บ้านนอกเข้ากรุง

1300 คำ
ท่ามกลางความร้อนของแสงแดดช่วงเที่ยงวัน หญิงสาวยืนบนทางเท้ารอจังหวะข้ามถนน ไปยังอีกฟากของฝั่งถนน พอเท้าก้าวลงบนถนนได้เพียงไม่กี่ก้าว เอี๊ยด… เสียงเบรกของรถดังสนั่นหวั่นไหว คนในรถแทบคะมำไปตาม ๆ กัน “มีอะไรนายชัย” คนที่นั่งมาในรถเอ่ยถามคนขับรถ “ชนครับ ชนคนครับคุณท่าน” คนขับบอกด้วยเสียงสั่นเครือ “อ้าว รีบไปดูสิชัย เขาเป็นอะไรมากไหม เร็วเข้า” จิตใจร้อนรนกลัวคนถูกชนจะเจ็บหนัก พลางสั่งให้คนขับรถรีบลงไปดู หากเป็นอะไรมากจะได้เรียกรถพยาบาล ชัยคนขับรถกระวีกระวาดรีบเปิดประตูลงไปดู เขาเห็นเด็กสาวอายุไม่น่าเกินสิบแปดปี ผมสั้นประบ่าสีน้ำตาล สวมเสื้อยืดตัวใหญ่กางเกงยีนขายาวสีซีด ๆ ข้างตัวมีกระเป๋าเป้เก่า ๆ ตกอยู่ข้างกาย คาดว่าเป็นของเด็กสาว เธออยู่ในอาการตกใจหวาดกลัวตัวสั่น น้ำตาไหลพรากหลับตาแน่น “เป็นอะไรมากไหมหนู” ชัยยื่นมือไปจับหัวไหล่ รับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหว พร้อมกับกระเถิบร่างหนี ทั้งที่ตัวเองนั่งแหมะที่พื้น จนชัยต้องถามอีกครั้ง “หนูเป็นอะไรมากไหม ฉันเป็นคนขับรถคันนี้ชนหนู” หญิงสาวได้ยินดังนั้น จึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ ขึ้นมองคนตรงหน้า “หนูไม่เป็นอะไรค่ะ หนูไม่ทันระวัง ขอโทษด้วยนะคะ” แววตาสีโศกช่างน่าสงสาร เอ่อไปด้วยน้ำตา เธอเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเป้มากอดไว้ในอก เธอพยายามลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งที่เป็นโรงงาน “รอน้าตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ามา” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะเดินหนี จึงรีบคว้าแขนและบอกให้รอ ก่อนเปิดประตู ส่วนคนในรถนั่งมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด “เป็นไงบ้างชัย เจ็บมากไหม” คุณย่านวลปรางถามคนขับรถ “เธอบอกไม่เป็นอะไรครับ แต่ดูแล้วเธอยังเด็กอยู่เลยครับคุณท่าน” ชัยบอกตามที่เห็น “อื้อ งั้นเหรอ พาฉันไปดูสิชัย” คุณย่านวลปรางลงจากรถโดยมีแม่บ้านคอยพยุงแขนพาเดินไปดูคนเจ็บ โดยกางร่มบังแสงแดด จนกระทั่งได้เห็นหญิงสาว รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก เด็กสาวหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กบอบบางผิวออกสีแทนแต่ไม่คล้ำมาก “แม่หนูเป็นยังไงบ้างลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลเอ่ยถามเด็กสาว เธอเห็นเป็นคนแก่มีอายุ จึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “หนูไม่เป็นอะไรมากค่ะ” เธอตอบพลางก้มหน้า “ไปโรงพยาบาลไหม ให้หมอตรวจดูหน่อยไหมจ๊ะ” คุณย่านวลปรางกลัวจะมีอาการตามมาทีหลัง แม้แรก ๆ จะยังไม่แสดงอาการก็ตาม… “ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ หนูต้องรีบไป ขอโทษนะคะกี่โมงแล้วคะ” เด็กสาวพะว้าพะวัง สายตามองไปยังโรงงานฝั่งตรงข้าม ก่อนจะถามชัยคนขับรถ เธอเห็นเขาใส่นาฬิกา จนคุณย่านวลปรางสงสัย “สิบสามนาฬิกาสี่สิบห้านาทีครับ” “ตายแล้ว เลยเวลายื่นเอกสารสมัครงานแล้วค่ะ” เด็กสาวบ่นอุบ โรงงานนี้เป็นความหวังของเธอ หลังจากเธอถามเพื่อน และนัดวันมาสมัครงาน ตอนนี้มันไม่ทันแล้ว จะเอาอย่างไรล่ะทีนี้ สายตาพลันหมองลง “จะไปสมัครงานหรือแม่หนู” คุณย่านวลปรางรู้จุดประสงค์ “ค่ะ หนูให้เพื่อนดูให้และเขาปิดรับบ่ายโมงค่ะ” น้ำเสียงดูเศร้า “มาหางานทำรึ” แม่บ้านที่พยุงคุณย่านวลปรางถามขึ้น “ใช่ค่ะ” เธอตอบเบา ๆ “งั้นไปทำงานเป็นแม่บ้านคุณย่าไหมละหนู” หญิงชราเอ่ยชวน ไหน ๆ ท่านก็เป็นฝ่ายทำให้เด็กสาวไปสมัครงานไม่ทัน หลังจากตกลงไปทำงานเป็นแม่บ้าน จึงนั่งรถมาพร้อมกับบุคคลทั้งสาม เด็กสาวคิดว่ายังดีกว่าไม่มีงานทำ “ว่าแต่เราชื่ออะไรรึ” คุณย่านวลปรางถามชื่อคนที่นั่งนิ่งข้าง ๆ นางสาวปิ่นฉัตร กมลธิเวช หรือ ปิ่น อายุสิบเก้าปี เรียนจบมัธยมหก กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน พูดจาไพเราะแต่มักพูดน้อย สีผิวแทน เป็นที่รักแก่คนพบเห็น “ปิ่นฉัตร เรียก ปิ่น ก็ได้ค่ะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอื้อนเอ่ย “ชื่อเพราะจังหนูปิ่น” แม่บ้านอร เอ่ยชมชื่อเด็กสาว “ขอบคุณค่ะ” “ว่าแต่เราทำอะไรเป็นบ้างหนูปิ่น เรียนจบหรือยัง” คุณย่านวลปรางอยากรู้ว่า หญิงสาวทำอะไรได้บ้าง เรียนจบอะไร หวังว่าจะไม่ใช้แรงงานเด็ก… “ปิ่นจบมัธยมหก ทำงานบ้านได้ทุกอย่างค่ะ ส่วนกับข้าวทำพอได้แต่ไม่ค่อยเก่งค่ะ” เวลาที่เธอพูดมักจะยิ้มตาม มันช่างเป็นเสน่ห์ภายในตัวหญิงสาว “แล้วพ่อแม่หนูปิ่นพักอยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ” พลันคนถูกถามถึงกับเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอ แต่มันไม่หยดไหลลงเท่านั้น “ท่านเสียแล้วค่ะ” จากน้ำตาที่เอ่อคลอ ตอนนี้มันไหลเป็นที่เรียบร้อย “เอ่อ ป้าขอโทษจ้ะลูก” พร้อมกับบีบมือเด็กสาวเป็นการให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูชินแล้วค่ะ” คุณย่านวลปรางรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็น และรู้สึกสงสารเห็นใจในโชคชะตา คฤหาสน์กฤตทวิโรจน์ รถตู้คันใหญ่หรูหราขับเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า อาณาจักรแสนกว้างใหญ่โต ที่ปกคลุมด้วยพรรณไม้นานาพรรณ ดอกไม้หลากหลายสีสันจำนวนมากมาย ชัยคนขับรถรีบวิ่งมาเปิดประตูให้คนนั่งลงจากรถ โดยหญิงสาวคนแรก เธอขยับถอยห่างประตู สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อาณาจักร มันใหญ่โตเดินจะทั่วถึงไหมภายในหนึ่งวัน เธอมัวแต่ยืนเหม่อมองจนไม่ได้ยินเสียงเรียก “หนูปิ่น หนูปิ่นจ๊ะ” ป้าแม่บ้านอร พลางส่งยิ้มให้หญิงสาว “คะคุณป้า” เธอสะดุ้งพร้อมขานรับ “ต่อไปเรียกป้าอรนะจ๊ะ คุณท่านให้ป้าพาหนูปิ่นไปห้องพักจ้ะ” ป้าแม่บ้านเก่าแก่แนะนำตัว ก่อนพาเด็กสาวเดินไปยังห้องพัก ซึ่งเหลือเพียงห้องเดียว และอยู่ติดกับบ้านพักส่วนตัวของหลานชายคนโตของบ้าน จะว่าไปก็คงไม่ใช่ห้องพักสักเท่าไร มันเป็นที่เก็บของเพราะไม่มีคนพักอาศัย แต่ภายในมีเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง มีห้องน้ำในตัว แต่สะอาดสะอ้านมีคนงานทำอยู่ประจำ “คงอยู่ได้นะหนูปิ่น” ป้าอรถาม “ปิ่นอยู่ได้ค่ะ” ขอสำรวจภายใน มันใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านของลุงกับป้าที่อยู่ต่างจังหวัดมาก “อาบน้ำอาบท่าแล้วพักผ่อน ค่ำ ๆ ป้ามาเรียกนะจ๊ะ” ก่อนจะออกจากห้องไปได้ย้ำกับปิ่นฉัตร “หนูปิ่น หนูอย่าเข้าไปใกล้หรือวุ่นวายกับบ้านพักสีเข้มนั้นนะจ๊ะ” บ้านพักถูกเรียกตามสีของบ้าน เพราะเจ้าของบ้านไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายความเป็นส่วนตัว “อ้อ ค่ะ” เธอไม่ได้อยากวุ่นวายหรือสอดรู้สอดเห็นใด ๆ แม้แต่น้อย เมื่อได้อยู่ตามลำพัง ปิ่นฉัตรก็สำรวจข้าวของในห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเสียมากกว่า เธอไม่อยากเสียเวลาจึงรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเป้ ออกมาใส่ในชั้นที่มันว่างชุดหนึ่งตัว ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวและของใช้จำเป็นเข้าห้องน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จจึงล้มตัวลงนอนพักผ่อน ตรงหัวเข่ากับข้อศอกมีรอยฟกช้ำและเริ่มตึง ๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม