ตอนเย็น
ภายในโรงพยาบาลเอกพล ข้าวฟ่าง นั่งกุมมือ ลมเหนือ แน่นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ตลอดทางที่มา
ลมเหนือไม่พูดอะไร มีเพียงมืออบอุ่นที่คอยจับมือเธอไว้ตลอด
เวลาผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พร้อมกับ คุณหมอในชุดกาวน์สีขาว ที่เดินออกมา สีหน้าของเขาจริงจังและเต็มไปด้วยความเห็นใจ
ข้าวฟ่างลุกขึ้นแทบจะทันที หัวใจเธอเต้นรัว ภาวนา… ขอให้มีปาฏิหาริย์
“คุณหมอคะ… พ่อแม่ของหนูเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงของเธอสั่นเครือ ดวงตาสั่นระริก เธอไม่อยากได้ยินคำตอบที่กลัวที่สุดเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่แล้วหมอก็ถอนหายใจยาว มองเธอด้วยแววตาเวทนา ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดเจน
“เสียใจด้วยนะครับ… พ่อกับแม่ของคุณเสียชีวิตแล้ว”
เสียงรอบตัวเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจขาดห้วงของข้าวฟ่าง
เธอเหมือนถูกดูดออกจากโลกแห่งความจริง ทุกอย่างรอบตัวหมุนคว้าง คำว่า เสียชีวิตแล้ว ดังก้องในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่นะ…” เธอพึมพำเบา ๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“พ่อกับแม่ของฉัน… พวกเขายังต้องอยู่กับฉัน”
เธอส่ายหน้าแรง ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
นี่มันแค่ฝันร้ายใช่ไหม?
“ข้าวฟ่าง…” ลมเหนือเรียกชื่อเธอเบา ๆ พยายามจะเข้ามาประคอง
แต่ข้าวฟ่างกลับก้าวถอยหลังอีกครั้ง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
“ฮึก… ไม่จริง”
น้ำตาของเธอไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก มือสั่นเทาจนไม่สามารถกำอะไรได้
ลมเหนือรีบลงไปนั่งข้าง ๆ กอดเธอไว้แน่น “ข้าวฟ่าง…”
ข้าวฟ่างซบหน้ากับไหล่เพื่อนรัก ร้องไห้อย่างหมดแรง
เธอสูญเสียทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ
โลกทั้งใบของเธอพังทลายลงต่อหน้าต่อตา…
หลังจากต้องเซ็นเอกสารรับรองการเสียชีวิตทุกฉบับ จัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล และแจ้งมรณะต่อเจ้าหน้าที่ ข้าวฟ่างรู้สึกเหมือนทั้งร่างกายถูกดูดพลังไปจนหมด
เธอยืนอยู่หน้าห้องธุรการของโรงพยาบาล ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ต่อเนื่อง ลมเหนือคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง คอยช่วยเธอจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
ระหว่างที่เธอกำลังเซ็นเอกสารฉบับสุดท้าย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณหนูข้าวฟ่าง ลูกสาวคนเดียวของตระกูลอัครพันธ์ใช่ไหมครับ?”
ข้าวฟ่างชะงัก เธอหันไปมองต้นเสียง เห็นชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำ ใบหน้าสุขุม ดวงตาดูเป็นทางการ
เธอพยักหน้าอย่างมึนงง “ใช่ค่ะ…”
ลมเหนือที่ยืนข้าง ๆ มองชายตรงหน้าด้วยสายตานิ่ง ๆ คิดว่าคงเป็นทนายที่มาแจ้งเรื่องพินัยกรรมหรือทรัพย์สินมรดกปกติ
แต่แล้ว… คำพูดถัดมาของชายคนนั้นทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“ผมเป็นตัวแทนจากบริษัทกฎหมายสมภพแอนด์พาร์ทเนอร์ครับ พ่อกับแม่ของคุณถูกฟ้องล้มละลาย”
ข้าวฟ่างรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
“ล้มละลาย…?” เธอพึมพำเสียงแผ่ว
“ใช่ครับ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะเสียชีวิต ธุรกิจของท่านประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และถูกฟ้องล้มละลายตามกฎหมาย นั่นหมายความว่า…”
ทนายหยุดเว้นจังหวะ ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้ข้าวฟ่างแทบทรุดลงไปอีกครั้ง
“ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวคุณ… ถูกอายัดเรียบร้อยแล้ว”
ลมเหนือเบิกตากว้าง ขณะที่ข้าวฟ่างยืนตัวแข็งทื่อ
เธอไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ
บ้านที่เธอเติบโตมา… รถที่เธอใช้… เงินในบัญชี… ทุกอย่างถูกยึดไปหมดแล้ว
จากที่เคยเป็นคุณหนูของตระกูลดังที่มีพร้อมทุกอย่าง
ตอนนี้… เธอไม่มีแม้แต่บ้านให้อยู่
ลมเหนือเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “เป็นไปได้ยังไงคะ!?”
เธอขยับมายืนข้างหน้าข้าวฟ่าง ราวกับจะใช้ร่างกายตัวเองปกป้องเพื่อนรักจากข่าวร้าย “คุณดูเอกสารผิดหรือเปล่า? พ่อแม่ของข้าวฟ่างทำงานหามรุ่งหามค่ำ พวกเขาทุ่มเทกับธุรกิจขนาดนั้น ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้!?”
ทนายหน้านิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเขาดูเหนื่อยล้าไปชั่วขณะ ก่อนจะมองข้าวฟ่างด้วยสายตาเวทนา
“ผมเข้าใจว่ามันกระทันหันสำหรับคุณ… แต่ทุกอย่างเป็นความจริง”
เขาล้วงซองเอกสารออกมาถือไว้ ไม่ได้ยื่นให้ แต่กำไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้เด็กสาวตรงหน้าเผชิญหน้ากับมันตอนนี้
ข้าวฟ่างยังยืนตัวแข็งทื่อ สมองตื้อตันจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีก
ทนายมองเธอแล้วเผลอถอนหายใจเบา ๆ ในใจเขานึกถึงลูกสาวตัวเองที่อายุไล่เลี่ยกับข้าวฟ่าง
เด็กคนนี้กำพร้าพ่อแม่ในวันเดียวกัน แถมยังต้องรับรู้ว่าตัวเองหมดตัวอีก
มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะรับไหวง่าย ๆ
เขาปิดแฟ้มในมือแล้วพูดว่า “หลังจากเสร็จงานศพ ผมจะมาหาอีกทีครับ”
ข้าวฟ่างเม้มปากแน่น หัวใจหล่นวูบ
ทนายเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดต่อเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
“คุณเสียใจมากพอแล้ว… ถือว่าผมเห็นใจคุณก็แล้วกัน”
เขาพยักหน้าให้ลมเหนืออย่างสุภาพ แล้วเดินจากไป ทิ้งให้ข้าวฟ่างยืนอยู่กับความจริงอันโหดร้ายที่เธอไม่อาจหนีไปจากมันได้เลย
ต่อจากนี้… เธอจะอยู่ยังไง?
เสียงฝีเท้าของทนายหายลับไปทางเดินของโรงพยาบาล ทิ้งไว้เพียง ข้าวฟ่าง ที่ยืนเหมือนร่างไร้วิญญาณ
ใบหน้าของเธอขาวซีด ดวงตาเหม่อลอย คำว่า ล้มละลาย ยังดังก้องอยู่ในหัว
เธอไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ใช่ไหม…?
เธอพยายามสูดลมหายใจเข้า แต่ทุกอย่างหมุนคว้าง และก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไปหมด ร่างกายก็ทรุดลง…
“ข้าวฟ่าง!!”
ลมเหนือเบิกตากว้าง รีบพุ่งเข้าไปรับตัวเพื่อนรัก แต่ด้วยน้ำหนักที่โถมเข้ามากะทันหัน ทำให้เธอประคองไม่อยู่
ข้าวฟ่างล้มลงไปกับพื้น!
“ข้าวฟ่าง! ได้ยินฉันไหม!?” ลมเหนือเขย่าตัวเพื่อน แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
เธอหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วยค่ะ! เพื่อนฉันเป็นลม!”
พยาบาลที่อยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนที่มาช่วยยกตัวข้าวฟ่างขึ้นเตียงฉุกเฉิน เข็นเข้าไปในห้องพักฟื้นทันที
ลมเหนือรีบตามเข้าไปไม่ห่าง แต่ในขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นไม่หยุด
เธอเหลือบมองชื่อบนหน้าจอ…
“ใต้ฝุ่น”
พี่ชายสุดหวงของเธอเอง
รอบที่ 10 แล้ว ที่เขาโทรมา และเธอก็รู้ดีว่า… ถ้าเธอรับสาย เขาต้องอาละวาดแน่ ๆ
“ให้ตายเถอะ…!” ลมเหนือสบถเบา ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่ชายเธอจะต้องบ่นเรื่องที่เธอหายออกมาจากกิจกรรมรับน้อง
แต่ ตอนนี้ เรื่องของข้าวฟ่างสำคัญกว่า!
เธอจิ้มปุ่ม ปฏิเสธสาย อย่างไม่ลังเล
และเพื่อความชัวร์… เธอปิดเครื่องไปเลย
—–
อีกด้านของใต้ฝุ่น
“เชี่ย! กดตัดสายกูเหรอ!?”
ใต้ฝุ่นยืนอยู่หน้าโรงอาหารคณะวิศวะ สีหน้าเริ่มหงุดหงิด พยายามกดโทรหาน้องสาวอีกครั้ง แต่ปลายสายกลับขึ้นว่า…
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”
ใต้ฝุ่นมองหน้าจอค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันแล้วด่าขึ้นมาลอย ๆ
“ให้ตายเถอะลมเหนือ! นี่น้องกูถึงขั้นปิดเครื่องหนีเลยเหรอวะ!?”
เขาไม่เคยเห็นน้องสาวเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วลมเหนือแทบจะไม่เคยกดตัดสายเขาเลยด้วยซ้ำ
แล้วดูตอนนี้…
ออกไปกับยัยเด็กข้าวฟ่างแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
เขากัดฟันแน่น ความไม่ชอบหน้าที่มีต่อข้าวฟ่างเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
“โทษใครไม่ได้เลยนอกจากยัยเด็กนี่! ข้าวฟ่าง!”