ณ โรงพยาบาล
1.12 pm.
"ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้หมอ จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ"
รอยยิ้มสบายๆที่มุมปากไม่ได้ทำให้คุณหมอที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลยสักนิด แม้ใบหน้าที่ติดจะนิ่งเรียบเสมอจะยกยิ้มให้จนหมอยังนึกในใจว่าทำไมคนคนนึงถึงได้หล่อจนหมอยังอิจฉาได้ขนาดนี้ และแม้ว่าเจ้าของส่วนสูงร้อยเก้าสิบกว่าจะนั่งอยู่ แต่ความน่าเกรงขามก็ยังทำให้หมออย่างเขาที่ทำงานให้กับครอบครัวนี้มานานมีความยำเกรงได้เหมือนเคย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนความน่าเกรงขามก็ยังคงมีมากอยู่ แต่ดูแล้วรุ่นนี้จะมากที่สุด ร่างสูงในชุดสูทสีดำขลับมีเพียงเสื้อเชิ้ตด้านในเท่านั้นที่เป็นสีขาวขยับขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับมองสบตาหมอประจำตัวด้วยท่าทีเรียบนิ่งไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ เพราะเขาอยากจะฟังหมอให้เข้าใจ
"งั้นหมอขออนุญาตอธิบายนะครับ"
"เชิญครับ"
"ตอนนี้ภาวะตาบอดสีของคุณครามมีอาการแย่ลงมากจากเมื่อต้นปี ตอนต้นปีจะยังเห็นสีเขียวอยู่แต่ตอนนี้ทุกสีกลับทุกแทนด้วยสีขาวดำแล้ว.."
"ผมมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่?"
"ครับ?"
หมอเงยหน้าจากชาร์ตที่ไว้ประเมินผลการรักษาของคนไข้มองคนไข้ตัวเองด้วยความประหลาดใจ เพราะครั้งนี้ครามไม่ได้รอฟังจนจบอย่างเคย
"จนกว่าตาผมจะบอดสนิทผมมีเวลาอีกนานเท่าไหร่?"
"เอ่อ...ผมพูดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้"
"ยังไงหมอก็ไม่มีทางรักษาแล้ว งั้นก็บอกผมมาตามตรงเถอะว่าผมจะยังเห็นได้อีกนานเท่าไหร่"
ครามย้ำคำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่คนเป็นหมอกลับมีท่าทีลนลานอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขารู้ว่ามันจะบอดสนิทตอนไหน แต่เขาเพียงแค่กลัวที่จะพูดออกไปตามตรง
"ผมไม่ฆ่าหมอหรอกน่า ถึงหมอจะไม่มีความสามารถที่จะรักษาก็เถอะ"
ครามยิ้มหยันท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด
"ผมขอโทษจริงๆที่ผมไม่สามารถรักษาคุณครามได้ แล้วก็เอ่อ...เวลาที่เหลือที่ผมคาดไว้คงไม่เกินครึ่งปีหน้า"
"ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ"
"ผมขอโทษจริงๆครับคุณครามผมพยายามสุดๆแล้ว"
"ครับผมรู้"
ครามลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับขยับสูทสีดำของตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะหันมองคุณหมออีกครั้ง
"ขอบคุณสำหรับความพยายามครับ และผมคงไม่สร้างเรื่องให้หมอลำบากใจอีกแล้วแหละ"
"คุณครามหมายความว่ายังไงเหรอครับ?"
"ก็ผมจะไม่มีลูกไง ถ้ามีคนมาสืบสายเลือดนี้อีกหมอคงได้อยู่รักษาพวกผมจนแก่แน่ๆ"
"โถ่คุณคราม"
"หึ ผมโอเคครับ"
คุณหมอได้แต่ลุกขึ้นก้มหัวให้คราม ก่อนครามจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาหนักใจของคุณหมอ ตั้งแต่เขาได้รู้จักกับคุณครามมันก็เกือบจะยี่สิบปีมาแล้ว ในตอนนั้นเขายังคงเป็นหมอยังไม่ชำนาญการอะไรด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาเป็นคนสนิทของอาจารย์หมอที่รู้จักกันเขาจึงถูกทาบทามให้เข้ามารักษาทายาทเพียงคนเดียวของตะกูลอัคคเดชโภคิน ตะกูลนี้เป็นที่นับหน้าถือตากันมาช้านาน
ตะกูลอัคคเดชโภคินเป็นตะกูลที่เต็มไปด้วยอำนาจ และบารมีจนล้นมือ ไม่ว่าจะมีทายาทมากี่รุ่นพวกเขาก็ยังคงเป็นผู้นำในทุกด้าน แต่ตอนนี้เป็นยุคของคราม เขาเป็นผู้กุมอำนาจด้านการเงินเจ้าใหญ่ของภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะบริษัทเล็กหรือใหญ่ก็ต้องเข้าไปขอหยิบยืมเงินมาเพื่อเปิด หรือต่อยอดกิจการตัวเอง เรียกง่ายๆว่าครามเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ไม่มีบริษัทไหนที่ไม่เคยไปยืมเงินจากเขา ไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาล แต่ดีหน่อยที่ครามบริจาคเงินเข้าเป็นกองทุนของโรงพยาบาลไม่งั้นที่นี่ก็เป็นลูกหนี้อีกที่ของเขาเช่นกัน
เพราะงั้นทั้งผู้บริหาร และหมอของที่นี่จึงเคารพและเกรงใจครามมาก...แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถช่วยรักษาภาวะตาบอดสีของเขาได้ แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดยังช่วยอะไรไม่ได้เลย และตัวครามเองก็รู้ว่ายังไงเขาก็ต้องตาบอด...เขาเตรียมใจกับเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว มีแต่คนในครอบครัวที่ไม่อยากจะยอมรับมัน
"เป็นยังไงบ้างครับท่านประธาน?"
ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องตรวจมือซ้ายของครามก็เอ่ยถามทันที มือซ้ายรูปร่างดีรวมไปถึงหน้าตาที่ค่อนไปทางชายญี่ปุ่นคือคิริน และอีกคนที่ไม่ได้เอ่ยถามแต่ก็กำลังมองมาที่ครามด้วยความเป็นห่วงไม่ต่างจากคิรินนั่นคือ สิงหา มือขวาของคราม เขามีรูปร่างกำยำกว่าคิรินมาก และท่าทีนิ่งขรึมของเขามันยังสร้างความน่าหวาดหวั่นแก่คนที่ผ่านไปมาได้ไม่ยาก
"ตาบอดแน่นอนน่ะสิ"
ครามตอบเสียงเรียบไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับการที่ตัวเองจะต้องตาบอด ต่างจากลูกน้องมือดีทั้งสองที่กำลังทำหน้าช็อกจนคนเป็นลูกพี่หลุดขำ ครามหัวเราะในลำคอเบาๆและเอื้อมมือไปตบบ่าคิรินเบาๆ
"มีเวลาเห็นโลกนี้อีกเกือบปี เพราะงั้นไปทำงานกันต่อเถอะ"
"ครับท่านประธาน"
แม้คิรินอยากจะร้องไห้ซะตรงนี้ แต่เขาก็ทำได้แค่เปิดไอแพดดูตารางงานให้เจ้านายตนระหว่างทางที่เดินไปขึ้นลิฟต์ และครามมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ แม้จะต้องตาบอดแต่เขาก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะกลัว กลับกันเขายังทำงานตามปกติ เผลอๆอาจทำหนักกว่าเดิม เพราะแบบนี้ทั้งสองจึงนับถือประธานตัวเองเอามากๆ
"เราต้องไปบริษัทเกี่ยวกับน้ำหอมครับ เขาไม่จ่ายเงินมาหลายเดือนแล้ว"
"กี่เดือน"
"สามครับ ตอนนี้ยอดทั้งหมดอยู่ที่ห้าล้านสี่"
"อืม"
ครามพยักหน้าตอบ ก่อนจะเดินขึ้นรถหลังจากสิงหาเปิดประตูให้ ครามเอื้อมมือไปหยิบอเมริกาโน่เย็นที่คิรินซื้อมาให้มายกขึ้นดื่ม แต่กลับต้องลดแก้วลงและขมวดคิ้วมองแก้วในมือท่ามกลางสายตาของคิรินที่รู้ได้ทันทีว่าอเมริกาโน่ที่เขาซื้อมาไม่ถูกปากลูกพี่ตัวเองแน่ๆ
"ร้านนี้ใส่ไซรัป"
"ผมขอโทษครับ ผมน่าจะย้ำพนักงานขายอีกรอบ"
"เฮ้อ"
เสียงแก้วที่ถูกวางกระแทกลงบนที่วางแก้วทำให้ลูกน้องทั้งสองต่างรู้ดีว่าซะตาใกล้ขาดเต็มที เพราะครามกินอเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาลหรือไซรัปเลย และถ้าเรื่องแค่นี้ลูกน้องอย่างเขายังทำพลาดแน่นอนเลยว่าครามย่อมไม่พอใจแน่นอน
"ถึงแล้วครับ"
สิงหาเอ่ยเสียงเรียบหลังจากที่ขับมาจนถึงหน้าตึกสูงที่มีบริษัทน้ำหอมเช่าที่อยู่
"อยู่ชั้นไหน?"
"ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปเป็นที่ของบริษัทน้ำหอมเลยครับ"
"อเมริกาโน่เย็นไม่ใส่ไซรัป"
คิรินหันมองครามก่อนเขาจะพยักหน้า และเดินนำลงไปที่ตึกของน้ำหอม เพราะที่ครามบอกเมื่อกี้ก็เพราะชั้นหนึ่งมีร้านกาแฟเปิดอยู่ ร้านกาแฟเล็กๆนี้ตั้งอยู่ชั้นหนึ่งของตึกน้ำหอม มีพนักงานเพียงสามคนเท่านั้น
"รอนี่แหละเดี๋ยวเข้าไปกับคิรินสองคน"
"ครับท่าน"
ครามเดินลงจากรถหลังจากสิงหาเปิดประตูให้ ก่อนเขาจะติดกระดุมสูทตัวเองระหว่างทางที่เดินเข้าไปในตัวตึก คิรินยังคงยืนรออเมริกาโน่ด้วยความจดจ่อซะจนพนักงานในร้านต่างมือสั่น มีแต่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มีทีท่ากลัวอะไรคิรินเลย
ร่างเพรียวในชุดพนักงานร้านกาแฟสีวินเทจขยับร่างกายไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่บดเมล็ดกาแฟไปจนถึงสกัดเอาน้ำกาแฟออกมา แม้การทำงานทุกอิริยาบถจะอยู่ในสายตาของคิริน แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว กลับกันใบหน้าเธอยังคงมีรอยยิ้มประดับจนถึงจังหวะที่หันมาเผชิญหน้าคิรินเพื่อเสิร์ฟอเมริกาโน่ให้
"อเมริกาโน่เย็นไม่ใส่ไซรัปหนึ่งแก้วได้แล้วค่ะ"
"ไม่ใส่แน่นอนใช่ไหม?"
"แน่นอนค่ะ"
เธอยิ้มตอบคิรินพร้อมกับมองสบตาลูกค้าที่ดูจะซีเรียสกับการที่จะไม่ใส่ไซรัปเอามากๆ ด้วยท่าทีสบายตาจนแม้แต่คิรินยังหลุดยิ้มตอบและพยักหน้าแก้เก้อ ก่อนจะถือแก้วออกมาหาประธานบริษัทของตัวเองที่กำลังยืนอ่านข้อมูลในไอแพดตัวเองอยู่
และตอนนี้เธอได้คำตอบแล้วว่าทำไมลูกค้าคนนั้นถึงซีเรียสเรื่องไซรัปหนัก มันก็เพราะเขาต้องซื้อไปให้ลูกพี่ตัวเองยังไงล่ะ
"ประธานได้แล้วครับ"
ฟึ้บ..
กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ที่โชยมาทำเอาดวงตาเรียวขยายใหญ่ขึ้นจากเดิมจนคิรินเองยังชะงัก เพราะในตอนที่เขาเปิดประตูออกมากจากร้านและประธานเงยหน้ามามองจู่ๆครามกลับชะงักค้างราวกับตกไปในภวังค์
"กลิ่นหอมอะไร?"
"กลิ่นหอมกาแฟจากในร้านไหมครับ หอมมากเลยนะผมว่า"
มันไม่ใช่กลิ่นหอมของกาแฟ แต่มันเป็นกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์...เขาไม่เคยคิดว่าจมูกเขาจะได้กลิ่นดีมากขนาดนั้นนะ แต่กลิ่นที่เขารู้สึกได้มันหอมจริงๆ
ครามเดินเข้าไปตามกลิ่นท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจากคิริน แต่ตอนนี้อะไรก็หยุดครามไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์พร้อมๆกับพนักงานอีกคนที่เดินเข้ามาประจำตำแหน่งรับออเดอร์
"รับอะไรดีคะ?"
"กลิ่นของเธอ.."
ไม่ใช่..นี่มันไม่ใช่กลิ่นของเธอคนนั้น
"คะ?"
เธอเลิกคิ้วมองครามด้วยความสงสัย แต่คนที่ตกอยู่ในภวังค์ยังคงขมวดคิ้วจนคิรินต้องเดินมาสะกิด
"ท่านประธาน?"
ครามชะงักและหันมองคิรินที่เดินตามเข้ามาด้วยความตกใจ ก่อนเขาจะหันมองพนักงานคนเดิมอีกครั้ง
"โทษที"
ครามพยักหน้าเป็นเชิงขอโทษกับพนักงานสาว ก่อนเขาจะเดินออกมาพร้อมกับคิรินที่กำลังถืออเมริกาโน่ในมือ
"เมื่อกี้คนนี้ทำเหรอ?"
"ไม่นะครับ พนักงานอีกคนแต่ตอนนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้"
ใช่...เพราะทันทีที่เธอไปกลิ่นหอมมันก็จางหายไปด้วย
'คู่ของโชคซะตาถ้าหลานเจอเธอหลานจะรู้ได้เอง'
'รู้ได้ยังไงครับคุณตา?'
'กลิ่นของเธอไง เธอจะมีกลิ่นหอมมากๆ และกลิ่นนั้นจะมีแต่หลานที่รู้สึกได้เท่านั้น'
"งมงาย"
"ครับ?"
"แค่เรื่องงมงายน่ะ"
คิรินขมวดคิ้วมองลูกพี่ตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนครามจะยื่นมือมาหยิบอเมริกาโน่ไปยกดื่มแต่กลิ่นหอมอ่อนๆของเธอยังคงมีติดค้างอยู่ที่แก้ว...มันหอมจนครามยังสงสัย เพราะคิรินเองก็ดูจะไม่ได้กลิ่นหอมนี้เหมือนกับเขาเลย
คู่แห่งโชคชะตาเหรอ เขาเลิกงมงายเรื่องนี้ไปนานแล้ว