นายแพทย์อนุตรออกจากห้องไปแล้วสิปปกรยังนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งพ่อแม่และพี่ชายเคยเตือนเขาหลายครั้งแล้วว่าการใช้รถจักรยานยนต์นั้นอันตราย เพราะเพียงแค่เสียหลักนิดเดียวก็อาจล้มหรือพลิกคว่ำได้ง่ายๆ เขาไม่เคยเชื่อเพราะมั่นใจว่าตัวเองมีสติพอที่จะควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยแต่เมื่อวานพี่สาวของกฤตพลเล่าว่าเพื่อนของเขาขี่รถกลับจากฝึกงานตามปกติจากนั้นมีรถเก๋งปาดหน้า เพื่อนของเขาเลยหักหลบจนรถเสียหลักไถลไปกับพื้นจนศีรษะไปกระแทกกับของฟุตปาธ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทนั้นทำให้เขาคิดได้
ก๊อก...ก๊อก...
สิปปกรลุกไปเปิดโดยไม่ต้องมองไปที่ช่องเล็กๆ เขารู้ว่าคนที่เขารออยู่นั้นกำลังมา
“เป็นไงบ้าง นอนหลับไหม” คำทักทายที่ออกมาจากริมฝีปากบางๆ สีชมพูระเรื่อนั้นทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้
“ก็หลับนะ แต่กว่าจะหลับก็นานเลย เอรินกินอะไรก่อนไหม” เขามองเวลาแล้วยังเช้าอยู่มากและคิดว่าเธอคงยังไม่ได้ทานอะไรมา
“ไม่ล่ะ พี่กินกาแฟมาแล้วเราไปกันเลยไหม” พราววรินทร์รู้ว่าเขาร้อนใจอยากไปเยี่ยมเพื่อน
“เราคงต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อยนะ”
“อ้าว มีอะไรหรือเปล่า” พราววรินทร์มีสีหน้าตกใจ
“พอดีพี่โอห์มบอกเมื่อเช้าว่าไอ้เต้เข้าผ่าตัดอีกรอบ ตอนนี้ยังอยู่ในห้องผ่าตัด ผมเลยคิดว่าจะกลับไปที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปที่โรงพยาบาล”
“ได้สิ วันนี้พี่ว่างมีเวลาให้นายทั้งวัน” เธอตอบอย่างจริงใจ
สิปปกรฟังแล้วยิ้มกว้าง เธอเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของเขาในยามนี้ “เราจะนั่งแท็กซี่ไปกันนะ”
“ทำไมล่ะ เอารถพี่ไปก็ได้นี่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า” หญิงสาวส่งกุญแจรถให้กับชายหนุ่ม
“ผมว่าจะกลับไปเอารถยนต์มาใช้น่ะ ไม่อยากใช้มอเตอร์ไซด์แล้ว” เขาไม่อยากให้คนอื่นต้องเป็นห่วงถ้าตัวเองยังใช้รถจักรยานยนต์
“พี่ว่าดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็คงปลอดภัยกว่า”
แท็กซี่จอดที่หน้ารั้วของบ้านหลังใหญ่ สิปปกรชำระเงินค่าแท็กซี่แล้วก็พาเธอเดินเข้าไป ดูเหมือนคนที่บ้านของเขาจะรออยู่แล้ว
“มาแล้วเหรอลูก แม่ดีใจมากตอนที่ลูกโทร. มาบอกว่าจะเข้ามาเอารถ แม่ให้ลุงผลล้างให้แล้ว” มารดาของชายหนุ่มโผเข้ากอดลูกชายทันทีที่เห็นเขาเดินข้ามา
“ขอบคุณครับแม่”
“แล้วพาใครมาด้วย เพื่อนเหรอ” มารดาของชายหนุ่มถามขึ้น
“ครับแม่ นี่เอรินเพื่อนผมครับ”
พราววรินทร์ยกมือไหว้มารดาของสิปปกรที่ตอนนี้เธอเข้าใจผิดคิดว่าหญิงสาวเป็นเพื่อนกับลูกชายของเธอ มารดาของเขาท่าทางใจดีและยังสวยอยู่มากจนเธอเองเดาอายุไม่ถูก
“พาเพื่อนเข้าไปในบ้านก่อนสิปาล์ม”
“ครับแม่”
“หนูเอรินทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”
“ทานมาแล้วค่ะคุณน้า” มารดาของเขาท่าทางใจดีและยังสวยอยู่มากจนเธอเองเดาอายุไม่ถูก
“อย่าเรียกน้าเลย เรียกแม่อย่างตาปาล์มเถอะ แล้วนี่เรียนด้วยกันเหรอจ้ะ”
“เปล่าค่ะ เอรินเรียนเภสัช”
“อ้าว แล้วไปรู้จักกันได้ยังไงล่ะ”
“แม่ครับ อย่าพึ่งถามอะไรเลย ผมว่าพาเอรินไปไหว้พ่อก่อนดีไหม”
“นั่นสิ แม่ลืมไปเลย มาลูกตามแม่เข้ามาข้างในเลย” แล้วหญิงสาวก็เดินตามมารดาของเขาเข้าไปในบ้าน บิดาของเขานั่งอยู่ที่โซฟารับแขกก็ยิ้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้ะ เพื่อนตาปาล์มหน้าตาสวยเชียว กิริยาก็เรียบร้อย ปกติพ่อเคยเห็นแต่เพื่อนผู้ชาย” บิดาของชายหนุ่มกล่าวทักทาย
“พ่อก็พูดเกินไปครับ เพื่อนผู้หญิงผมก็มีครั้งก่อนยังพามากินเหล้าที่บ้านเลย”
“โอย..อย่าให้พ่อนึกถึงเพื่อนเรากลุ่มนั้นเลย เป็นผู้หญิงแต่ละคนกินเหล้าเก่งกว่าพ่อสมัยหนุ่มๆ อีกนะ” คุณธีระนึกถึงบรรดาเพื่อนของลูกชายแล้วก็ต้องส่ายหน้า
สิปปกรคุยกับบิดามารดาอยู่อีกเพียงครู่ก็ต้องรีบขอตัว ชายหนุ่มพาพราววรินทร์แวะทานอาหารระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาล
ร้านอาหารเล็กๆ ข้างทางที่มีอาหารตามสั่งเพียงไม่กี่ชนิดที่หญิงสาวเป็นคนเลือกเพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มคงยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า
“พี่ว่าเรากินร้านนี้แหละปาล์ม”
“เอรินกินได้แน่ะนะ” เขามองร้านที่เล็กๆ ริมถนนแล้วถามเธอ
ร้านแบบนี้เขาเคยพาสาวๆ แวะทานแต่ทุกคนต่างพากับปฏิเสธ บางคนก็ว่าร้อนไม่มีเครื่องปรับอากาศ บางคนก็กลัวว่าไม่สะอาด
“ได้สิ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“ก็มันไม่มีแอร์กลัวเอรินร้อน อีกอย่างก็กลัวไม่สะอาดด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่กินได้สบายมาก” เธอไม่ใช่คนเรื่องมากและร้านแบบนี้บางทีก็ยังอร่อยกว่าร้านอาหารหรูๆ ด้วยซ้ำ
อันที่จริงบิดามารดาของเขาก็ชวนทานอาหารที่บ้าน แต่สิปปกรกลัวว่าบุพการีทั้งสองจะถามเรื่องราวความเป็นมาของพราววรินทร์ว่ามารู้จักกับเขาได้อย่างไรสิปปกรขี้เกียจตอบคำถามก็เลยรีบพาหญิงสาวออกมาก่อน
พอทานอาหารเสร็จแล้วเขาก็ขับรถตรงมายังโรงพยาบาลชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปยังหน้าห้องผู้ป่วยหนักที่เมื่อวานเขาก็มาแล้วครั้งหนึ่ง
ภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อวานเลย ตอนนี้เพื่อนของเค้ายังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยหนักมีทั้งเครื่องช่วยหายใจสายน้ำเกลือและถุงให้เลือดแขวนอยู่เต็มไปหมด
“พี่ตาลครับหมอว่ายังไงบ้าง” สิปปกรถามกฤติกาพี่สาวของเพื่อนสนิทที่นั่งร้องไห้จนตาบวมอยู่หน้าห้องผู้ป่วยหนัก
“เมื่อเช้าหมอบอกว่ามีเลือดคลั่งในกะโหลกศีรษะจึงพาไปผ่าตัดอีกครั้ง พึ่งออกมาก่อนหน้าปาล์มมาถึงไม่นาน ตอนนี้ก็รอให้สมองยุบบวมจากนั้นก็ประเมินอาการอีกที” กฤติกาบอกตามที่ได้คุยกับแพทย์เจ้าของไข้แจ้งมา
“แล้วนิ้วละครับเป็นยังไงบ้างครับ หมอว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมไหม”
“หมอไม่กล้ารับปากเพราะกระดูกนิ้วแตกละเอียดเลย ตอนนี้หมอก็ผ่าตัดจัดกระดูกให้แล้วตอนนี้ก็ต้องรอให้แผลหายถึงจะบอกได้อีกทีว่าเหมือนเดิมหรือเปล่า”เธอตอบเพื่อนของน้องชายแล้วก็เลยไปยิ้มให้หญิงสาวที่เดินตามหลังมา
“ครับ แล้วพี่ตาลได้กลับบ้านหรือยัง”
“ยังเลยพี่เป็นห่วงเต้ แล้วนี่พาเพื่อนมาด้วยเหรอ”
“ครับ นี่เอรินเพื่อนผมครับ”
“สวัสดีค่ะ” พราววรินทร์กล่าวทักทาย เธอไม่ได้ยกมือไหว้เพราะคิดว่าคงอายุไม่ต่างกันมาก
“เพื่อนเรียนด้วยกันเหรอ พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่ก็ขอบใจนะที่มาเยี่ยมเจ้าเต้”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันเรียนจบแล้ว แต่นายปาล์มไม่ยอมเรียกว่าพี่เลยทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เรื่อยค่ะ”
“เหรอคะ นึกว่าเรียนด้วยกันเสียอีกหน้าเด็กอยู่เลย”
“พี่ตาลก็คิดเหมือนผมใช่ไหม เอรินหน้าเด็กตัวก็เล็กแต่ก็ชอบบังคับให้ผมเรียกพี่” เขาอยากเห็นพี่สาวของเพื่อนมีรอยยิ้มเลยต้องชวนคุยเรื่องอื่น แต่ก็คงได้แค่ชั่วครู่เพราะตอนนี้กฤติกาก็มองไปเตียงที่น้องชายของเธอยังนอนไม่ได้สติอยู่
“เอรินว่าอย่าไปฟังนายนี่เลยค่ะ คุณตาลทานอะไรบ้างหรือยังคะ นี่จะเที่ยงแล้ว”
“ฉันทานอะไรไม่ลงหรอกค่ะ”
“ผมว่าพี่ตาลไปพักผ่อนก่อนก็ได้เดี๋ยวผมอยู่กับเต้เองครับ”
“ขอบใจนะปาล์ม พี่ฝากเต้ไว้สักชั่วโมงนะ ว่าจะกลับไปเอาของใช้จำเป็นสักหน่อย แต่ถ้ามีอะไรได้โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลานะ พี่จะรีบไปรีบกลับ”
“ครับพี่ตาล”
พอพี่สาวของกกฤตพลกลับไปแล้วเขาก็พาหญิงสาวมานั่งรอที่เก้าอี้หน้าห้องผู้ป่วยหนัก พราววรินทร์ไม่ได้พูดอะไรเพราะสถานการณ์อย่างนี้ใครๆ ก็ต้องการอยู่เงียบๆ
เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าสิปปกรยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองหญิงสาวตบเข่าชายหนุ่มเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เขาหันมามองหน้าเธอแล้วยิ้มให้
“อย่าพึ่งเครียดไปเลย เพื่อนนายอายุยังน้อยร่างกายแข็งแรงเดี๋ยวก็ฟื้น” เธอได้แต่ให้กำลังใจเขา
“ผมกลัวว่ามันจะไปตื่นมาคุยกับผม” น้ำเสียงเครียดนั้นทำให้เธอเห็นใจเขาไม่น้อย
“อย่าพึ่งคิดลบสิ อยู่ในความดูแลของหมอแล้ว”
“อือ”
“แล้วมีใครโทร. ไปแจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาหรือยัง เขาจะได้ทำเรื่องแจ้งไปที่ฝึกงาน”
“ยังเลยไม่ได้โทรเลย ขอบคุณนะครับเอรินที่เตือน ผมขอไปโทร. บอกอาจารย์ที่ปรึกษาก่อน เอรินรอตรงนี้คนเดียวได้ใช่ไหมครับ”
“อย่าห่วงเลย แล้วก็อย่าลืมโทร. ไปลางานให้ตัวเองด้วยนะ”
สิปปกรโทร. ไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาและโทร. ไปยังบริษัทที่ตัวเองฝึกงานอยู่ จากนั้นก็เดินกลับมานั่งอยู่ที่เดิม เขาเห็นพยาบาลเดินเข้าไปเตียงที่เพื่อนนอนอยู่ก็แปลกใจ
“พยาบาลเข้าไปทำอะไรเหรอเอริน ผมเห็นเข้าไปหลายครั้งแล้ว”
“ก็เข้าไปวัดความดัน วัดไข้ ประเมินอาการนั่นแหละ ไม่มีอะไรต้องตกใจ”
“อ๋อ...ผมอยากเข้าไปเยี่ยมเพื่อนคุณว่าเขาจะให้เข้าไหม”
“เดี๋ยวพี่ไปถามพยาบาลให้นะว่าให้เข้าเยี่ยมได้หรือเปล่า”
เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในห้องกับเพื่อนเพียง 10 นาที สิปปกรมองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง เขาไม่รู้ว่าถ้าพูดกับเพื่อนตอนนี้แล้วเพื่อนจะได้ยินหรือเปล่าแต่เขาก็อยากพูดกับเพื่อน
“เต้มึงต้องรีบตื่นมาคุยกับกูนะ มึงก็รู้ว่ามึงเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่กูมี รีบตื่นมาเถอะ กูกับพี่ตาลรอมึงอยู่นะ” เขายืนอยู่กับเพื่อนจนครบเวลาเยี่ยมถึงออกมาจากห้อง
“คุณว่าเพื่อนผมมันจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดไหม” เขาถามผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งรอเขาอยู่หน้าห้อง
“ได้ยินสิ แล้วนายคุยอะไรกับเพื่อน”
“ก็แค่บอกให้มันรีบตื่น บอกมันว่าผมกับพี่ตาลรอมันอยู่”
“นายทำดีแล้วละ เพื่อนนายต้องรับรู้และเค้าจะรีบตื่นมาคุยกับนาย” เธอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เอรินไม่ได้หลอกให้ผมดีใจใช่ไหม”
“พี่จะหลอกนายทำไม” เธอตอบแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเพื่อนของเขาจะตื่นมาคุยหรือเปล่า เธอไม่ใช่หมอและเธอก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
สิปปกรนั่งอยู่หน้าห้องของเพื่อนจนกระทั่งพี่สาวของเขากลับมา แต่เขาก็ยังไม่กลับในทันที เขาอยู่เป็นเพื่อนกฤติกาจนถึงเย็น
“เย็นแล้วพี่ว่าปาล์มกับเอรินกลับไปก่อนก็ได้นะ”
“แล้วตาลจะกลับด้วยไหม” หลังจากที่ได้คุยกันทำให้พราววรินทร์รู้ว่าทั้งสองงอายุเท่ากัน สรรพนามจึงเปลี่ยนไป
“ยังหรอกจ้ะ ตาลจะรอคุยกับหมออีกทีค่อยกลับ” เพราะเมื่อเช้าแพทย์ที่ผ่าตัดน้องชายของเธอบอกว่าจะเข้ามาตรวจอีกครั้งตอนเย็น
“ให้ผมอยู่ด้วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกปาล์ม พี่อยู่ได้”
“ถ้าคุยกับหมอแล้วพี่อย่าลืมโทร. บอกผมด้วยนะครับ”
“จ้ะ ขับรถกลับกันดีๆ นะ”
“พรุ่งนี้เลิกงานผมจะแวะมานะครับ”
“จ้ะ”