“เรื่องเล็กที่ไม่เคยลืม”

1991 คำ
ภายในบ้านสองชั้นสีขาวสะอาดตา กลิ่นหอมของอาหารเย็นลอยคลุ้งไปทั่วบ้าน เสียงฝนยังคงตกปรอยๆ เคาะเบาๆ กับหลังคา เสียงทีวีจากชั้นล่างเปิดค้างไว้ที่ช่องข่าว แต่ไม่มีใครสนใจดูจริงจัง “หมอก! หมอกโว้ย ไอ้หมอก!!” เสียงป้าสุ แม่ของหมอก ตะโกนลั่นบ้านจากในครัว พลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน หัวก็โผล่พ้นกรอบประตูออกมามองขึ้นบันได เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังลงมาจากชั้นบน ก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่หน้าออกจากห้องนอนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “อะไรเนี่ยแม่ จะตะโกนทำไม อยู่กันแค่นี้เอง” หมอกพูดพลางเกาศีรษะ รอยยับบนเสื้อยืดบ่งบอกชัดว่าเพิ่งล้มตัวลงบนเตียงได้ไม่ถึงสิบนาที “แล้วตอนแม่เรียกดีๆ ทำไมไม่ตอบ ต้องให้เรียกแบบจะจิกหัวถึงจะยอมขานรึยังไง!” ป้าสุสวนกลับทันควัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดปนเอ็นดู “ก็เรียกทำไมล่ะ…” “ไปตามน้องน้ำหวานให้แม่หน่อย กับข้าวเสร็จแล้ว ป่านนี้ยังไม่มาอีก จะปล่อยให้เย็นหมดหรือไง” “เดี๋ยวเขาหิวก็คงมาเองแหละแม่ ปล่อยเขาเถอะ” “ไอ้นี่! แม่บอกให้ไปตามก็ไปสิ จะต้องให้หัวแตกก่อนถึงจะขยับรึไง ฮึ?” น้ำเสียงแม่เริ่มแข็งขึ้นจนหมอกถอนหายใจยาว เขาพึมพำเบาๆ อย่างยอมแพ้ “อ่ะๆ รู้แล้วน่า ไปก็ได้…” พูดจบก็ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงจากบันไดอย่างเชื่องช้า สายตาเหลือบไปมองฝนที่ยังตกพรำๆ นอกหน้าต่าง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังประตูเชื่อมที่แม่เพิ่งพูดถึง ——— ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบภายในห้องเล็กๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังคละคลุ้งในอากาศหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ฉัน น้ำหวานที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง อ่านนิยายรักเรื่องโปรดด้วยแววตาอินจัดถึงกับชะงักมือ ฉันลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตูอย่างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพบกับใบหน้าเรียบนิ่งของเจ้าของเสียงเคาะที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี “แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หมอกพูดเรียบๆ ท่าทีไม่ได้เต็มใจนัก ขณะกวาดตามองฉันที่ตอนนี้สวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นลายหมี ใบหน้าเปลือยเปล่าปราศจากเครื่องสำอางดูน่ารักสบายตา “จริงๆ หวานกินมาม่าก็ได้นะคะ หวานไม่อยากรบกวนแม่พี่เลย” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ ปนเกรงใจ เพราะยังรู้สึกไม่ถนัดใจนักที่ต้องอยู่ในบ้านคนอื่น หมอกถอนหายใจเบาๆ ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนสไตล์เขา “มาเถอะ ฉันขี้เกียจตอบคำถามแม่ว่าทำไมเธอไม่ไปกินด้วย น่ารำคาญ” ป๊าปป! ใจฉันแทบฟาดใส่หน้าคุณพี่ด้วยหมอน “ปากใช่มั้ยคะ ปากเสียชะมัด!” ฉันบ่นอุบอิบเสียงเบา จงใจไม่ให้คนตัวสูงได้ยิน แต่!!!! เหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างคนตัวเล็ก “ฉันได้ยิน” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นพร้อมสายตาคมกริบที่หันมาจ้องตรงอย่างไม่ไว้หน้า “ได้ยินด้วยหรอคะ เก่งจัง…นึกว่าหูตึงซะอีก” ฉันยิ้มแห้ง รีบพูดพลางเบี่ยงตัวก้าวขาออกจากห้องอย่างเร็วราวกับกลัวจะโดนคนตรงหน้าฟาดด้วยสายตาแรงๆ อีกครั้ง ——— กลิ่นอาหารหอมๆ ลอยมาแตะจมูกตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้าน บรรยากาศในบ้านตอนหัวค่ำแบบนี้ช่างดูอบอุ่น แสงไฟสีส้มนวลจากโคมไฟเหนือโต๊ะกินข้าวให้ความรู้สึกสบายตา โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อยกับข้าวหลากหลายวางเรียงตรงกลาง ทั้งต้มยำ ไข่เจียว หมูผัดกระเทียม และผัดผักจานใหญ่ “มาพอดีเลยลูก” แม่ของหมอกหันมายิ้มให้อย่างใจดี ก่อนจะหันมาหาฉัน “นั่งเลยน้องน้ำหวาน ป้าทำไว้เยอะเลย กลัวไม่พอ” “ขอบคุณมากนะคะ” ฉันตอบกลับอย่างเกรงใจ พลางนั่งลงตรงที่ว่างข้างหมอก หมอกนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา ขณะตักข้าวใส่จานตัวเองอย่างเชื่องช้า “หมอก ตักให้น้องหน่อยสิลูก” แม่หันไปบอกลูกชายพลางปรายตามาทางฉันด้วยรอยยิ้มบาง หมอกเหลือบมองฉันเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจแล้วคว้าทัพพีมาตักต้มยำใส่จานฉัน “กินเยอะๆ จะได้ไม่ผอมเหมือนไม้เสียบผี” “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มฝืดๆ หัวเราะแห้ง ก่อนหันไปสบตาป้าสุที่หลุดหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของลูกชาย “อยู่กับหมอกต้องทำใจหน่อยนะลูก มันปากหมามาตั้งแต่เด็ก” ป้าสุพูดติดตลกพลางตักไข่เจียวใส่จานฉันด้วยมือเอง “หวานไม่ถือหรอกค่ะ นิสัยพี่หมอกน่ารักดีออก” ฉันพูดติดเล่น แกล้งหันไปยิ้มยียวนให้หมอก “นี่ป้ามีขนมเค้กอีกนะ ป้าลองหัดทำเอง น้องน้ำหวานช่วยชิมให้ป้าหน่อยนะ” ป้าสุ แม่ของพี่หมอกพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่นขณะเดินถือจานเค้กออกมาจากครัว “ได้ค่ะป้า” ฉันยิ้มกว้าง ตอบรับอย่างเต็มใจ ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเนื้อเค้กนุ่มๆ ที่ดูชุ่มฉ่ำและหอมกลิ่นวานิลลาเบาๆ ป้าสุวางจานเค้กลงตรงหน้าฉันอย่างทะนุถนอม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง “ป้าลองทำสูตรใหม่น่ะลูก ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ไหม” ฉันยิ้มกว้าง ใช้ช้อนตักเค้กคำเล็กๆ เตรียมจะเอาเข้าปากด้วยความตื่นเต้น แต่ยังไม่ทันที่ช้อนจะสัมผัสริมฝีปาก มือหนึ่งก็คว้าเข้าที่ข้อมือฉันไว้แน่น ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตาดุๆ ของพี่หมอก “ลืมไปแล้วหรือไง ว่าตัวเองแพ้ถั่ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด ฉันชะงักทันที ก่อนจะเบิกตากว้างนิดๆ อย่างนึกขึ้นได้ “อ้าว ตายจริง! ป้าลืมไปเลยว่าน้องน้ำหวานแพ้ถั่ว” ป้าสุร้องเสียงหลง พร้อมรีบยกจานเค้กออกไปแทบไม่ทัน “โอ๊ย…ถ้าหนูเผลอกินเข้าไปแล้วแพ้ขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง ป้าคงรู้สึกผิดแย่เลยลูก ไม่ต้องกินแล้วนะลูกนะ เดี๋ยวป้าทำอย่างอื่นให้!” “ไม่เป็นไรค่ะป้า หวานเองก็ลืมไปเลยเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะคะ” ฉันรีบยิ้มให้ป้าสุอย่างเกรงใจ ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่ยังจ้องอยู่ไม่วางตา “ขอบคุณนะคะพี่หมอก” ฉันพูดเสียงเบา เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะปล่อยข้อมือฉันช้าๆ “คราวหน้าอย่าลืมอีก จำไม่ได้เหรอว่าครั้งก่อนเป็นยังไง” ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วเม้มปากนิดๆ อย่างรู้สึกผิด แม้จะพูดจาไม่ค่อยดีเท่าไหร่…แต่สายตาคู่นั้นมันก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนฉันเผลอยิ้มออกมา ——— ครั้งก่อนที่พี่หมอกว่า…อ๋อ เรื่องมันเป็นแบบนี้ ตอนเด็กๆ ฉันมักจะมาอยู่ที่บ้านของพี่หมอกบ่อยๆ เพราะแม่ของฉันต้องไปทำงานนอกบ้านเป็นประจำ ส่วนแม่ของพี่หมอกหรือป้าสุก็ใจดีมาก ชอบให้ฉันมาอยู่เล่นด้วยเหมือนลูกอีกคน ตอนนั้นฉันน่าจะสักหกขวบ ส่วนพี่หมอกก็คงแปดหรือเก้าขวบได้ “พี่หมอก ทำอะไรอยู่คะ วันนี้น้ำหวานเอาบาร์บี้มาให้พี่เลือกด้วย” ฉันวิ่งเข้าหาเขาพร้อมตุ๊กตาในมืออย่างตื่นเต้น พี่หมอกที่นั่งง่วนอยู่กับต่อเลโก้เงยหน้าขึ้นมามองฉันนิดหน่อยก่อนจะตอบเสียงนิ่งๆ ตามสไตล์ “เล่นแต่บาร์บี้ไม่เบื่อหรือไง” “ไม่เบื่อค่ะ ก็มีพี่หมอกเล่นด้วยนี่นา จะเบื่อได้ยังไง” เขานิ่งไปนิด ก่อนจะวางตัวต่อไว้แล้วลุกขึ้น “อืม…เดี๋ยวพี่มาเล่นด้วย พี่ไปเอาขนมมาให้ก่อน” “โห้ พี่หมอกใจดีจัง มีขนมให้กินทุกวันเลย” ฉันจำได้แม่น วันนั้นเขาเอาคุกกี้มาให้ คุกกี้ที่ฉันกินไปไม่กี่คำก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้วก็หมดสติไปเลย ตื่นมาอีกทีอยู่โรงพยาบาล แม่ร้องไห้ ป้าสุก็หน้าซีด ส่วนพี่หมอกนั่งหน้ามุ่ยอยู่ปลายเตียง ไม่พูดอะไรเลย ตอนนั้นถึงจะเด็ก แต่ฉันก็ยังพอจำได้ว่าคุกกี้มีถั่ว ซึ่งฉันดันแพ้แบบรุนแรง หลังจากนั้นพี่หมอกก็ไม่เคยเอาขนมอะไรให้ฉันกินอีกเลย… แถมยังตีตัวออกห่างกับฉันอีกด้วย ——— “โธ่เอ๊ย ป้าลืมไปเลยว่าหนูแพ้ถั่ว ดีที่หมอกมันจำได้นะลูก” ป้าสุพูดพลางเอื้อมมือมาหยิบจานเค้กออกไปจากตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ไม่เป็นไรค่ะป้า หวานก็ลืมเหมือนกัน” น้ำหวานยิ้มแหยๆ มองไปทางหมอกที่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาดุๆ ยังไม่จาง “จำไว้หน่อยก็ยังดี จะได้ไม่ต้องเสี่ยงอีก” เสียงทุ้มต่ำของหมอกดังขึ้นในจังหวะที่น้ำหวานเผลอเบะปากใส่เล็กๆ อย่างหมั่นไส้ แต่คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะกลับสังเกตทุกอย่างเงียบๆ ป้าสุมองภาพตรงหน้าแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ หมอกที่ดูจะเย็นชากับคนทั้งโลก แต่กลับใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ได้ขนาดนั้น “ไม่เคยจำอะไรได้หรอก นอกจากเรื่องของหนูน้ำหวาน” ป้าสุพึมพำเบาๆ กับตัวเองอย่างเอ็นดูพลางลุกไปหาของหวานใหม่ให้ สายตาที่หมอกแอบมองน้ำหวานตอนที่เธอกำลังเขี่ยเค้กออกจากจาน สีหน้าของน้ำหวานเวลาที่แกล้งทำไม่สนใจแต่ก็ยังยิ้ม และบรรยากาศบางๆ ที่ลอยฟุ้งรอบโต๊ะอาหาร มันไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กสองคนที่เคยเล่นบาร์บี้ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว… ——— หลังจากมื้ออาหารจบลง น้ำหวานก็ขอตัวกลับบ้านพักของตัวเอง ป้าสุเดินเก็บจานเก็บช้อนเข้าครัวอย่างสบายอารมณ์ ส่วนหมอกก็กำลังจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองเช่นกัน แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูครัว เสียงแม่เจ้ากรรมก็ดังขึ้นเสียก่อน “หมอก” เขาหยุดเดิน หันกลับมามองแม่ที่ยืนกอดอกยิ้มมีเลศนัยอยู่ข้างซิงก์ล้างจาน “อะไรแม่?” “แม่ว่า…เราเนี่ย จำเรื่องของน้องน้ำหวานได้ดีจังเลยนะ แพ้ถั่วก็ยังจำได้ด้วย” หมอกถอนหายใจ “ก็เคยเห็นตอนเขาแพ้หนักๆ จะให้ลืมได้ยังไง” “อืมมมม…” ป้าสุพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเหมือนจะเชื่อแต่ก็ไม่ทั้งหมด “แล้วจำได้แค่เรื่องแพ้ถั่วใช่มั้ยล่ะ?” เสียงนั้นเริ่มติดจะหยอกล้อ “แม่…” หมอกลากเสียงยาว น้ำเสียงเหมือนจะเตือน แต่คนเป็นแม่ไม่มีท่าทีจะหยุด “แม่ก็แค่พูดเฉยๆ น่ะลูก ไม่ได้จะอะไรหรอก แค่คิดว่า…ถ้าน้องน้ำหวานได้มาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ก็คงดี” เธอพูดพลางยิ้มตาหยี มือก็ล้างจานไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้พูดอะไรพิเศษ หมอกเลิกคิ้วเล็กน้อย “แม่เพ้อเจ้ออีกแล้ว” “เอ้า ก็แม่ชอบน่ะ น้องน้ำหวาน น่ารัก อ่อนโยน เรียบร้อย ดูแลตัวเองก็เป็น…แถมยังเข้ากับแม่ได้ดีด้วย” น้ำเสียงเธอแฝงด้วยความหวังเล็กๆ “แม่แค่พูดไว้เฉยๆ นะ ไม่ได้เร่งอะไรเลย…ก็แค่คิดว่า ถ้าเราชอบเขาจริงๆ จะรอให้เขาไปเป็นของคนอื่นก่อนหรือไง?” หมอกไม่ตอบอะไร นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกจากครัวเงียบๆ แต่ป้าสุยิ้มกว้างอยู่คนเดียว “ทำเป็นนิ่ง แต่หน้าแดงนะลูกเอ๊ย…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม