มือหยาบกร้านยามปกติใช้จับทวน ถือกระบี่ ขี่ม้าลูบลงแผ่วเบาที่ด้านหลังตามรอยแผลกากบาท สองเส้นคาดกัน
“ใครให้เจ้าเข้าไปรับหวาย” น้ำเสียงที่อ่อนลงพูดกับนางทั้งที่ไม่ได้สติ ร่างกายนี้เคยทำให้เขาสำราญกายสำราญใจ ยามนี้มีแผลก็นึกโกรธนัก
เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อท่านหมอก็มาถึงตำหนักเหม่ยฮวา โดยคนที่เป็นต้นเรื่องนั่งเป็นหัวหลักหัวตอยามท่านหมอตรวจร่างกายของเซี่ยหมิงหลัน ทั้งเอาผ้าปิดร่างกายนางเหมือนจะคลุมศพเสียอย่างนั้น
“เอ่อ...ท่านอ๋อง ปกปิดเช่นนั้นผู้น้อยไม่อาจจะตรวจได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นยังไงตรวจไม่ได้” เสียงตวาดลั่นของเป่ยจิ้งอ๋องทำเอาท่านหมอไปไม่เป็น
ร่างกายพระชายาผู้ใดกล้ามองกัน หากอยากโดนควักลูกตาก็ลองดู
“เอ่อ...”
“นางท้องลูกของข้า และโดนลงหวายที่หลัง แล้วเป็นลมไป” เขาบอกอาการโดยละเอียดเท่าที่รู้มา เจ็บใจเส้าเฉียนนัก ทำไมไม่บอกให้จบว่านางป่วยเป็นอะไร มิเช่นนั้นเขาก็ไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตปานนี้
“เอ่อ...ผู้น้อยขอจับชีพจรหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” ท่านหมอเข้าใจดีว่าท่านอ๋องมิต้องการให้ผู้ใดเห็นเรือนร่างของพระชายา แต่ทว่าเขาจำเป็นต้องสัมผัสข้อมือของพระชายา โดยมีผ้าแพรวางทับ
คนขี้หวงมองตาเป็นมัน กลัวว่าใครจะเห็นผิวสวย ๆ ของเซี่ยหมิงหลันเข้า
“อายุครรภ์ยังมิมาก พระชายาอ่อนเพลียต้องพักผ่อน แล้วเอ่อ...แผลที่หลัง”
“ไม่ต้องดู จัดยาสมานแผลที่ดีที่สุด ห้ามให้นางเป็นรอยแผลเป็นแม้แต่รอยแมวข่วนก็ไม่ได้” เขาจับนางถอดเสื้อผ้าออก จะเปิดให้เห็นได้อย่างไร
“เอ่อ...คืนนี้พระชายาคงจะมีไข้จากการอักเสบของแผล กระหม่อมจะจัดยาลดไข้ แก้อักเสบให้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านหมอกล่าวรายงานแล้วก็ถอยออกมา ปล่อยให้ท่านอ๋องดูแลพระชายาเพียงลำพัง
ซูเจียวกับเยี่ยนฟางไปรับยาจากท่านหมอมา แล้วก็จัดการต้มโดยทันที ส่วนยาสมานแผลก็ถูกจัดยาที่ดีที่สุดให้ หลังจากนางเข้าไปจัดการเปลี่ยนชุดกับเช็ดตัวให้พระชายา ท่านอ๋องก็ออกไปจากตำหนัก ทำให้พวกนางหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย
“พี่ซูเจียวข้าใจหายใจคว่ำแทบแย่” เยี่ยนฟางที่โดนโบยเช้า เฆี่ยนบ่าย นึกว่าตนนั้นจะตายเสียแล้วยามท่านอ๋องกริ้วไม่มีใครกล้าต่อกรด้วยจริง แต่พระชายาก็มิยอมลงให้ท่านอ๋องเลยสักเพียงนิด
“เจ้าก็ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวข้าจะใส่ยาให้ แผลเมื่อเช้ายังไม่หายดียังมาโดนอีก”
“ขอบคุณพี่ซูเจียว” เยี่ยนฟางหลบไปด้านหลังจัดการตัวเอง ซูเจียวห่มผ้าให้กับพระชายาให้หนาหน่อย เนื่องจากแผลที่หลังยังสด กลัวเลือดจะติดเสื้อผ้าจึงใส่เพียงผ้าบางเบาเท่านั้น
ใบหน้าถมึงทึงเดินไปในห้องสอบสวนของตำหนักเป่ยจิ้งอ๋อง ที่มีศาลเตี้ยไว้คอยตัดสินโทษของคนที่คิดไม่ซื่อ รวมทั้งคนที่กระทำผิดคิดชั่ว
ฟึ่บ!
เสียงสะบัดเสื้อแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ที่แกะสลักเป็นรูปสุนัขป่าแสดงถึงสัญลักษณ์ความเป็นจ่าฝูงและผู้นำในแคว้นจ้าว รวมทั้งธงสัญลักษณ์ก็เป็นรูปสุนัขป่า ที่เป็นความหมายเหมือนชื่อผู้ครองแคว้นจ้าวแห่งนี้
“มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่”
เมื่อมาถึงคนที่ตัดสินชี้ชะตาไม่สอบสวนให้มากความ เพียงเพราะตัวเองรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เล่นละครตบตาเซี่ยหมิงหลันไปก็เท่านั้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมสมควรตาย” ซุนกงกงผู้รักตัวกลัวตายละล่ำละลักพูด เขาทราบดีว่าอำนาจแม้จะได้มาแต่ไม่อาจจะใช้ตามอำเภอใจ แต่มิคิดว่าลับหลังพระชายาท่านอ๋องจะเอาความถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าตนรอดแล้วก็ตาม
เพียงเพราะท่านอ๋องไม่ใคร่ไยดีสตรีผู้นั้น เขาจึงประจบเอาใจกลั่นแกล้งเท่าที่พอจะทำได้ แต่คราวนี้เห็นทีว่าจะเกินเลยมากไปหน่อยก็เท่านั้น
“เจ้าซุนกงกง อย่าคิดว่าข้าให้อำนาจเจ้าจะทำอันใดก็ได้ เอาตัวไปโบย 100 ไม้”
“ฮะ...ท่านอ๋อง...กระหม่อมตายพอดี” ซุนกงกงไม่คิดว่าตนเองจะต้านทานไหวถึง 100 ไม้
“ตายก็ฝัง” คนอย่างเขามิเคยปราณี ไม่เช่นนั้นจะคุมคนทั้งแคว้นได้เช่นไร
ซุนกงกงแข้งขาอ่อนโดนลากออกไปโบยที่ด้านนอก
“เจ้าเฆี่ยนพระชายา เจ้ามองมิเห็นหรือว่านางเข้ามาขวาง เอาไปลงหวายจนกว่าข้าจักพอใจ”
ไอ้พวกนี้มันทำเกินคำสั่ง สั่งให้เฆี่ยนบ่าวดันไปเฆี่ยนนายไม่รู้หัวที่ใช้คิดนั่นหัวนิ้วโป้งเท้าหรือเปล่า
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์”
เมื่อลงโทษแล้ว เขาก็ไม่มีสมาธิทำอันใด เอาแต่เดินไปเดินมาในห้องบรรทมของตัวเอง
“เจ้าว่านางจะเกลียดข้าหรือไม่เส้าเฉียน”
เส้าเฉียน: “....”
เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเกลียด คนต่อไปที่ถูกเฆี่ยนมิต้องเป็นเขางั้นหรือ
“เอ่อ...ท่านอ๋องก็มิได้ตั้งใจไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงอ้อมแอ้มออกจากปากของคนสนิท หากจะกล่าวก็ไม่เต็มเสียงนัก เพียงแต่ท่านอ๋องทิฐิแรงก็เท่านั้น
หากเปรียบเจ้านายทั้งคู่ อีกคนก็เปรียบดังไฟ อีกคนก็ดั่งลมพายุโหมกระพือไฟให้ลุกโซนโชติช่วงขึ้นไปอีก
เมื่อคิดว่าคืนนี้จะนอนคนเดียว เขาก็รู้สึกเปลี่ยนเหงาเสียแล้ว สุดท้ายพอฟ้ามืดค่ำลงร่างที่อยู่ในอาภรณ์หนาคลุมด้วยเสื้อขนสัตว์เดินมาหยุดที่ตำหนักเหม่ยฮวา
ซูเจียวกับเยี่ยนฟางก้มหน้าคุกเข่าเมื่อท่านอ๋องเข้ามาในตำหนัก
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“มีไข้เพคะ กำลังเช็ดตัวให้ไข้ลด” ซูเจียวทูลไปตามความจริง ตอนนี้ใบหน้าเล็กชื้นไปด้วยเหงื่อ แม้อากาศภายนอกจะเย็นสักแค่ไหนก็ตาม
“นางกินยาแล้วหรือไม่”
“พระชายาไม่ได้สติ ไม่กลืนยาเลยเพคะ” ซูเจียวพยายามป้อนยา แต่ก็คายออกหมดนางเองจนใจ
“ไปเอายามา”
เขาเข้าไปนั่งข้างเตียงนอนของนาง วางหลังมือที่หน้าผาก ความร้อนในร่างกายราวกับจะไหม้เนื้อของเขาได้
“เจ้าตัวร้อนเป็นไฟ” เขารำพันอย่างไม่สบายใจ
หากยามปกติให้นางต่อปากต่อคำกับเขาเสียดีกว่าต้องนอนซมด้วยพิษไข้เช่นนี้ ต่อให้ไม่ใช่คนรักกันก็เถอะ
“ท่านแม่...” เสียงละเมอเพ้อของนางดังขึ้น ทำเอาเขาสะท้านในอก แต่ก็ตัดใจดื่มยาที่สาวใช้ของนางเอาเข้ามา แล้วประคองใบหน้าของนางขึ้น ค่อย ๆ ป้อนยาจากปากให้ไหลเข้าสู่ลำคออย่างช้า ๆ
แค่เพียงได้จูบนาง เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่างกายหนุ่ม โดยเฉพาะส่วนแท่งหยกนั้นพลันตื่นตระหนกขึ้นมาฉับพลัน