9
มีพิรุธ
พิณลดาจอดรถญี่ปุ่นในลานจอดหน้าบ้าน ก่อนตรงไปหาบิดาที่นั่งแกะเปลือกกระเทียมอยู่ตรงม้าหินอ่อนข้างกำแพงบ้าน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นแปลงผักสวนครัวรั้วกินได้ที่ป้ามาลัยและมานพปลูกไว้มาหลายปีแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยไหมวันนี้”
“เหนื่อยเป็นปกติเหมือนทุกวันเลยค่ะ วันนี้พ่อก็ออกไปขับรถทั้งวันเลยสินะคะ”
มานพยิ้มแทนคำตอบ พิณลดาเข้ามายอบนั่งฝั่งตรงข้าม
“พิณว่าพ่อพักบ้างก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเลย ดูแลสุขภาพตัวเองบ้าง”
“พ่อแข็งแรงดี” ก็มีบ้างที่เจ็บออดๆ แอดๆ ตามประสาคนแก่ มานพรู้ดีว่าร่างกายตนเริ่มโรยราตามการใช้งานและกาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป
“ทราบค่ะว่าแข็งแรงดี แต่เพลาๆ ลงบ้างเถอะ ไม่จำเป็นต้องออกไปขับรถตั้งแต่ตีสี่ตีห้า หรือไม่ก็เลิกขับแท็กซี่ไปซะ”
“แล้วพ่อจะทำอะไรกินล่ะ พ่อไม่ชอบอยู่เฉยๆ”
“พิณคุยกับป้ามาลัยว่าจะเปิดร้านขนมให้หรือไม่ก็ขายอาหารเหนือเล็กๆ น้อยๆ ที่หน้าบ้านเราไปก่อน พ่อก็ช่วยป้าทำ พ่อเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้วนะ พิณเองก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ตอนนี้มีงานมีการทำแต่ยังปล่อยพ่อทำงานงกๆ”
“โอ๊ย อย่าคิดมากเลย พ่อชอบทำงานไม่ชอบนั่งนอนเฉยๆ เดี๋ยวตัวขี้เกียจมันจะครอบงำเอา ว่าแต่เจ้าดำเกิงมันเป็นยังไงบ้าง”
มานพหมายถึงรถยนต์ที่ลูกสาวขับอยู่ทุกวัน ซึ่งพิณลดาเป็นคนตั้งชื่อรถว่าดำเกิง ทีแรกมานพส่ายหัวค้านและจะตั้งชื่อว่าเฉาก๊วย แต่พิณลดาไม่เอาโดยบอกว่าชื่อเฉาก๊วยฟังดูโบราณมาก
“ช่วงนี้สตาร์ตไม่ค่อยติด เด็กๆ ก็บ่นว่าแอร์ไม่เย็น”
“ซื้อคันใหม่ไหม เดี๋ยวพ่อดาวน์ให้สักสี่แสน”
“ถ้าจะวางเงินดาวน์ขนาดนั้นก็ซื้อสดเลยไหมคะ ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ตอนนี้ดำเกิงยังไหว พิณไม่อยากสิ้นเปลืองมาก แล้วนี่เจ้าแฝดไปไหนซะล่ะ”
“นู่นไง” สองพี่น้องเดินออกมาจากบ้านทันทีที่พิณลดาถามจบ ทั้งสองยกมือสวัสดีแม่แล้วพากันโถมตัวกอดคนละฝั่ง
“เย็นนี้กินอะไรกันดีคะลูกลิงของแม่”
“แม่หมอไม่รู้เหรอคะว่ายายจะทำหมูกระทะ เห็นบอกว่าหมักหมูไว้ตั้งแต่บ่ายสองแล้ว” ฮันนี่ตอบพลางนั่งลงข้างคุณตาแล้วช่วยแกะเปลือกกระเทียม
“ว้าว จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย แม่กำลังอยากกินเนื้อย่างหอมๆ อยู่พอดี ว่าแต่วันนี้เราสองคนไปทำอะไรแปลกๆ มาหรือเปล่า”
“แปลกๆ คืออะไร” ฮันเตอร์ผละจากแม่พลางก้มนั่งดึงหญ้าบนสนามอย่างซ่อนพิรุธ
“ก็เมื่อกี้มีผู้ชายโทร.หาแม่แล้วบอกว่าลูกไปวุ่นวายกับเขาถึงที่ทำงาน ถ้าหูแม่ไม่เพี้ยนเหมือนว่าได้ยินเสียงฮันเตอร์ในโทรศัพท์นะ” พิณลดาฟันธงไม่ได้ว่าใช่เสียงลูกชายจริงไหม เพราะดังแว่วแค่ไม่กี่วินาที
“เปล่าเลย ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ทั้งนั้น แม่น่าจะโดนแกล้งแล้วล่ะฮะ ผมไปทำการบ้านต่อดีกว่า การบ้านเยอะมาก”
“ใช่ๆ การบ้านเยอะมาก รอฮันนี่ด้วยพี่เตอร์”
เด็กหญิงวิ่งตามพี่ชายเข้าไปในบ้าน จากเดิมที่ตั้งใจจะมาช่วยคุณตาแกะกระเทียม แต่ต้องเปลี่ยนแผนด้วยกลัวแม่จะถามอะไรไปมากกว่านี้ คุณยายเคยบอกว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี โดยเฉพาะโกหกพ่อแม่ ฮันนี่กลัวบาป
“แปลกๆ นะ” พิณลดาหรี่ตามองตามร่างเล็กที่หายลับไปแล้ว ก่อนหันกลับมาทางบิดา “เย็นนี้พ่อไปรับเจ้าแฝดที่โรงเรียนใช่ไหมคะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“อะไรผิดปกติเหรอ? อืม... ก็ไม่มีนะ จะมีก็แต่สองพี่น้องที่บอกว่าวันนี้เลิกช้าหน่อยเพราะมีกิจกรรมที่โรงเรียน ทำไมเหรอ ใครโทร.หาลูก”
“เป็นผู้ชายค่ะ เขาบอกว่าฮันเตอร์กับฮันนี่ไปวุ่นวายกับเขาที่ทำงาน พิณก็งงว่าลูกจะทำอย่างนั้นทำไม”
“สงสัยคงเป็นพวกมิจฉาชีพมั้ง สมัยนี้มีมาทุกรูปแบบ มันหลอกถามข้อมูลส่วนตัวหรือเรียกค่าไถ่หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เขาวางสายไปก่อน ช่างเถอะค่ะ แค่เรื่องบ้าๆ หนูขี้เกียจหาสาระ เอาสมองไว้คิดเรื่องงานดีกว่า ว่าแต่ต้นไม้ในกระถางนั้นหนูขอได้ไหม”
“ต้นไหน” มานพเหลียวมองตามมือลูกสาวก่อนทำตาโต “อย่าบอกนะว่าต้นส้มจี๊ด”
“ใช่จ้ะ”
“จะเอาไปทำไม”
“เอาไปเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนน่ะค่ะ” ดารัณแม่ของเด็กสามเดือนที่พาลูกมาแอดมิตเมื่อหลายวันก่อน โทร.ชวนพิณลดาไปร่วมงานวันเกิด เธอก็ดันปากไวตอบตกลงไปเสียแล้ว
“แล้วไม่มีของขวัญอย่างอื่นจะให้แล้วเหรอ ทำไมต้องมาปล้นต้นไม้พ่อ”
“ก็ต้นส้มจี๊ดมันสวยอะ ดูสิออกผลสีส้มสุก ส๊วยสวย”
“ส๊วยสวยก็ให้มันสวยอยู่ในบ้านนี่แหละ กระถางมันใหญ่แล้วเราจะบ้ายกเอาไปให้เขาแบบนี้เหรอ”
“ยกได้สิคะ ไม่หนักหรอก แค่นี้ไม่คณามือพิณลดา”
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ให้ ไปหาซื้อของขวัญเอาเองเลย อย่างก”
“หนูไม่ได้งก แค่ไม่มีเวลา”
“ยังไงก็ไม่ได้ ห้ามเอาต้นนี้ไปเด็ดขาดนะ”
“งกมาก! เชอะ!”
****
หนึ่งวันผ่านไปหลังจากที่จรณ์ถูกสองพี่น้องมาป่วนถึงหน้าบริษัท แม้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเก็บมาใส่ใจ ทว่าเขากลับเอาแต่นึกถึงหน้าของเด็กทั้งสอง คิดวนเวียนตั้งแต่ค่ำจรดเช้า จวบจนตอนนี้ก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เด็กสองคนนั้นมาปั่นป่วน
จรณ์เริ่มหงุดหงิดกับตัวเองจนเกือบจะสั่งคนตามสืบหาตัวเด็กพวกนั้น เขามีเบอร์แม่ของเด็กอยู่ในเครื่องและบ่อยครั้งที่นึกอยากกดโทร.ออกเพื่อสอบถามให้กระจ่างแจ้ง แต่ก็ทำได้แค่คิด…
“คุณอายุ่งอยู่หรือเปล่าคะ” ดารัณกระแอมถามจรณ์ที่ยืนกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ริมสระน้ำ
“เปล่าๆ อาไม่ได้ยุ่ง รัณมีอะไรเหรอ”
“รัณจะวานคุณอาไปรับคุณหมอที่โรงพยาบาลให้หน่อยได้ไหมคะ พอดีพี่หรั่งขับรถพาคุณปู่ไปบ้านเพื่อนน่ะค่ะ”
“ได้สิ ว่าแต่มีใครเป็นอะไรเหรอถึงต้องตามหมอมาที่นี่ หรือเจ้าปรัชญ์เจ้าปราชญ์ไม่สบาย”
“ทุกคนสบายดีค่ะอาจรณ์ คือคุณหมอท่านนี้เป็นคนที่รักษาน้องปราชญ์ ตอนที่แอดมิตสามวันรัณมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณหมอบ่อยๆ รู้สึกถูกชะตามากค่ะ รัณก็เลยชวนเธอมางานวันเกิดของรัณกับคุณภาคย์ และรัณเสนอว่าเดี๋ยวจะให้คนขับรถไปรับ คุณหมอจะได้ไม่ต้องขับมาเอง แต่พี่หรั่งยังไม่เสร็จธุระ ส่วนคุณภาคย์ก็ติดลูกค้าอยู่ที่บริษัท”
ดารัณและสามีมีวันเกิดวันเดียวกัน ทีแรกทางบ้านเชียร์ให้จัดงานฉลองใหญ่โตและเชิญคนมาจากหลากหลายวงการ แต่ดารัณพร้อมใจกับภาคย์ส่ายหน้าไม่เอาด้วย และขอจัดงานแบบส่วนตัวเป็นกันเอง เชื้อเชิญเฉพาะคนที่สนิทสนมเท่านั้น
“ได้สิ เดี๋ยวอาไปให้เอง”
“คุณอาว่างแน่นะคะ รัณเห็นอาจรณ์ดูเครียดๆ เหมือนกำลังคิดอะไรตลอดเวลา” ดารัณเกรงใจที่ต้องรบกวนคุณอา แต่ในเมื่อรับปากคุณหมอพิณลดาไปแล้วก็ไม่อยากปรับเปลี่ยน
“สมองอาก็มีเรื่องให้คิดตลอดน่ะแหละ แต่อาว่างจริงๆ นะ คุณหมอของรัณอยู่โรงพยาบาลไหนเหรอ”
“โรงพยาบาลศิริบำรุงค่ะ แต่คุณอาเอารถตู้อัลพาร์ดสีดำนั้นไปได้ไหมคะ พอดีรัณบอกป้ายทะเบียนและยี่ห้อรถไปแล้วค่ะ แต่บอกใหม่ก็ได้นี่เนอะ เอารถที่คุณอาสะดวกดีกว่า”
“ไม่เป็นไร อาขับคันนั้นได้ รัณไปเตรียมงานเถอะ งั้นอาออกไปเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณอา นี่กุญแจค่ะ”
จรณ์รับกุญแจรถจากหลานสาวที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในตระกูลได้เพียงหนึ่งปี หลังจากพลัดพรากหายสาบสูญไปกว่ายี่สิบห้าปี ทุกคนในบ้านนาถสุวรรณทั้งทุ่มเทตามหาและเฝ้ารอการกลับมาของดารัณทุกลมหายใจ แม้ใครหลายคนต่างหมดศรัทธาในปาฏิหาริย์ แต่จักรินและราณีผู้เป็นบุพการีของดารัณยังต่อลมหายใจด้วยความหวังอยู่เสมอ
“อ้าว แกจะไปไหนเหรอจรณ์ เพิ่งกลับจากบริษัทไม่ใช่เหรอ” จักรินบิดาของดารัณ และมีศักดิ์เป็นพี่ชายที่ห่างวัยกับจรณ์ถึงสิบปีเอ่ยทัก
“คือรัณขอให้อาจรณ์ไปรับคุณหมอมาร่วมงานเลี้ยงน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ ว่าแต่ปรัชญ์กับปราชญ์ตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วค่ะ คุณแม่ก็อยู่กับหลานในห้อง”
“งั้นพ่อไปหาหลานดีกว่า”