เวลาประมาณสองทุ่ม หลังเลิกกิจกรรมรับน้อง บรรยากาศโดยรอบเริ่มเงียบสงบลงกว่าตอนเย็น ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟและหน้าจอโทรศัพท์ที่ช่วยส่องทางให้เห็นผู้คนที่ยังคงเดินไปมาบ้างประปราย
น้องใหม่หลายคนดูอ่อนล้าเต็มที ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและความง่วง บางคนเดินตัวเอียงเหมือนจะล้ม บางคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน เสื้อผ้าเปียกชื้นเพราะเหงื่อและอากาศอับชื้นในช่วงกลางคืน หลายคนถอดรองเท้าแตะเดินเท้าเปล่า หรือไม่ก็ยืนบิดขาเพราะเจ็บจากการยืนนาน
เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังขึ้นในกลุ่มเล็ก ๆ มีทั้งเสียงบ่นว่าเหนื่อย เสียงหัวเราะคิกคักแบบหมดแรง และเสียงถอนหายใจปนขำเมื่อคิดถึงกิจกรรมแปลก ๆ ที่เพิ่งผ่านไป บางคนโทรหาพ่อแม่ บอกว่าเพิ่งจะได้ออก บางคนแวะเซเว่นหรือรอรถกลับหอด้วยท่าทางเหนื่อยแต่ยังพยายามฝืนยิ้ม
แม้จะเป็นเวลาค่ำที่เหนื่อยล้า แต่ในสายตาของใครหลายคน มันคือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ทั้งสนุก ทั้งลำบาก และทั้งอบอุ่นจากมิตรภาพที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิดในความมืดของค่ำคืน
“อิจฉามึงว่ะอีแบม ได้พี่ไทเกอร์สุดหล่อของกูมาเป็นสายรหัส” แจมพูดพลางทำหน้าเซ็งจัด
“จะแลกกับกูไหมล่ะ? กูก็ไม่ได้อยากให้เขาเป็นสายรหัสกูเท่าไหร่ ขี้เก๊กฉิบหาย” แบมแบมบ่นเสียงเบื่อ
“ระวังเถอะมึง! เกลียด ๆ อยู่เนี่ย เดี๋ยวจะได้เขามาเป็นผัวซะเอง ฮ่า ๆ” นุ่นแซวพร้อมหัวเราะร่า
“หึ ไม่มีทางอ่ะ แล้วจะไม่มีวันนั้นด้วย” แบมแบมตอบเสียงนิ่ง
“มึงจะรู้ได้ไงล่ะ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ป่ะ” น้ำหวานพูดขึ้นพร้อมยักคิ้ว
“อ่อออ…เหมือนมึงใช่ป่ะ ไม่ต้องสุ่ม ระบบแม่งบังคับให้เลย” เมย์แซวพลางหันไปยิ้มล้อ ๆ ใส่น้ำหวาน
น้ำหวานกลอกตา “มึงนี่นะ พูดมาก เดี๋ยวกูยื่นใบเปลี่ยนสายรหัสเลยเอ้า!”
“เปลี่ยนไม่ได้แล้วจ้า พี่หมอกล็อกไว้แน่นหนากว่าสายยูเอสบีอีก” แจมหัวเราะ
“มึงนี่ชอบพาดพิงกูตลอดเลยนะ” น้ำหวานเบ้ปาก ทำทีเหมือนจะงอน
“แหมมม ก็พี่เขาทำคะแนนดีขนาดนี้ จะไม่ให้พูดถึงได้ไงวะ” นุ่นเสริมพลางทำเสียงแซว
“แต่พูดถึงพี่หมอกนะ… เขาก็ดีอ่ะ ดูเงียบ ๆ แต่เทคแคร์น้องเบา ๆ นะเว้ย” เมย์พูดพลางยิ้มกว้าง
“เออ วันนี้กูก็เห็น แอบถือขวดน้ำให้หวานด้วยอ่ะ กรี๊ดดดด” แจมพูดพลางเอามือทาบอก ทำท่าตื่นเต้น
“กะ…ก็แค่ขวดน้ำป่ะวะ! ไม่ต้องเว่อร์!” น้ำหวานรีบแก้ตัว แต่หน้าแดงแปร๊ดจนเพื่อน ๆ พากันกรี๊ดลั่น
“แค่ขวดน้ำแต่หน้ามึงแดงเหมือนโดนขอแต่งงาน!” นุ่นแซวเสียงดัง ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะกันยกกลุ่ม
“นู้นนนน พ่อมึงมารับละ” แบมแบมพูดขึ้นทันทีที่เห็นพี่หมอกเดินตรงเข้ามาทางกลุ่ม พูดพลางยกคางไปทางเขาอย่างรู้ทัน
น้ำหวานหันขวับตามสายตาเพื่อน พอเห็นว่าเป็นพี่หมอกจริง ๆ ใจก็เต้นแรงแบบไม่มีสาเหตุ “บ้า! นี่เขาพูดจริงหรอเนี่ยย”
“แหมม ช่วงนี้มีคนรับส่งด้วยอ่ะ” แจมแซวพร้อมหัวเราะคิกคัก
พี่หมอกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มเพื่อนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็มีแววอ่อนโยนแอบซ่อนอยู่ “เสร็จยัง?”
น้ำหวานพยักหน้าเบา ๆ “อืม… เสร็จแล้ว”
“งั้นไป กลับบ้าน” พี่หมอกพูดสั้น ๆ แต่เสียงทุ้มนุ่มนั่นกลับทำให้ใจน้ำหวานสั่นไปหมด
“โอ๊ยยย พูดน้อยแต่ทำไมเขินหนักวะ” เมย์กระซิบใส่แจม ขณะที่ทุกคนต่างแอบหัวเราะกันเบา ๆ
น้ำหวานรีบโบกมือลาเพื่อน “ไปละนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน!” ก่อนจะรีบเดินไปข้างพี่หมอกอย่างเขิน ๆ โดยไม่หันกลับมาเลย
“กูว่าไม่เกินเดือนนี้แหละ ได้กินหมอกแน่” นุ่นสรุปพร้อมเสียงฮือฮาจากเพื่อน ๆ ที่ยังยืนแซวกันสนุกสนาน
———
เมื่อฉันขึ้นมานั่งบนรถพี่หมอกเรียบร้อย แต่เวลาผ่านไปเกือบห้านาที รถกลับยังไม่ขยับออกจากโรงจอดรถเลยแม้แต่นิด พี่หมอกนั่งอยู่ในที่คนขับ ก้มหน้ากดโทรศัพท์เงียบ ๆ เหมือนกำลังตอบแชตใครบางคนอย่างตั้งใจ
ฉันนั่งมองเขานิ่ง ๆ อยู่นาน รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ
“ฉันหิวข้าว แวะกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย”
ฉันหันไปมองเขา แปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ เขาชวนแบบไม่ทันตั้งตัว
“…อ่อ ได้ค่ะ”
เมื่อฉันตอบเขาไปว่า “ได้ค่ะ” พี่หมอกก็พยักหน้ารับรู้กับคำตอบนั้น ก่อนจะก้มลงวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัว แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังนิ่งเฉย ไม่ได้ขยับรถออกไปไหนสักที
เวลาผ่านไปอีกนิด ฉันเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เลยเอ่ยถามเบา ๆ
“ไม่ออกรถหรอคะ—”
ยังไม่ทันที่คำถามจะจบประโยคดี พี่หมอกก็พูดแทรกขึ้นมาเสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำ
“ฉันลืมไปว่าต้องรัดเข็มขัดให้เธอด้วย”
สิ้นเสียง เขาก็เอนตัวโน้มเข้ามาใกล้ฉันทันทีจนฉันเผลอกลั้นหายใจ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวเขาลอยมาแตะจมูกอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาเอื้อมมาดึงสายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ข้างตัวฉัน แล้วค่อย ๆ ล็อกเข้ากับที่เสียบอย่างนุ่มนวล
ระยะห่างระหว่างเราตอนนี้…ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา
ฉันนั่งนิ่ง ตัวแข็งทื่อไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจ หรือเพราะหัวใจที่เต้นแรงเกินจะควบคุม
เขาผละตัวกลับอย่างใจเย็น ก่อนจะพูดขึ้นเรียบ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เรียบร้อยแล้ว… ไปได้”
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงจอด แต่ในใจฉันกลับยังสั่นไม่หยุด
ตลอดทางที่รถเคลื่อนตัวออกจากโรงจอด ความเงียบก็ยังคงปกคลุมอยู่ในรถ มีเพียงเสียงเพลงเบา ๆ จากวิทยุที่เปิดคลอพอให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป
แต่เงียบยังไงก็ไม่เท่ากับในใจฉันตอนนี้…ที่ยังเอาแต่คิดถึงจังหวะเมื่อกี้
มือที่เอื้อมมารัดเข็มขัดให้ฉัน ระยะห่างที่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจเขา และที่สำคัญ…ใบหน้าเขาที่ชิดจนฉันเผลอก้มหน้าหนีโดยอัตโนมัติ
ฉันแอบหันไปมองหน้าเขานิด ๆ พี่หมอกยังคงขับรถนิ่ง ๆ สีหน้าเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด
“พี่หมอก…” ฉันตัดสินใจเรียกชื่อเขาออกมาเบา ๆ
เขาเหลือบตามามองนิดหน่อย “หืม?”
“เมื่อกี้…พี่ทำแบบนั้นบ่อยเหรอคะ กับคนอื่น”
คำถามนั้นหลุดออกมาเองโดยไม่ทันยั้งคิด ฉันกัดปากตัวเองแน่น รู้สึกอยากกลืนคำพูดคืนทันทีที่พูดจบ พี่หมอกเงียบไปสักพัก เหมือนกำลังเลือกคำตอบ ก่อนจะตอบสั้น ๆ
“ไม่เคย”
ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเขายังจ้องถนน แต่แววตานั้นนิ่งลึกอย่างบอกไม่ถูก
“กับเธอ…ไม่รู้ทำไมถึงเผลอทำ” เขาเสริมเบา ๆ โดยไม่หันมามอง
หัวใจฉันกระตุกวูบ กลายเป็นเต้นแรงจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน
“อะ…อ่อ ค่ะ” ฉันตอบกลับเบา ๆ แล้วรีบหันหน้าออกไปทางกระจกมองวิวข้างทาง
ทั้งรถกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ความอึดอัด…มันคือความเขินล้วน ๆ
———
ร้านอาหารที่พี่หมอกพาฉันมา เป็นร้านตามสั่งเล็ก ๆ ริมถนนทั่วไป โต๊ะเก้าอี้เป็นพลาสติกเรียงรายอยู่ใต้หลังคาสังกะสี เสียงจอแจของลูกค้าดังปะปนกับกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแต่ไกล
มีทั้งนักศึกษาใส่ชุดมหาลัยนั่งคุยกันเสียงดัง พนักงานออฟฟิศในชุดทำงานที่เพิ่งเลิกงานมานั่งกินข้าวเงียบ ๆ บางโต๊ะก็นั่งหัวเราะกันสนุกสนาน ส่วนอีกมุมหนึ่งมีเสียงทีวีลำโพงแตก ๆ เปิดข่าวอยู่
ฉันกับพี่หมอกเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่มุมในสุด ใกล้พัดลมเก่า ๆ ตัวหนึ่งที่หมุนเอื่อย ๆ พอให้คลายร้อน
บรรยากาศดูธรรมดาแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด อาจเพราะไม่ใช่ร้านหรูที่ต้องประดิษฐ์ท่าทีมากมาย ฉันเลยรู้สึกสบายกว่าที่คิด
“กินอะไรดี?” พี่หมอกถามพลางเปิดเมนูพลาสติกสีซีด ๆ ที่มีรอยขีดข่วนจากการใช้งาน
“ข้าวผัดหมูค่ะ” ฉันตอบเรียบ ๆ
“น้ำส้ม?” เขาเงยหน้าถามต่อ เหมือนรู้ทัน
ฉันหลุดยิ้มนิด ๆ “รู้ได้ไงคะ?”
“เห็นสั่งแต่แบบนี้เวลาอยู่ศูนย์อาหาร” เขาตอบเสียงนิ่ง แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองอยู่ตลอดโดยไม่รู้ตัว
พออาหารมาเสิร์ฟ ฉันก็เริ่มลงมือกินเงียบ ๆ โดยมีเสียงคนรอบข้างเป็นฉากหลัง พี่หมอกนั่งกินข้าวกระเพราไข่ดาวของเขาไปเงียบ ๆ เช่นกัน
แต่จู่ ๆ ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้ากินข้าวอยู่ดี ๆ พี่หมอกก็ค่อย ๆ ยื่นช้อนของเขามาตักอะไรบางอย่างจากจานฉัน
ฉันเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาตักแตงกวาชิ้นเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างข้าวผัดของฉันไปใส่จานตัวเองหน้าตาเฉย
“พะ…พี่หมอก นั่นมันแตงกวาในจานหวานนะคะ” ฉันรีบพูดทันทีด้วยน้ำเสียงตกใจปนงง
เขาไม่แม้แต่จะหันมามอง แค่ตอบสั้น ๆ พร้อมกับเคี้ยวข้าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“อืม รู้แล้ว ก็เธอไม่กินแตงกวา”
ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง มองหน้าเขานิ่ง ๆ โดยที่เขายังคงกินของในจานตัวเองต่อ ราวกับสิ่งที่ทำเมื่อครู่เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“แต่นั่นมันอาจจะโดนน้ำลายหวานแล้วก็ได้นะคะ…” ฉันพูดขึ้นเบา ๆ เสียงอ่อนลงโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาเงยหน้าขึ้นมามองนิดหน่อย มุมปากกระตุกยิ้มจาง ๆ แบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ฉันไม่ถือ”
คำพูดสั้น ๆ ธรรมดา กับน้ำเสียงเรียบเย็นแบบเดิม แต่แค่ประโยคนั้นกลับทำให้หัวใจฉันเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
ฉันก้มหน้าลง รีบตักข้าวเข้าปากทันทีเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังฟุ้งกระจายไปทั่วตัว
พี่หมอก…แค่พูดว่ากินแตงกวาจากจานคนอื่นไม่เป็นไร ทำไมถึงทำให้ฉันเขินได้ขนาดนี้นะ
หรือว่า…ฉันจะเริ่มรู้สึกอะไรกับเขาจริง ๆ แล้ว?
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ พี่หมอกก็ลุกไปจ่ายเงินเงียบ ๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้ออกปากช่วยเลยแม้แต่นิดเดียว
“กลับกัน” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะเดินมาที่รถ ฉันพยักหน้าแล้วเดินตามไปเงียบ ๆ
อากาศยามค่ำคืนเริ่มเย็นลง ลมบาง ๆ พัดผ่านผิวจนฉันต้องเอามือกอดแขนตัวเองไว้หลวม ๆ
ระหว่างทางกลับบ้านในรถ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมาก เสียงเพลงเบา ๆ จากลำโพงรถคลออยู่เหมือนเดิม แต่บรรยากาศในรถกลับดูอบอุ่นมากกว่าเดิมอย่างบอกไม่ถูก
ฉันแอบมองหน้าเขาเงียบ ๆ ไฟจากถนนสะท้อนบนใบหน้าคมนิ่งนั้นเป็นจังหวะ แสงวูบวาบที่เปลี่ยนไปตามการขับรถทำให้ใจฉันเต้นแปลก ๆ
จนกระทั่งรถชะลอจอดที่โรงรถของบ้านเขา ฉันปลดเข็มขัดออกช้า ๆ แล้วหันไปหาพี่หมอก
“ขอบคุณนะคะ ที่เลี้ยงข้าว”
เขาแค่พยักหน้านิด ๆ แล้วพูดเสียงนิ่ง “ไปพักผ่อนเยอะ ๆ พรุ่งนี้ยังมีรับน้องอีก”
ฉันพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถ แต่ยังไม่ทันก้าวลง เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“น้ำหวาน”
ฉันหันกลับไปมองเขาทันที “คะ?”
เขานิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมสบเข้ากับฉันตรง ๆ “ถ้าใครมายุ่งกับเธอ…บอกฉัน”
ฉันชะงักไป หัวใจเต้นแรงขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ และรีบลงจากรถทันที
เมื่อปิดประตูลง ฉันยังยืนอยู่ตรงนั้น มองไฟท้ายรถที่ค่อย ๆ ดับลงช้าๆ เขาค่อย ๆ เปิดประตูรถออกมาช้า ๆ ขยับตัวลงจากรถอย่างนิ่งขรึมเหมือนทุกครั้งที่เห็น
ฉันที่ยืนอยู่ข้างๆรถเขา เหลือบเห็นเขาขยับแบบนั้นก็รีบก้าวเดินเร็ว ๆ ไปที่ประตูเชื่อมของบ้านเราทั้งสองคนทันทีหัวใจเต้นตึก ๆ ทั้งเพราะเขินและประหม่า ไม่รู้ว่าเขาจะเดินมาพูดอะไรอีกหรือเปล่า
“เดินไปดี ๆ” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังตามหลังมา
ฉันชะงักเท้า หันกลับไปมองเขาที่ตอนนี้ยืนพิงประตูรถ มองฉันนิ่ง ๆ ใบหน้ายังคงเรียบเฉยตามสไตล์ของเขา แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นมันอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“ค่ะ…” ฉันตอบเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วรีบก้าวขาเดินด้วยหัวใจที่ยังเต้นแรงไม่หยุด มือที่จับลูกบิดยังรู้สึกเย็น แต่ใบหน้าฉันกลับร้อนจนแทบจะระเบิด
ฉันสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในฝั่งบ้านตัวเอง ทันทีที่ประตูปิดลง ฉันก็ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่
หัวใจยังเต้นแรงเหมือนเพิ่งวิ่งขึ้นบันไดสิบชั้น ร้อนทั้งหน้า ทั้งหู ทั้งในอก
ตึง—
เสียงแจ้งเตือนจากมือถือดังขึ้น ฉันรีบหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอ และก็ต้องหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
[หมoก : ฝันดี]
แค่คำสั้น ๆ จากเขา แต่กลับทำให้ใจฉันพองโตอย่างประหลาด มือของฉันพิมพ์ข้อความตอบกลับไปโดยที่สมองยังมึน ๆ อยู่
[หวาน : ฝันดีค่ะ ขอบคุณนะคะ :) ]
พอส่งเสร็จ ฉันก็รีบเอามือปิดหน้าตัวเองแทบไม่ทัน ยัยน้ำหวาน… แกยิ้มอะไรขนาดนั้น!
แต่จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงล่ะ ก็คนที่ส่งข้อความมานั่น…คือพี่หมอกนี่นา คืนนี้ ฉันคงจะนอนหลับฝันดีจริง ๆ อย่างที่เขาบอกแหละ