– หลังเลิกเรียน –
วันนี้ฉันตั้งใจจะรีบกลับบ้าน เพราะแม่โทรมาฝากให้แวะซื้อของเข้าบ้านนิดหน่อย เลยไม่อยากชักช้า กลัวแม่ต้องรอนาน
ตอนนี้ฉันมาอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านแล้ว รายการของที่ต้องซื้อก็มีไม่มาก…ซอสหอยนางรม น้ำปลา น้ำมัน หมู และไข่
จริง ๆ แม่ฉันก็ออกมาซื้อของเองได้นะ แต่ฉันว่าการที่ฉันแวะซื้อเข้าไปให้แบบนี้ มันน่าจะสะดวกกว่า แถมแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินออกมาข้างนอกด้วย
แต่พอฉันหยิบถาดไข่เสร็จแล้วกำลังจะเดินไปคิดเงิน เสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“ป้ากิ๊ฟฝากซื้อของเหรอ?”
ฉันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองตามเสียง…
ไม่ผิดแน่ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือพี่กองทัพ
เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ แต่กลับดูดีเกินเหตุ จนฉันเผลอมองซ้ำอีกรอบแบบไม่รู้ตัว
“อะ… ค่ะ แม่ฉันฝากซื้อของนิดหน่อย”
ฉันตอบพลางหลบสายตา รู้สึกประหม่าแปลก ๆ ที่ดันมาเจอเขาในที่แบบนี้
“จะกลับยัง?” เขาถามต่อ น้ำเสียงยังเรียบเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไม… มันกลับฟังดูอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด
“ก็… จะไปคิดเงินแล้วก็กลับเลยค่ะ”
ฉันตอบพร้อมขยับถาดไข่ในมืออย่างเก้ ๆ กัง ๆ โดยไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดี
“อืม…”
เขาตอบแค่นั้น ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปหน้าตาเฉย
ฉันยืนมองตามหลังเขาไปอย่างงง ๆ
“อะไรของเขาเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยทัก ทำเป็นนิ่งใส่ตลอด” ฉันพึมพำเบา ๆ พลางเลิกคิ้วใส่ตัวเองเหมือนต้องการคำตอบ
“วันนี้ผีเข้าหรือเปล่าวะ… หรือเมื่อเช้าโดนแดดเผาจนเบลอ?”
ฉันยกถาดไข่ขึ้นมากอดไว้แน่นอย่างเหม่อ ๆ ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินไปทางแคชเชียร์ต่อ
หลังจากที่ฉันคิดเงินเสร็จ ฉันก็จัดการเก็บของลงถุงเรียบร้อย ก่อนจะเตรียมตัวเดินกลับ
พอเดินออกมาหน้าร้าน ฉันมายืนรอข้ามถนนตามปกติ มองซ้ายมองขวาอยู่สองสามรอบเพื่อเช็กว่ามีรถไหม
แต่แล้ว…
ยังไม่ทันก้าวเท้าข้ามถนนดี รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ พุ่งตรงมาทางฉันด้วยความเร็ว
“เฮ้ย—!”
ฉันได้แค่เบิกตากว้าง ร่างชะงักกลางถนน ไม่ทันได้ถอย ไม่ทันจะหนี…
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง
เสียงตะโกนก็ดังขึ้นพร้อมแรงดึงที่กระชากแขนฉันให้หลุดพ้นจากรัศมีของมอเตอร์ไซค์
“ระวัง!”
ร่างฉันถูกดึงกลับเข้ามาชิดข้างทางชนิดที่หัวใจแทบจะกระเด็นออกจากอก
และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง…
ก็พบเข้ากับใบหน้าเย็นชาของใครบางคนที่คุ้นตาเป็นอย่างดี
พี่กองทัพ…
“เป็นอะไรไหม” เขาถามเสียงนิ่ง หน้าตาก็ยังคงเฉยชาเหมือนเดิม
“ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่ของ…”
ฉันพูดพร้อมก้มมองไปที่ถาดไข่ในถุงพลาสติกที่ตอนนี้แตกกระจายเกือบทั้งแผง
“ช่างมัน เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่” เขาพูดต่อทันที น้ำเสียงเรียบแต่เด็ดขาด “แล้วเธอทำไมไม่ดูรถให้ดี ๆ อยากตายหรือไง”
“ฉันก็ดูแล้วนะ ดูดีแล้วด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไม—”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็สวนขึ้นมาก่อน
“ไปขึ้นรถ กลับพร้อมฉัน”
คำพูดของเขาทำฉันชะงักเล็กน้อย
ฉันเงยหน้ามองเขาอย่างงง ๆ
“หืม?”
“จะรอให้ฉันพูดอีกกี่รอบ?” เขาถามกลับ ดวงตานิ่ง ๆ คู่นั้นมองตรงมาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
ฉันเม้มปากแน่นนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“…ค่ะ”
พอฉันกับเขาขึ้นมาบนรถ บรรยากาศก็เงียบสนิท…
เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรเยอะแยะ เพราะพี่กองทัพก็ขึ้นชื่อเรื่องนิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่เงียบขนาดนี้…มันก็เกินไปไหมวะ?
ฉันแอบเหลือบมองเขาจากหางตา
เขายังคงขับรถไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูด ไม่ถาม ไม่แม้แต่จะหันมามองฉันสักแวบเดียว
โอเค… เข้าใจว่านิ่ง
แต่นี่นิ่งจนเหมือนฉันเป็นอากาศไปเลยมั้ย?
ถ้าแต่งงานกันจริง ๆ ฉันคงได้กลายเป็น “เจ้าสาวใบ้” ไปโดยปริยายแน่ ๆ
และในที่สุด… รถก็แล่นมาจอดที่บ้านของฉัน
ไม่สิ ต้องเรียกว่าบ้านของเขา
เพราะฉัน…ก็เป็นแค่คนอาศัยเท่านั้นเอง
ฉันเปิดประตูรถออกอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะก้าวลงมาแล้วปิดประตูตามด้วยเสียง “ปัง” เบา ๆ
บรรยากาศยังคงเงียบ… เงียบจนฉันรู้สึกเก้อ ๆ อยู่หน่อย ๆ
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปเรียกเขา
“นาย…”
พี่กองทัพเงยหน้าขึ้นมองฉันผ่านกระจก
“ขอบคุณนะ เรื่องเมื่อกี้…”
เสียงฉันแผ่วลงนิดหน่อยในตอนท้าย ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนี
พูดจบ ฉันก็หมุนตัวเดินไปยังประตูสำรองด้านข้าง ประตูที่มีไว้สำหรับคนงานหรือแม่บ้านเท่านั้น ประตูที่…สะท้อนสถานะของฉันในบ้านหลังนี้ได้ชัดเจนที่สุด
พอฉันเดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นอาหารหอมจาง ๆ ก็ลอยมากระทบจมูกทันที ฉันตรงดิ่งไปที่ห้องครัวตามสัญชาตญาณ พร้อมกับยกถุงของในมือขึ้นอย่างเหนื่อยล้า
“แม่!” ฉันตะโกนเรียกเสียงดังลั่น
เสียงหั่นผักหยุดลงทันที พร้อมกับเสียงโวยกลับมา “โอ้ยยย จะตะโกนทำไมเสียงดังลั่น! แม่ตกใจหมดเลยนะ ไอ้เมย์!”
“ฮ่า ๆ ก็อยากเรียกนี่นา” ฉันหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เพิ่งเจอเรื่องชวนใจหายมาเมื่อครู่
แม่หันมามองพลางส่ายหน้า แล้วเดินเข้ามาหาฉัน “ไหนล่ะ ของที่แม่ฝากซื้อ?”
“นี่ไง…” ฉันยื่นถุงให้ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ แม่ก็เปิดถุงและหยิบกล่องไข่ออกไปดู ก่อนจะร้องเสียงหลง
“ว้ายตายห่า! ทำไมไข่แตกยับเยินแบบนี้ ไปทำอีท่าไหนมานี่! โอ๊ยยย หัวจะปวด!”
ฉันยิ้มแหย ก่อนถอนหายใจเบา ๆ “โธ่แม่… เมย์เกือบโดนรถชนนะ ดีที่คุณผู้ชายของแม่เขาดึงไว้ทัน เมย์เลยไม่เป็นไร แต่ไข่น่ะ…มันเลยต้องรับเคราะห์แทน”
แม่เบิกตากว้างอย่างตกใจ “ตายจริง! แล้วคุณผู้ชายเป็นยังไงบ้าง!? เขาเจ็บตรงไหนไหม!?”
ฉันชะงักกับคำถามนั้นไปเล็กน้อย แล้วมองแม่ด้วยแววตาเอือมระอา “แม่ นี่ลูกแม่นะ ลูกแท้ ๆ ยืนอยู่ตรงนี้ แม่ไม่คิดจะถามลูกก่อนเหรอ?”
แม่หัวเราะเบา ๆ แล้วตบแขนฉันเบา ๆ อย่างหมั่นไส้ “ก็ลูกแม่น่ะมันแข็งแรง ใครเขาจะทำอะไรได้ล่ะเมย์! แต่คุณผู้ชายน่ะ…เขานุ่มนวล หน้าตาดี ใจดีด้วย แม่ก็ต้องห่วงเขาหน่อยสิ!”
ฉันส่ายหน้าแล้วกลอกตาแรง ก่อนจะเดินหนีเข้ามุมครัวไปวางของ เหมือนจะลืมไปเลยว่าคนที่เกือบโดนชนวันนี้น่ะ “ฉันเอง” ไม่ใช่ “คุณผู้ชายของแม่!”
ฉันยืนจัดของที่ซื้อมาเข้าตู้กับข้าวและตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควร พอหันกลับไปมองหาแม่ว่าจะคุยด้วยอีกนิด กลับไม่เห็นเธออยู่ตรงนั้นแล้ว
สงสัยจะเดินไปไหนต่อแล้วมั้ง…
ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้วกำลังจะเดินไปล้างมือ เตรียมกลับห้องไปทบทวนรายงานที่อาจารย์เพิ่งมอบหมายให้ช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูห้องครัวดี เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นตรงหน้า ก่อนที่แม่จะมายืนดักฉันไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะแม่…” ฉันเอ่ยถามอย่างเหนื่อยใจ
แต่แทนคำตอบ แม่ก็ยื่นกล่องทำแผลเล็ก ๆ มาตรงหน้า
“เอาไปทำแผลให้คุณผู้ชายของแม่หน่อย” เธอบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อกี้แม่เห็นแวบ ๆ เหมือนตรงศอกกับหัวเข่าเขามีเลือดซึมออกมา”
ฉันเลิกคิ้วทันที “แล้วทำไมแม่ไม่ขึ้นไปทำเองล่ะ เมย์ไม่อยากขึ้นไป”
แม่ถอนหายใจพลางยกมือเท้าเอว “แม่ว่างที่ไหนกันล่ะ! เราก็เห็นอยู่ว่าแม่ยังยุ่งอยู่ตรงนี้ เมย์นั่นแหละขึ้นไปจัดการ รีบทำรีบเสร็จ ไม่ต้องทำตัวเป็นเด็ก”
ฉันมองกล่องทำแผลในมือแม่ ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วพึมพำเบา ๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
“ก็แค่เลือดออกนิดหน่อยเอง ป่านนี้คงหายไปเองแล้วมั้ง…”
แต่สุดท้ายก็ต้องยื่นมือไปรับกล่องมาจนได้ เพราะรู้ดี… ถ้าไม่ทำตาม แม่คงไม่ปล่อยฉันง่าย ๆ แน่