จุดกลับใจ
8
PUIFAI - จุดสบายใจ
หัวใจของฉันแตกสลายไม่มีชิ้นดี ฉันเจ็บมาก ปกติฉันไม่ค่อยฟังพ่อกับแม่สอน แต่วันนี้ฉันฟังทุกคำ ฉันโคตรคิดถึงท่านเลย อยากกลับบ้าน อยากไปไกลๆไม่ต้องเห็นเอิงให้ปวดใจอีก
แต่หลังวางสายจากพ่อ ฉันนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ในรถ ก็มีคนเคาะกระจก ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ จนฉันสะดุ้งและหันไปมองทันที
อืม... ไม่ใช่เขา เป็นพิมพ์ ฉันจึงปาดน้ำตาที่เหลือออกจากแก้มแล้วเลื่อนกระจกรถถาม
“มีอะไรเหรอพิมพ์”
“เดี๋ยวเราขับรถให้ เธอดื่มอย่าขับเลยนะ”
จริงสิ ตอนนี้ฉันเมา ไม่อันตรายต่อตัวเองก็สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
หลังจากที่คุยกับพ่อฉันรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และรู้ว่ายังมีครอบครัวที่รอฉันอยู่ จึงไม่ประชดชีวิตเมาแล้วขับ ตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถและย้ายไปนั่งเบาะข้างคนขับให้พิมพ์ขับรถแทน
และฉันก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าเราจะตัดใจจริงๆ เด็ดขาดสักตั้ง แม่งก็ทำไม่ยาก วันต่อมาฉันไม่รอช้าไปทำเรื่องที่มหาลัย และจ้างบริษัทขนย้ายมาช่วยย้ายของไปขอนแก่น ที่นั่นมีมหาลัยดีๆอยู่ ฉันเล็งไว้ตั้งแต่จะตัดใจจากเอิงครั้งแรกแล้ว
และฉันก็ซิ่วไปได้
แต่ปัญหามันไม่ใช่เรื่องของการตัดใจ หรือความเศร้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เข้าเรียนแรกๆแม่มาอยู่กับฉัน ท่านคอยดูแล หาข้าวปลาให้กินทุกวัน แต่ฉันก็ยังวูบบ่อยๆจนท่านทนไม่ไหว ลากฉันขึ้นรถไปโรงพยาบาล หาสาเหตุว่าฉันเป็นอะไรกันแน่
“คนไข้กำลังตั้งครรภ์นะคะ”
หน้าฉันชาไปครึ่งซีก สองมือที่วางบนตักจับกันไว้ทันที จนแม่ถามขึ้นมา
“ผลตรวจผิดรึเปล่าคะหมอ”
“ไม่ผิดค่ะ คนไข้ไม่สังเกตประจำเดือนเลยใช่ไหมคะ”
ฉันเครียดมาก จนคิดว่าความเครียดทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อน
“หมอจะส่งต่อไปแผนกสูตินรีเวชนะคะ จะได้ตรวจเลือด ฝากครรภ์ รับยาบำรุงไปกิน คุณแม่ต้องเร่งบำรุงมากๆและ ไม่เครียดด้วยนะคะ เพราะจะส่งผลต่อเด็กค่ะ”
ฉันไม่ตอบอะไรหมอเลย เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่จับกันบนตัก
แม่ง ชีวิตฉันตัดเอิงไม่ขาดจริงๆใช่ไหม
ทำไมฉันต้องมาท้องด้วย ฉันตัดใจได้แล้ว หลุดพ้นแล้ว เขายังมีตัวแทนมาสร้างพันธะผูกพันไว้กับฉันอีก
“ปุยฝ้าย” เสียงนุ่มๆของแม่ทำให้ฉันค่อยๆหันไปมอง และท่านก็เผยยิ้มให้ฉัน
“ไปแผนกสูติกันลูก” เท่านั้นแหละน้ำตาฉันก็ร่วงลงมาทันที
“แม่ ฮือๆ”
“ไม่ต้องร้องๆ เราจะช่วยกันเลี้ยง”
“แม่ไม่โกรธหนูเหรอ คนอื่นจะว่าเรายังไง พ่อจะอายไหม หนูไม่กล้ากลับบ้านไปเป็นขี้ปากใครแน่ๆ”
“ไม่โกรธ แค่นี้ปุยฝ้ายก็เครียดมากแล้ว ถ้าไม่กลับบ้านเราก็อยู่ที่นี่ คลอดแล้วค่อยว่ากันอีกที เดี๋ยวแม่อยู่เป็นเพื่อน”
น้ำตาฉันไหลลงมาไม่หยุด แม่เลยยกมือเช็ดน้ำตาให้
“ไม่ตัวคนเดียวแล้วนะลูก ต่อไปนี้ทำอะไรคิดเยอะๆ ในวันที่ปุยฝ้ายมีลูก ปุยฝ้ายจะเข้าใจแม่กับพ่อว่าทำไมถึงไม่โกรธลูกและเลือกเข้าใจ เพราะลูกจะเป็นทุกอย่างจนเราไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น เราจะไม่ซ้ำเติมกัน ใครจะพูดก็พูดไป เริ่มต้นใหม่นะ”
ฉันผ่านมันมาได้เพราะครอบครัว ไปเรียนได้ไม่กี่อาทิตย์สุดท้ายก็ดร็อปเรียนไว้ก่อน ไว้ปีหน้าค่อยไปเริ่มเรียนใหม่กับรุ่นน้อง
พ่อกับแม่ซื้อคอนโดให้ฉันหนึ่งห้อง ไม่ได้แพงอะไรมาก ดีกว่าเช่า และถ้าไม่อยู่ก็ปล่อยเช่าต่อ เพราะอยู่ใกล้มหาลัยทำเลดีปล่อยง่ายอยู่แล้ว
สุขภาพจิตฉันดีขึ้นเรื่อยๆเพราะไม่เจอหน้าใคร อยู่กับครอบครัวดูซีรีส์ และหาอะไรพิเศษทำ
พอรู้ว่ามีลูกสาวฉันก็ชอบเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงมาก เลยลองออกแบบและเย็บกับแม่เล่นๆในคอนโด ลงขายออนไลน์ เปิดพรีออเดอร์เอาเท่าที่ตัวเองไหว
ฉันโตขึ้นมากและเป็นอย่างที่แม่บอก ทุกอย่างคือลูก ฉันตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเธอ
หลังจากที่คลอดตัวเล็ก แม่กับพ่อก็เอาหลานไปเลี้ยงที่บ้าน ถ้าใครถามฉันให้บอกว่ารับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะไม่อยากให้เรื่องถึงหูเอิง แต่โชคดีที่ไม่มีคนถาม คงเพราะพ่อฉันเคยเป็นคนใหญ่คนโตคนอื่นเลยเกรงใจ
ส่วนค่าขนมไปเรียนของฉันก็หารครึ่ง ครึ่งหนึ่งให้ลูกซื้อนมกับแพมเพิส อีกครึ่งฉันใช้อย่างประหยัด ไม่ค่อยได้ไปไหน เรียนและกลับห้องฉันเลยไม่ได้จ่ายอะไรมาก มันจะหนักก็แค่ค่าน้ำมันช่วงเสาร์อาทิตย์ ที่ฉันเติมขับรถกลับบ้านสองร้อยกิโลมาหาลูก
ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ‘ปุยนุ่น’ เป็นลูกของฉัน เพราะเธอเรียกตายายว่าพ่อกับแม่เหมือนกัน เติบโตมาดีมาก และน่ารักมาก เสียดายที่หน้าเหมือนเอิงไปหน่อย ตอนแรกฉันก็ทำใจไม่ได้ แต่หลังๆชินแล้ว ถือเป็นบททดสอบว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเอิงแล้วจริงๆ
ส่วนเรื่องพ่อเด็ก... พ่อแม่ก็ถามนะ ฉันบอกว่าฉันไม่รู้ช่วงนั้นฉันคบหลายคน และบอกไปด้วยว่าแต่ละคนเป็นพ่อใครไม่ได้หรอก ยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้เลย
พ่อกับแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร ปล่อยวาง ตอนนี้บ้านฉันมีความสุขขึ้นมาก ตายายเห่อหลานสุดๆ พอฉันเรียนจบ ตัดสินใจมาตั้งตัวที่กรุงเทพพวกท่านงอแงกันใหญ่ ไม่อยากห่างหลาน คิดถึงหลาน บอกให้ฉันแต่งงานมีหลานให้อีกคนจะได้แบ่งให้ตายายเลี้ยง
เรื่องนั้นไม่อยู่ในหัวฉัน พอ จบ ถึงคนจะมาจีบเยอะมากแต่ฉันไม่ชายตามองสักคน
นี่แหละชีวิตที่เคยผิดพลาดของฉัน...
ตอนนี้ฉันเป็นปุยฝ้ายคนใหม่ที่ไม่หลงรักใครง่ายๆแล้ว และฉันก็สามารถเล่าให้เอวาฟังได้โดยไม่รู้สึกอะไรด้วย
•••xxx•••
“ครั้งแรกเขาเรียกชื่อกูด้วย กูคิดว่าแค่เมาและหยุดไม่ได้”
เอวาพยักหน้า
“แล้วหลังจากนั้นยังไง ครั้งแรกเมา ครั้งที่สองเมาไหม กูว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เอิงกลับมาซ้ำมึงได้”
“ความเ****นล้วนๆ”
ฉันตอบไปตรงๆ และตอบอย่างจริงจัง เพราะถึงเราจะอยู่ด้วยกัน มีเซ็กซ์ นอนค้างคืนด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และพัฒนาไปจากคู่นอนเลย
“ตอนนี้มึงไม่รู้สึกอะไรกับเอิงจริงๆเหรอ มองหน้าลูกมีสักแวบไหม ปุยนุ่นหน้าเหมือนเอิงเลยนะมึง”
ฉันส่ายหน้าทันที
“ไม่ มองหน้าลูกกูนึกถึงแต่อนาคต อยากเลี้ยงให้ดีๆ คอยซัพพอร์ตลูกก็พอ แรงบันดาลใจของกูมีแต่ลูก กูกับเอิงไม่มีวันไปต่อได้แล้วมึง นี่ก็เล่าให้ฟังแบบขำๆนะ”
แต่เอวามันไม่ขำ สายตาอ่อนลงและยกมือแตะแขนฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“กูเข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของมึง มึงเจ็บมาเยอะจริงๆ”
ความเจ็บ เป็นความชินชา และสุดท้ายมาตายด้านในความรู้สึก คนเขาไม่รักยังไงก็ไม่รัก
เอวาลงบันไดไปชั้นล่างฉันก็เดินตามไปด้วย เราสองคนมองรอบๆ เดินดูทุกห้องแล้วรู้สึกชอบมาก ที่ครัวมีท่อระบายน้ำเสร็จสรรพ เหลือแค่ซื้อซิงค์เคาน์เตอร์มาวางก็ทำครัวได้แล้ว
ส่วนด้านหน้าโปร่งเพดานสูง กระจกใสหนาจากพื้นจรดฝ้า ร้านน่าจะแต่งได้สวยเลย ฉันอยากเปลี่ยนแผนเป็นคาเฟ่และขายเสื้อผ้าไปด้วยแล้วเนี่ย
“กูเปิดเป็นคาเฟ่ด้วยดีมะ เสียดายความสวยของร้าน”
เอวาหันขวับมาทันที
“ดี! กูเชียร์ บางทีคนมาซื้อกาแฟรอออเดอร์ก็เดินดูเสื้อผ้าพลางๆ ขายทั้งเสื้อผ้าเด็กเสื้อผ้าผู้ใหญ่ ชุดแม่ลูกก็ได้ มึงทำอะไรที่มีความสุขและเป็นตัวเองอ่ะ จะได้สนุกกับการทำงาน”
คำพูดของเอวาทำให้ฉันเผยยิ้ม พอโตขึ้นสิ่งที่ชอบก็เปลี่ยนไปรวมถึงไลฟ์สไตล์ด้วย ตอนนี้โคตรชอบความเรียบง่าย กลิ่นกาแฟ ทุกเสาร์อาทิตย์ฉันพาลูกไปคาเฟ่อยู่แล้ว เพราะลูกชอบกินเค้กและกินนมคาราเมลปั่น ถ้าเปิดร้านเอง ฝึกทำ ควบคู่กับการขายเสื้อผ้าก็ไม่เลว
“คงค่อยๆเป็นค่อยๆไปอ่ะมึง ตอนท้องกูดันไปสัญญากับพ่อแม่ว่าเรียนจบจะรับผิดชอบลูกเองทุกอย่าง นอกจากเปิดบริษัททำแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ ถ้าเป็นคาเฟ่ด้วย เสาร์อาทิตย์ก็ต้องกระเตงลูกไปเรียนทำกาแฟอีก กูจะรอดเหรอวะ”
“รอด ฝากปุยนุ่นไว้กับกูสิ กูเลี้ยงให้”
“บ้า มึงก็มีลูกแถมท้องด้วย”
“เถอะน่ากูว่างมาก เอริณโตแล้วรุ่นเดียวกันกับปุยนุ่นพอดีมาเล่นด้วยกันเด็กๆน่าจะชอบ และตอนนี้กูไม่ติดอะไรเลย เรียนหมอจบก็ไม่ได้ทำงาน แถมกูจะจ้างพี่เลี้ยงจากบริษัทชั้นนำที่ผ่านการอบรมจิตวิทยาเด็กมาช่วยอีกแรง กูอยู่ดูตลอดคุณออสตินวางใจอยู่แล้ว”
ฉันกลัวสามีนางที่สุดอ่ะ น่ากลัวมาก และเกรงใจมากด้วย
“ผัวมึงโอเคแน่นะ ถ้าลูกกูไปวิ่งในบ้าน”
“ถ้ากูโอเค เขาก็โอเค ช่วงกลางวันคุณออสตินไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก งานเยอะจะตาย มึงอย่าลืมว่ากูมีแม่เจนด้วยนะ บางวันเจ้าขาก็มาเล่นกับเอริณ คนช่วยเลี้ยงเยอะแยะ กูไม่ช่วยเลี้ยงจนลูกมึงเข้ามหาลัยหรอก แค่ตอนมึงทำร้าน เรียนทำกาแฟแค่นั้น”
น้ำตาจะไหล ฉันซึ้งใจกับน้ำใจเพื่อนคนนี้มาก แม่เจนที่เอวาพูดถึงคือครูภาษาไทยที่โรงเรียน พอเอวามีปัญหากับที่บ้านนอกจากมาอยู่บ้านฉัน ก็มีครูเจนคนนี้คอยช่วยเหลือส่งเรียนจนนางเรียกว่าแม่ได้เต็มปาก ซึ่งเจ้าขาคือลูกสาวครูเจน วัยเดียวกันหมด ถ้าเล่นด้วยกันคงเป็นแก๊งสามสาวเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน
“ขอบคุณนะมึง เดี๋ยวกูไปถามปุยนุ่นดูก่อน” เอวาขมวดคิ้ว
“มึงถามความเห็นลูกทุกอย่างเลยเหรอ?”
“ใช่ เรื่องมาอยู่กรุงเทพกูก็ถามลูกว่าสะดวกมาไหม สะดวกย้ายโรงเรียนรึเปล่า พอลูกกูโอเคกูก็มาเลย ไม่อยากกดดันและบังคับลูกว่ะ”
เอวายิ้มให้ฉันแล้วตบไหล่เบาๆ
“เก่งมากนังปุย มึงเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีคุณภาพมาก”