โต๊ะอาหารขนาดยาวประดับด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดตา จัดวางจานช้อนชามอย่างเป็นระเบียบ เรียงรายด้วยอาหารฝีมือแม่ฉันที่ยังคงส่งกลิ่นหอมเย้ายวนทั่วห้อง
บรรยากาศโดยรอบกลับดูนิ่งเงียบอย่างประหลาด มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานและเสียงพูดคุยเบา ๆ จากคุณท่านกับพี่จอมทัพเท่านั้น
ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่ข้างพี่กองทัพ ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจเขา ยิ่งเวลาผ่านไปหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกที แทบไม่กล้าเงยหน้ามองใคร โดยเฉพาะเขา
เพราะแค่เมื่อกี้… เขาเห็นฉันในสภาพที่ไม่ควรเห็นแล้ว!
“กินเยอะ ๆ นะหนูเมย์” คุณท่านพูดพลางตักกับข้าวใส่จานให้ฉัน
“ขะ…ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบตอบกลับพร้อมก้มหน้าแทบจะจุ่มข้าว
มือที่ถือช้อนยังสั่นนิด ๆ พี่กองทัพก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่บรรยากาศรอบตัวเขากลับกดดันแปลก ๆ เหมือนรู้ว่าแค่หันไปสบตา ฉันต้องหน้าร้อนขึ้นมาอีกแน่
“เป็นอะไร ทำไมไม่กิน”
เสียงทุ้มนิ่งเอ่ยเบา ๆ ข้างหู ทำเอาฉันสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันส่ายหน้ารัว ๆ ก่อนจะรีบตักข้าวเข้าปากเพื่อกลบความรู้สึกประหลาดที่ยังวนเวียนในอก
เขายังนิ่งเหมือนเดิม…แต่การที่เขาถามแบบนั้น มันก็ทำให้ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีกเลย
“กิ๊ฟทำผัดพริกแกงกุ้งอร่อยขึ้นนะวันนี้”
เสียงคุณท่านพูดขึ้นพร้อมยิ้มให้แม่ฉันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เอ่อ…จานนี้กิ๊ฟไม่ได้ทำนะคะ เจ้าเมย์เขาเป็นคนทำเอง”
แม่ตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“หืม? ฮ่า ๆ อ้าวเหรอ ลุงนึกว่าแม่เราทำ”
คุณท่านหัวเราะเบา ๆ ก่อนหันมาทางฉัน
“แต่เราก็ทำอาหารอร่อยดีนะหนูเมย์”
“ขอบคุณค่ะ…”
ฉันตอบเบา ๆ ในลำคอ พร้อมก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในจาน รู้สึกได้เลยว่าแก้มเริ่มร้อนวูบขึ้นอีกแล้ว
“อื้ม…อร่อยจริงด้วย ถึงว่าไอ้กองทัพตักกินไม่หยุดเลย”
เสียงพี่จอมทัพแซวขึ้น ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อย
ฉันแอบเหล่ตาไปทางเขา
พี่กองทัพยังไม่พูดอะไร แค่ตักข้าวเข้าปากเงียบ ๆ เหมือนเคย
แต่ดวงตาคมกริบนั่น…กลับเหลือบมามองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนกลับไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แค่แวบเดียว…ก็ทำเอาหัวใจฉันสะดุดวูบ
“อืม ก็อร่อยดี”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นเบา ๆ ขณะยังคงตักข้าวกินไปเรื่อย ๆ
ฉันชะงักช้อนในมือ ใจเต้นแรงแปลก ๆ ทั้งที่ประโยคมันก็แค่สามคำธรรมดา…
แต่สำหรับฉัน มันไม่เคยธรรมดาเลย
ยังไม่ทันตั้งตัว เสียงคุณท่านก็ดังขึ้น
“เออ…เรื่องงานแต่ง หนูเมย์ติดอะไรหรือเปล่า”
ฉันแทบสำลักข้าว!
จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ…
“ติดค่ะ เมย์ไม่อยากแต่งกับลูกชายคุณท่าน” แบบนั้นเหรอ?
ขืนพูดแบบนั้น…ฉันคงได้หัวหลุดจากบ่าแน่ ๆ
ฉันฝืนยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา
“เอ่อ…เมย์ไม่ติดอะไรค่ะ”
“แล้วเราล่ะ กองทัพ ติดอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ” เขาตอบเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากจาน
“ดี งั้นงานจะจัดขึ้นสิ้นเดือนนี้”
“ห๊ะ! สิ้นเดือนนี้หรอคะ?” ฉันเผลอร้องออกมาพร้อมนับนิ้วในใจ
“หนึ่ง…สอง…โอ๊ย! อีกแค่สองอาทิตย์เองนะนั่น!”
ฉันร้องในใจก่อนจะหลุดพูดออกมาเสียงหลง
“เอ่อ…มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ?”
คุณท่านหันมามองฉันด้วยรอยยิ้มใจดี แต่คำพูดกลับทำให้ฉันสะอึก
“ไม่นะ…ลุงว่ามันช้าไปด้วยซ้ำต่างหาก”
“นี่เรียกช้าหรอคะคุณท่าน… แล้วถ้าเร็วของคุณท่าน ไม่วันพรุ่งนี้เลยหรอ งงมาก”
ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก้มหน้าหลบสายตาผู้ใหญ่ทุกคนโดยไม่รู้เลยว่า…
“ฉันได้ยินนะ”
เสียงกระซิบทุ้มต่ำดังขึ้นชิดหู ทำเอาฉันสะดุ้งเฮือกจนเกือบทำช้อนหล่น
ฉันหันไปมองเขาด้วยความตกใจสุดขีด พี่กองทัพยังคงสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เบาไปหน่อย แต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี” เขาโน้มตัวเข้ามากระซิบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความขำบางอย่างไว้ในน้ำเสียง
“พรุ่งนี้ก็ไม่เลวนะ ถ้าเธออยากให้มันเร็วจริง ๆ”
เขากระซิบเสียงเรียบ แต่ดวงตากลับมีแววเจ้าเล่ห์แอบซ่อนอยู่
ฉันรีบหันไปมองเขา ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีแล้วพึมพำตอบเบา ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ… เมย์ไม่รีบ…”
แต่ถึงปากจะพูดแบบนั้น มือฉันก็ยังจับช้อนไม่มั่นเลยด้วยซ้ำ!
แต่ถึงปากจะพูดแบบนั้น… มือฉันก็ยังจับช้อนไม่มั่นเลยด้วยซ้ำ!
หลังจากทานอาหารเสร็จ เห้ออ โล่งขึ้นหน่อยเถอะ เป็นมื้อเย็นที่น่าอึดอัดที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง!
พอเดินกลับมาหลังบ้าน แม่ก็รีบหันมาถามทันที
“เป็นยังไงบ้าง ลองได้นั่งกินข้าวกับคุณท่านแล้วก็คุณผู้ชายเต็มรูปแบบ รู้สึกยังไง”
ฉันเบะปากเหนื่อยใจ
“แม่ก็นั่งกินอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ แม่รู้สึกยังไงล่ะ เมย์อึดอัดจนจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ!”
แม่ทำหน้าทำนองว่า ‘ฉันเข้าใจลูกที่สุด’
“แม่ก็เหมือนกันนั่นแหละ เกร็งจนตัวจะแข็งเป็นท่อนไม้อยู่แล้ว ไม่เคยไปนั่งกินอะไรเป๊ะ ๆ แบบนั้นมาก่อนเลยลูกเอ๊ย”
ฉันถอนหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแหมะ
“นี่แค่กินข้าวนะคะแม่ ยังเหนื่อยขนาดนี้ ถ้างานแต่งมาจริง ๆ เมย์คงเป็นลมกลางพิธีแน่”
ฉันกับแม่ต่างมองหน้ากัน…ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกันแบบไม่มีนัดหมาย
ใบหน้าของเราทั้งคู่คล้ายกันอย่างประหลาด เศร้า…เหนื่อย…และทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรม
“แม่ว่าแม่ยังไม่พร้อมมีลูกเขยเร็วขนาดนี้เลยลูก…” แม่พึมพำเบา ๆ น้ำเสียงปนขำปนเครียด
“หนูก็ยังไม่พร้อมเป็นเจ้าสาวเหมือนกันค่ะ…”
ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน
เราต่างมองหน้ากัน…แล้วก็พากันทำหน้าเศร้าแบบเงียบ ๆ
เงียบ…แต่เจ็บลึกมากแม่!
“กลับเข้าห้องไปเถอะ ตรงนี้เดี๋ยวแม่เก็บล้างเอง”
แม่บอกพลางเก็บจานตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่อ่ะ เมย์อยู่ช่วยดีกว่า” ฉันรีบพูด ทั้งที่รู้ว่าแม่ไม่ยอมแน่ ๆ
“ไม่ต้องเลย กลับห้องไปทบทวนหนังสือเถอะ เดี๋ยวตรงนี้แม่จัดการเอง”
“งั้น…ไปก็ได้ค่ะ”
ฉันตอบเสียงเบาแบบจำยอม ก้าวเท้าออกจากห้องครัวช้า ๆ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ค่อยอยากกลับห้องเลยสักนิด
ฉันที่เดินกลับมาถึงห้องของตัวเองก็แทบไม่อยากขยับตัวไปไหนอีก ทันทีที่ประตูปิดลง ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม เสียงลมหายใจของตัวเองดังชัดในความเงียบ ราวกับความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในหัว
แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกเย็น ๆ ทำให้รู้ตัวว่าทั้งร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้าขนาดไหน ขาทั้งสองข้างยื่นออกนอกเตียงอย่างหมดแรง ขณะที่แขนข้างหนึ่งยกขึ้นปิดตา บางทีอาจเพื่อหลบแสงไฟ หรือไม่ก็เพื่อหลบความเป็นจริงที่กำลังประดังเข้ามา
เสียงนาฬิกาดังติ๊ก ๆ อยู่อย่างนั้น คล้ายตอกย้ำว่าฉันกำลังใกล้เข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต การแต่งงานกับผู้ชายที่แทบไม่คุยกันเลย แม้จะบอกตัวเองให้ทำใจ แต่หัวใจก็ยังสั่นไหวทุกครั้งที่คิดถึงชื่อของเขา…พี่กองทัพ