“ขอทางหน่อยค่ะ!”
ฉันบอกเขาที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงทางเดินตรงคณะวิศวะคู่กับพี่ชายของแจม คือพี่แทนไท
“อ้าว น้องเมย์เรียนห้องนี้หรอครับ” พี่แทนไทพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“ค่ะ เมย์ขอทางหน่อยนะคะ พอดีไม่อยากยืนแถวนี้นานค่ะ อากาศมันไม่ค่อยถ่ายเท”
ฉันจงใจพูดโดยไม่มองหน้าเขา
แม้ว่าอีกคนที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ จะกำลังมองมาเต็มสายตา
กองทัพไม่พูดอะไร
เหมือนทุกที เขาเก่งเรื่องทำเหมือนไม่รู้จักฉันอยู่แล้ว
“โอเคครับ ๆ เชิญเลยครับคุณน้อง” พี่แทนไทขยับตัวเปิดทางให้ ฉันพยักหน้าขอบคุณเบา ๆ แล้วเดินผ่านไป
แต่แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่เดินสวนกับกองทัพ…
ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นโคโลญจาง ๆ กลิ่นที่เป็นกลิ่นประจำตัวของเขา
เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะสบตา
แต่สายตาที่มองมาทางฉันก่อนจะหันหนีไป มันเย็นชาเหมือนเดิม
เย็นชา… จนฉันเผลอกำมือแน่น
นี่สินะ ชีวิตแต่งงานที่ต้องแกล้งทำเป็น “คนแปลกหน้า”
ฉันเดินเข้าห้องเรียนด้วยหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะนัก ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน หรือคนเยอะ แต่เพราะแค่เดินผ่านผู้ชายคนนั้น
…ฉันก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วปอด
บรรยากาศในห้องเรียนตอนนี้ยังคงวุ่นวายเหมือนเช้าแรกของวันเรียน หลายคนกำลังทยอยเข้าห้อง บ้างนั่งคุย บ้างไถมือถืออย่างเบื่อหน่าย เสียงแอร์ฮัมเบา ๆ ปะทะกับเสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษารอบข้าง
ฉันนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ข้าง ๆ แจม เพื่อนสนิทที่กำลังจ้องหน้าจอมือถือราวกับจะมุดเข้าไปในนั้น
“พี่แทนไทมันอยู่ไหนของมันวะ ทักไปก็ไม่ค่อยตอบเลย” แจมบ่นเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“เมื่อกี้กูเพิ่งเดินสวนกับเขาตรงทางเดิน” ฉันพูดพร้อมยกขวดน้ำขึ้นดื่ม
แจมหันขวับมาหาฉันทันที “อ้าวเหรอ? มึงเจอพี่แทนเหรอ?”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ “อืม เห็นอยู่กับพี่กองทัพ”
แค่พูดจบ แจมก็ทำตาโตทันที “จริงดิ?”
“เอออ จะตื่นเต้นอะไรนักหนาเนี่ย” ฉันยิ้มขำ
“ก็แหมม… มึงได้เจอพี่กองทัพเลยนะเว้ย! กลุ่มนั้นอ่ะหล่อโหด พี่หมอกคือที่สุด รองมาก็พี่ไทเกอร์ แล้วก็ตามด้วยพี่กองทัพ อิจฉาพี่แทนไทฉิบหาย ได้อยู่ท่ามกลางคนหล่อทุกวัน!”
“เวอร์ละมึง” ฉันหัวเราะขำแล้วแกล้งถาม “แล้วพี่เจเจล่ะ ไม่หล่อหรอ?”
“มึงหยุดพูดเลยอีห่า! แค่ได้ยินชื่อ ขนกูลุกละ” แจมทำท่ารังเกียจสุดชีวิต
“เจเจอ่ะนะ?” ฉันย้ำเสียงสูง พร้อมเลิกคิ้วนิด ๆ
“อีเมย์ กูจะไม่คุยกับมึงละจริง ๆ นะ!”
ฉันระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังเกินเหตุเล็กน้อย เหมือนจะพยายามกลบความรู้สึกบางอย่างในใจ
“โอเคๆ ไม่พูดละ ฮ่าๆ”
แต่แจมกลับเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเอียงคอมองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ที่เริ่มคุ้นเคย
“ว่าแต่มึง…” เสียงเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “กูสังเกตนะ เวลาพูดถึงพี่กองทัพ มึงแม่งเงียบผิดปกติว่ะ”
ฉันนิ่งไปชั่ววินาที มือที่กำลังจะวางขวดน้ำถึงกับชะงักกลางอากาศ
“เว่อร์ละ…” ฉันกลอกตา ก่อนจะรีบเบือนสายตาออกไปทางหน้าต่าง
แจมหัวเราะหึ ๆ ในลำคออย่างจับผิด “เงียบแบบมีลับลมคมในด้วยนะเว้ย ไม่เหมือนตอนพูดถึงพี่หมอกหรือพี่ไทเกอร์เลยอะ”
เสียงหัวเราะของเธอจางหายไปพร้อมกับลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา
ขณะที่หัวใจของฉัน… กลับเต้นถี่อย่างไม่มีเหตุผล
เธอยังไม่รู้หรอก ว่าอีกไม่กี่วันฉันกับพี่กองทัพ… ต้องจดทะเบียนสมรสกันตามคำสั่งของผู้ใหญ่
แต่ไม่นานนัก เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่แบมแบม น้ำหวาน และนุ่นจะเดินเข้ามาพร้อมกัน
แจมที่นั่งอยู่ข้างฉันรีบหันไปมอง แล้วแซวขึ้นทันทีเสียงดัง
“มาช้านะพวกมึง มัวแต่อ่อยผู้อยู่หรือไง?”
นุ่นถอนหายใจแรงแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แบบหมดแรงสุดขีด “แหม่… มึงก็ลองคิดดูเถอะ ไอหวานอ่ะ พี่หมอกมาส่งถึงหน้าตึก ส่วนไอแบมก็โดนพี่ไทเกอร์ยื้ออยู่ตั้งนาน กูยืนรออยู่ตรงกลางอ่ะ งงโคตร!”
“ยื้ออะไรกันนักหนา?” แจมขมวดคิ้วขำ ๆ
“ไม่รู้ดิ! เดี๋ยวส่ง เดี๋ยวดึง เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจูบแม่งตรงหน้ากูเนี่ยแหละ กูแบบ… ‘จะให้กูเดินแทรกไปเลยไหมคะพี่!’ เซ็งโคตร!” นุ่นบ่นกระปอดกระแปด
ฉันหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “มึงก็เว่อร์ไป๊”
“ไม่เว่อร์หรอกเมย์! มึงลองไปอยู่ตรงกลางแบบกูสิ รู้เลยว่าเป็นมือที่สามมันอึดอัดขนาดไหน” นุ่นทำท่าเหมือนจะล้มทั้งยืน “ความรักแม่งล้อมหน้าล้อมหลัง กูคือบัฟเฟอร์ที่ไม่มีใครเห็นค่า…”
น้ำหวานหัวเราะคิก ขณะที่แบมแบมส่ายหน้าแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างฉัน
“พอเลยพวกมึง เดี๋ยวโดนอาจารย์หักคะแนนเข้าห้องช้า” แบมแบมพูดเบา ๆ แต่รอยยิ้มที่มุมปากก็ยังไม่หายไปจากหน้าเธอ
ฉันเหลือบมองใบหน้าของเพื่อนทีละคน… โดยเฉพาะแบมแบม ที่ถึงจะพูดเรียบ ๆ แต่สีหน้าก็ยังแดงระเรื่อ เหมือนยังเก็บความรู้สึกไว้ไม่มิด
แน่นอน… ฉันสังเกตได้
พี่ไทเกอร์ของเธอคงพูดหรือทำอะไรบางอย่างก่อนแยกกัน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเอง…
กับอีกคนที่ฉันต้องแกล้งทำเป็น “ไม่รู้จัก” ต่อหน้าเพื่อนแบบนี้…
ตอนนี้เป็นชั่วโมงเรียนวิชาโครงงานที่อาจารย์กำลังอธิบายเนื้อหาอย่างขะมักเขม้น เสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ กลบความเงียบในห้องเรียนที่มีนักศึกษานั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะ แต่แล้ว… กลุ่มนักศึกษาชายจากภาควิศวกรรมไฟฟ้าก็เดินกรูเข้ามาพร้อมกันทีละคน สายตาทั้งห้องพากันหันไปมองอย่างสงสัย
“มึง แฟนพวกมึงเขามีเรียนวิชานี้ด้วยหรอวะ?”
แจมหันไปถามแบมแบมกับน้ำหวานทันทีที่เห็นแก๊งพี่ชายตัวเองเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนตั้งใจจะมานั่งแถวหลังสุด
“ห้ะ? ไม่เห็นไทเกอร์บอกกูเลยว่ามีเรียนวิชานี้ด้วย” แบมแบมเงยหน้าจากสมุดจดก่อนจะหันไปมองทันที และก็เจอเข้ากับสายตาของพี่ไทเกอร์ที่กำลังมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“นั่นสิ… พี่หมอกก็ไม่เห็นบอกอะไรกูเลยเหมือนกัน”
น้ำหวานพูดขึ้นบ้าง สีหน้าฉายแววสงสัย ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะมองไปยังพี่หมอกที่เพิ่งเดินตามหลังพี่ไทเกอร์เข้ามา
ฉันไม่ได้สนใจหรอก…
ว่าจะมีใครบอกหรือไม่บอก ว่าใครจะตั้งใจปิดบังหรือแค่ลืม แต่ที่ฉันกำลังสนใจตอนนี้
ก็คือแก๊งของพวกเขาที่กำลังเดินตรงมาทางเก้าอี้ว่างด้านหลังพวกฉัน ซึ่งยังไม่มีใครนั่ง
“ไอกอง มึงไปนั่งตรงนั้นแล้วกัน”
เสียงพี่แทนไทเอ่ยขึ้น พร้อมพยักเพยิดไปยังเก้าอี้เป้าหมาย
ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสายตาเห็นว่าที่ที่พี่แทนไทพูดถึง…
คือเก้าอี้ว่างที่อยู่ ข้างฉัน ใกล้เกินไปเสียด้วยซ้ำ
พี่กองทัพไม่ได้พูดอะไร เขาแค่หันมามองอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเดินมานั่งลงเงียบ ๆ
ไม่มีคำทัก ไม่มีคำพูดใด ๆ
แต่ออร่าความนิ่งและเย็นชาของเขากลับทำเอาใจฉันวูบวาบขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ฉันพยายามไม่หันไปมอง หัวใจเต้นแรงเหมือนจะประชดฉันที่แสดงออกว่า ‘ไม่สนใจ’ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว…
ฉันกำลังสนใจเขาอยู่เต็ม ๆ
“ตั้งใจเรียนไป ไม่ต้องหันมามอง”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบเบา ๆ ข้างหู เบากว่าลมหายใจ แต่ชัดเจนจนทำเอาหัวใจฉันสะดุด
ฉันนิ่งค้างทันที ปลายปากกาที่กำลังจดอยู่ถึงกับชะงักกลางทาง
เขาเห็นเหรอ…? ว่าฉันแอบมอง
ฉันรีบเบือนสายตากลับไปยังหน้ากระดานทันที พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด
แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นโครมครามจนแทบไม่ได้ยินเสียงอาจารย์สอนแล้ว
เขาเห็น… แล้วเขายังพูดกับฉันด้วยเสียงแบบนั้นอีก…
เงียบ นิ่ง แต่โคตรทำให้ใจสั่น