ได้เพียงพอ อาจเป็นแบบเรื้อรัง (เช่น โรค Addison’ s disease) หรือเฉียบพลัน (Adrenal crisis)
[3] ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งเป็นอาการสำคัญของ Adrenal Crisis เนื่องจากร่างกายขาด cortisol ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
[4] ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
[5] ภาวะความดันโลหิตต่ำ
[6] ภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนคอร์ติโซลอย่างเฉียบพลัน