ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่า ใกล้จะสามทุ่มเข้าไปทุกที แต่ฉันยังนั่งนิ่งอยู่ในห้องของตัวเอง หนังสือเรียน กระดาษโน้ต และไอแพดวางกองอยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย
เหมือนแค่นั่งมองมันเฉย ๆ รอให้มันลุกมาอ่านแทนซะมากกว่า
ฉันถอนหายใจยาวออกมา พลางบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “เห้ออ ไม่อยากไปห้องพี่กองทัพเลย…”
สายตายังจับจ้องอยู่ที่ของพวกนั้นที่จัดเตรียมไว้ราวกับจะไปสอบ แต่ในใจกลับไม่ได้พร้อมจะไปไหนเลยสักนิด
ฉันนั่งงมอยู่กับความคิดของตัวเอง หัวเต็มไปด้วยความลังเล วุ่นวายจนไม่รู้จะจัดการยังไงก่อนดี แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น…
ตึ่ง!
เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แบบลังเลใจ ก่อนจะเห็นข้อความที่ทำเอาใจสั่นวูบ
“จะมาที่ห้องฉัน หรือให้ฉันไปที่ห้องเธอ”
หืมมม… เหลือเชื่อจริง ๆ เชื่อไหมว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่พี่กองทัพส่งไลน์มาหาฉัน
ทั้งที่เราก็มีไลน์กันอยู่แล้วตั้งนาน แต่กลับไม่เคยคุย ไม่เคยทัก ไม่เคยแม้แต่สติ๊กเกอร์สักตัว… จู่ ๆ วันนี้กลับพิมพ์มาสั้น ๆ แต่เล่นเอาหัวใจฉันเต้นแรงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!
แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหมล่ะ…
เลือกได้หรือเปล่า ว่าฉันจะไม่ไป…
เลือกได้ไหม ว่าฉันยังไม่อยากเจอเขาตอนนี้…
แต่สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง
ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างคนที่ไม่มีทางเลือก
“กำลังไปค่ะ”
ฉันถอนหายใจแรง ๆ หนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ ไปหยิบเสื้อคลุมตัวบางมาใส่ทับชุดอยู่บ้านที่ดูเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ รวบหนังสือกับไอแพดที่ยังวางกองอยู่บนโต๊ะขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
แม้จะไม่อยากไป… แต่ก็ต้องไปอยู่ดี
ระหว่างทางที่ฉันเดินอ้อมจากหลังบ้านเข้าทางประตูครัว ความเงียบงันของยามเย็นทำให้ทุกก้าวที่เดินดูเงียบเกินไป จนได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองชัดเจน
พอพ้นประตูเข้ามาในบ้าน ฉันก็เห็นคุณท่านนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมของท่านดูสงบนิ่ง ขณะที่ปลายนิ้วเลื่อนหน้าจอไอแพดไปอย่างช้า ๆ แสงจากจอสะท้อนขึ้นมาบนเลนส์แว่น ทำให้ดวงตาของท่านยิ่งดูอ่านไม่ออก
ฉันเม้มปากแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย หวังจะเดินผ่านไปเงียบ ๆ โดยไม่ให้เป็นจุดสนใจ
แต่ไม่ทันพ้นระยะเพียงไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มต่ำของท่านก็ดังขึ้น
“จะไปไหนล่ะ”
ฉันชะงักเท้า เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ตอบเสียงเบา
“อ่อ… พอดีเมย์จะขึ้นไปทำรายงานกับพี่กองทัพค่ะ อาจารย์ให้จับคู่ทำงานกันน่ะค่ะ”
คุณท่านพยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามตนเอง พร้อมพูดเรียบ ๆ
“มานั่งคุยกันหน่อยสิ”
หัวใจฉันกระตุกวูบ ฉันไม่แน่ใจนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งนั้น
“เอ่อ…ก็ได้ค่ะ”
ฉันเดินไปนั่งลงช้า ๆ พยายามประคองสีหน้าให้เป็นปกติ ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและระแวง
คุณท่านวางไอแพดลงบนโต๊ะ หันสายตานิ่งขรึมมามองฉันตรง ๆ
“เรื่องงานแต่ง… ลุงรู้ว่าเราอาจจะไม่พอใจ หรืออาจไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงทำ”
ฉันหลบสายตาท่านเล็กน้อย รู้สึกเหมือนถูกอ่านความคิดออก
“แต่ลุงอยากให้เรารู้ไว้นะ ว่าลูกชายของลุง…เขาจะดูแลเราได้”
คำพูดนั้นเหมือนแรงสะกิดในใจ ฉันลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยเสียงเบา แต่ชัดเจน
“เมย์ขอถามได้ไหมคะ… ทำไมต้องเป็นเมย์? ทำไมถึงเลือกเมย์ที่เป็นแค่ลูกของคนใช้ ทั้งที่คุณลุงสามารถหาผู้หญิงดี ๆ ให้พี่กองทัพได้ตั้งมากมาย…”
คุณท่านเงียบไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงไม่ได้เย้ยหยัน แต่ออกจะมีแววเอ็นดูปนอยู่เล็กน้อย
“เพราะลูกชายของลุง…ดันชอบผู้หญิงแบบเดียวกับลุงน่ะสิ”
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“คือ… หมายความว่าอะไรคะ เมย์ไม่เข้าใจ…”
คุณท่านยิ้มน้อย ๆ แววตานั้นเหมือนคนที่มีความลับซ่อนอยู่
“ไม่ต้องเข้าใจตอนนี้หรอก ปล่อยให้เวลาเป็นคนอธิบายทุกอย่างก็พอ”
ฉันนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น ความสงสัยยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม ได้แต่เงยหน้ามองคุณท่านเป็นพัก ๆ ก่อนจะหลบสายตากลับลงไปยังมือของตัวเองที่กำลังบีบเข้าหากันแน่น
เสียงของท่านดังขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนลงกว่าเมื่อครู่
“เราพึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่กับแม่ได้ไม่นาน… บางอย่างเลยยังไม่รู้ หรืออาจจะยังไม่เข้าใจนักก็ไม่แปลกหรอกนะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาของท่านดูจริงจังแต่ไม่กดดัน
“ลูกชายลุง…เจ้ากองทัพน่ะ ถึงจะดูนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นคนที่สังเกตคนรอบตัวเก่งมาก โดยเฉพาะคนที่มันสนใจ”
ท่านเว้นจังหวะไปเล็กน้อย เหมือนกำลังเลือกถ้อยคำให้เหมาะเจาะ ก่อนจะพูดต่อช้า ๆ
“ถ้าวันไหน… คน ๆ นั้นเปลี่ยนไป หรืออยู่ ๆ ก็หายไปจากวงโคจรของมัน มันจะอยู่ไม่สุขเลยล่ะ”
หัวใจฉันสะดุดวูบ เหมือนโดนคำพูดแทงเข้าอย่างจัง
ไม่ใช่แค่ประโยคนั้นที่ทำให้ฉันชะงัก… แต่เป็นสายตานิ่ง ๆ ที่แฝงแววรู้ทันของคุณท่านต่างหาก
เหมือนท่านรู้… มากกว่าที่ฉันคิด
“แล้วเราก็ดันไปทำให้ลูกชายลุงสนใจเข้าให้น่ะสิ”
เสียงท่านเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก น้ำเสียงนั้นแฝงความขบขัน แต่ฉันฟังแล้วกลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
“ลูกชายลุงที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยสนใจใคร… แต่กลับมาสนใจลูกคนงานในบ้าน หึ… น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
ฉันหลุดหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ในใจยังวูบไหวกับคำพูดนั้น
“พี่กองทัพเนี่ยนะคะ… จะมาสนใจเมย์ คุณลุงคงมองผิดแล้วล่ะค่ะ”
ฉันรีบพูดกลบเกลื่อน ก่อนจะเสริมด้วยรอยยิ้มบาง “ถ้าบอกว่าเป็นพี่จอมทัพ เมย์ยังพอจะเชื่อกว่าอีกนะคะ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากฝั่งคุณท่าน
“ฮ่า ๆ ลูกของลุง… ลุงว่าลุงดูออกนะ”
ท่านพูดพร้อมกับส่งสายตาที่เหมือนรู้ทันทุกอย่าง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างคนที่พูดจบแล้วแต่ยังทิ้งความหมายเอาไว้ในอากาศ
“ขึ้นไปเถอะ ป่านนี้ไอกองคงเริ่มโมโหแล้วมั้ง ที่เราขึ้นไปช้าแบบนี้”
ท่านพูดพลางชี้นิ้วไปยังนาฬิกาข้อมือที่อยู่บนข้อมือซ้าย
ฉันเบิกตากว้างเล็กน้อย ตกใจจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ตายจริง! เลยเวลามานานขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย!?
ไอพี่กองทัพนั่นมันฆ่าฉันแน่ ๆ! คนอะไรยิ่งเจ้าระเบียบเรื่องเวลาเป็นบ้า
ในหัวฉันโวยวายเสียงดัง แต่ใบหน้าก็ยังพยายามยิ้มแหย ๆ ก้มหัวให้คุณท่านอย่างรวดเร็ว “ขะ ขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วก็ไม่รอให้ท่านพูดอะไรต่อ ฉันรีบสาวเท้าออกจากตรงนั้นก่อนจะเร่งฝีเท้าแทบจะกลายเป็นวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
เสียงฝีเท้าตัวเองกระทบบันไดดังก้องในหัว… ยิ่งใกล้ห้อง ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าห้องสอบไม่ก็ศาลประหารอะไรสักอย่าง!
ฉันหอบหายใจอยู่หน้าห้องของพี่กองทัพ ฝ่ามือชื้นเหงื่อจากการวิ่งขึ้นบันได ใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัว…แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่หน้าห้องสอบมากกว่าห้องนอนของเขา
ฉันยกมือขึ้นลังเลนิดหน่อย ก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะนั้นไม่ได้ดังมาก แต่ในความเงียบของชั้นสอง มันกลับฟังชัดเจนราวกับตีกลองในใจฉัน
ฉันยืนรอฟัง… หูเงี่ยฟังทุกเสียงในห้อง แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมาทันที
เสียงในหัวเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่จุกอยู่กลางอก
ฉันกำลังจะยื่นมือไปเคาะประตูอีกครั้ง…
แต่ยังไม่ทันได้แตะ
แกร๊ก!
เสียงลูกบิดหมุนเบา ๆ ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ประตูเปิดจากด้านใน…
ร่างสูงของเขาปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับยืนรอจังหวะนั้นอยู่แล้ว
ผิวขาวจัดยิ่งดูเด่นชัดเมื่ออยู่ใต้แสงไฟในห้อง สวมแว่นกรอบเรียบที่ขับให้ดวงตาคู่นั้นดูนิ่งลึก และ…จ้องฉันไม่วางตา
ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไร้คำพูดใด ๆ เอ่ยออกมา แต่สายตานั้นกลับชัดเจนกว่าคำพูดทุกอย่าง
ฉันนิ่งไปชั่ววินาที ทั้งลมหายใจเหมือนสะดุดกลางอากาศ…