เช้าวันต่อมา…
ฉันยังคงไม่แน่ใจว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นความจริง หรือแค่ภาพหลอนจากหม้อชาบูร้อน ๆ กันแน่ คำพูดของพี่หมอกยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด ราวกับเทปที่ถูกกรอซ้ำอยู่ตรงประโยคเดิม
“รู้ว่าไม่ชอบแตงกวาในข้าวผัด”
“ถ้าหน้าเริ่มแดง แปลว่าเริ่มเขินแล้ว”
ให้ตายสิ… ใครจะไม่เขินกับคำพูดแบบนั้นบ้างล่ะ?
“น้ำหวาน! จะไปมหาลัยมั้ยลูก จะสายแล้วนะ!”
เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่างดังลั่นจนทำฉันหลุดจากภวังค์ในทันที
ฉันรีบลุกพรวดขึ้นจากเตียง มองนาฬิกาที่หัวเตียงด้วยหัวใจหล่นวูบ
7:45 น.
โอ๊ย! จะสายแล้ว!
ฉันพุ่งเข้าห้องน้ำแทบจะทันที แปรงฟัน ล้างหน้า หวีผม จับทุกอย่างใส่กระเป๋าแบบรวบรัดในเวลาไม่ถึงห้านาที
ใครบอกว่าคนกำลังเขินจะไม่วอกแวก… ฉันขอเถียงขาดใจ
ฉันรีบวิ่งลงบันไดแทบจะกลิ้ง กลั้นหายใจจนถึงชั้นล่างก็เจอแม่ยืนอยู่ที่ห้องครัว
“อ้าว กินข้าวก่อนไหมลูก?” แม่เงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยเหมือนทุกเช้า
“ไม่ทันแล้วแม่! หวานไปก่อนนะคะ สายแล้ว!”
ฉันรีบตอบก่อนจะพุ่งตัวไปทางประตูโดยไม่รอให้แม่พูดอะไรต่อ
“ยัยลูกคนนี้นิ…” เสียงแม่บ่นตามหลังมาเบา ๆ แต่ฉันไม่มีเวลาจะย้อนกลับไปฟังแล้ว
ทันทีที่ก้าวพ้นประตูบ้าน ฉันก็ต้องเร่งฝีเท้าแทบจะในทันที ระยะทางจากบ้านไปปากซอยอาจไม่ไกลนัก แต่ในจังหวะเสี่ยงจะเข้าคาบสายนี่…
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งสี่คูณร้อยสถานเดียว!
———
ฉันวิ่งสุดแรงเกิด หอบจนแทบขาดใจ หวังแค่ว่าจะโบกรถวินหรือโผล่ขึ้นรถเมย์ทันเวลาก่อนจะโดนอาจารย์เช็กชื่อขีดฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
แต่เหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง…
เสียงแตรรถดังเบา ๆ จากทางด้านหลัง ก่อนที่รถยนต์สีดำสนิทคันคุ้นตาจะค่อย ๆ ชะลอจอดข้างฉัน กระจกรถลดลงเผยให้เห็นใบหน้าของคนขับที่ฉันจำได้ขึ้นใจ
“จะวิ่งแข่งกับเวลาเหรอ?” พี่หมอกถามด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แต่แววตาเหมือนกำลังกลั้นยิ้ม
ฉันยืนหอบแฮ่ก พิงเข่าตัวเองนิด ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเขา
“ก็…สายแล้วนี่คะ”
“ขึ้นรถ” เขาพูดเรียบ ๆ แต่เป็นคำสั่งที่ชัดเจนพอจะทำให้ฉันยืนอึ้งอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง
“เอ่อ… ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหวานไปเองก็ได้”
“อย่าดื้อ”
เขาพูดพร้อมดึงเบรกมือแรง ๆ จนรถกระตุกเบา ๆ ราวกับจะย้ำคำพูด
ฉันลังเลแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะรีบเปิดประตูขึ้นรถอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าปฏิเสธมากกว่านี้ ฉันอาจจะไปสายจนอดเข้าเรียนจริง ๆ
รถเคลื่อนตัวออกไปจากซอยอย่างนุ่มนวล ภายในรถเงียบกว่าที่คิด… ฉันนั่งเกร็งไปทั้งตัว ขณะที่เขายังคงขับไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
ฉันเลยตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดก่อน เพื่อคลายความอึดอัดในใจ
“ขอบคุณนะคะ ที่แวะรับ”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะผ่าน… ตั้งใจมารับ”
ฉันหันไปมองเขาโดยอัตโนมัติ แต่เขากลับยังคงมองถนนตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ให้ตายสิ… จะพูดอะไรให้นิ่งแต่น่าตกใจได้ตลอดเลยใช่ไหมพี่คนนี้
“อ๋อ…” ฉันตอบอะไรไม่ออกเลยนอกจากเสียงเบา ๆ ในลำคอ แล้วหันไปมองกระจกข้างรถแทน ก่อนที่แก้มจะแดงขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
รถยนต์คันหรูขับมาถึงหน้าคณะในเวลาไม่นานนัก พี่หมอกจอดรถตรงจุดที่ไม่ไกลจากอาคารเรียนมากนัก ก่อนจะดับเครื่องอย่างใจเย็น
ฉันรีบปลดเข็มขัดนิรภัย เตรียมเปิดประตู แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นก่อน
“วันนี้รีบเข้ารับน้อง”
ฉันชะงัก หันไปมองเขางง ๆ
“รับน้องเหรอคะ?”
“อืม… กลุ่มพี่ปีสามนัดรวมก่อนเริ่มกิจกรรมจริง มีเกม มีจับสายรหัส”
เขาพูดพลางเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองที่เบาะหลังโดยไม่หันมามองฉัน
จับสายรหัส…? แค่ได้ยินก็รู้สึกเสียวสันหลังแล้ว
“อ๋อ…ค่ะ ขอบคุณนะคะที่บอก แล้วก็ที่มาส่งด้วย” ฉันพูดเสียงเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตู
แต่ก่อนที่เท้าจะก้าวออกจากรถ เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ”
ฉันหันกลับไปมองทันที คราวนี้เขามองมาทางฉันแล้ว ดวงตานิ่ง ๆ คู่นั้นยังคงจ้องมาเหมือนเดิม แต่กลับทำให้ใจฉันเต้นแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“คะ…”
“ถ้าหิวตอนรับน้องจะไม่มีแรง”
เขาวางมือลงบนพวงมาลัย สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่แววตานั้น…มันอ่อนลงเล็กน้อย
ฉันรีบพยักหน้ารัว ๆ อย่างคนไม่รู้จะตอบอะไรดี
“หวานไปก่อนนะคะ!”
แล้วฉันก็รีบก้าวออกจากรถ ปิดประตูแบบเบามือที่สุด ก่อนจะวิ่งปรู๊ดเข้าอาคารเรียนทั้งที่หัวใจกำลังเต้นโครมครามอยู่ในอก
ให้ตาย… แค่เช้าก็เหมือนโดนตกไปครึ่งวันแล้ว…
———
ฉันรีบวิ่งเข้ามาในตัวตึกอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัวใจยังเต้นแรงจากทั้งการวิ่งและ…ประโยคสุดท้ายของพี่หมอก
“อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ”
โอ๊ย…จะนิ่งไปไหนเนี่ยผู้ชายคนนี้!
พอเลี้ยวถึงหน้าห้องเรียน ฉันก็สูดหายใจลึก ๆ เตรียมโหมดล่องหนสุดชีวิต ก่อนจะค่อย ๆ แง้มประตูเข้าไปช้า ๆ
เสียงอาจารย์หน้าห้องกำลังพูดอยู่
“ก่อนเริ่มเรียน วันนี้เราจะเช็กชื่อกันก่อนนะคะ…”
ชิบแล้ว!
ฉันรีบย่องเข้าไปทางด้านหลังห้องอย่างเงียบที่สุด พยายามไม่ให้ใครสังเกต แม้แต่เสียงรองเท้าก็พยายามไม่ให้กระทบพื้นดังเกินไป
“น้ำหวาน!”
เสียงกระซิบแหลม ๆ ดังขึ้นจากด้านขวา ทำฉันสะดุ้งสุดตัว ฉันหันไปเห็น แจม เพื่อนสาวสุดแสบทำหน้าตาเหมือนกำลังจับได้คาหนังคาเขา
“ทำไมพึ่งมาเนี่ย? เกือบไม่ทันเช็กชื่อแล้วนะ” แจมถามทันทีที่ฉันนั่งลง
“นึกว่ามึงจะไม่มาแล้วซะอีก” แบมแบมกระซิบต่อพร้อมยกคิ้วสูง
“ตื่นสายหรอ?” นุ่นเอียงคอถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอยากรู้
ฉันอ้าปากจะตอบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เมย์ก็รีบสะกิดแขนแล้วกระซิบเบา ๆ
“เดี๋ยวค่อยเล่า อาจารย์มองอยู่”
ฉันรีบหุบปากทันที ก่อนจะปรายตามองไปข้างหน้า…แล้วก็จริง อาจารย์กำลังไล่สายตามาทางแถวฉันพอดี! ฉันรีบก้มหน้าเปิดสมุดทำทีว่ากำลังตั้งใจ
แต่ในใจนี่…พะวงไปหมด ไม่รู้ว่าจะรับมือกับคำถามรัว ๆ ของเพื่อนหลังเลิกเรียนยังไงดี
โดยเฉพาะกับเรื่อง…รถพี่หมอก
โอ๊ย บ้าเอ๊ย!
ตึ่ง!!!!
เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นกลางความเงียบในห้องเรียน ฉันสะดุ้งเฮือก รีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็กอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเนียนได้
[หมoก : เข้าเรียนทันไหม?]
เฮือก… ฉันกะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าจอเหมือนคนโดนของ เขาส่งข้อความมาถาม…ตอนนี้? อยากรู้ด้วยเหรอว่าเราจะเข้าทันหรือไม่ทัน? หรือว่า…
ฉันกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ ก่อนจะแอบพิมพ์ตอบกลับอย่างไวใต้โต๊ะ
[หวาน : ทันค่ะ เกือบไปแล้ว ขอบคุณที่มาส่งนะคะ]
พอกดส่งเสร็จ ฉันก็รีบล็อกหน้าจอไว้เหมือนกลัวใครจะมาแอบเห็น หัวใจยังเต้นแรงไม่เลิกเลยเนี่ย…
“ยิ้มอะไร?”
เสียงกระซิบจากแจมที่นั่งข้าง ๆ ดังขึ้นเบา ๆ พร้อมสายตาจับผิดแบบสุดชีวิต
“เปล๊า~” ฉันรีบปฏิเสธทั้งที่หน้าเริ่มร้อนขึ้นมาจริง ๆ แล้ว โอ๊ย… ไม่ให้รู้ตอนนี้เด็ดขาด ไม่งั้นโดนแซวจนจบวันแน่!
[ หมoก : อืม ตั้งใจเรียนละ ]
ฉันมองข้อความนั้นแล้วหัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาเฉย ๆ ก็แค่คำสั้น ๆ …แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงรู้สึกอบอุ่นขนาดนี้
ฉันเม้มปากกลั้นยิ้ม หัวใจพองฟูอยู่ใต้โต๊ะเรียน มือรีบพิมพ์ตอบกลับไปแบบเนียน ๆ
[หวาน : ค่ะ ^^]
ทันใดนั้น
“น้ำหวาน” เสียงของอาจารย์ดังขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจแค่เรียกชื่อ แต่ฉันสะดุ้งเหมือนโดนฟาด
“ค่ะ!” ฉันรีบเงยหน้าตอบเสียงดัง ทำเอาทั้งห้องหันมามอง ใบหน้าร้อนวูบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ตอบคำถามข้อนี้ได้ไหม?” อาจารย์ชี้ไปที่โจทย์บนจอโปรเจคเตอร์
โอ๊ย…ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ! เพราะตอนนี้ในหัวฉันมีแต่ข้อความของพี่หมอกลอยวนอยู่เต็มไปหมดเลย!
ฉันกลืนน้ำลายเบา ๆ แล้วพยายามจ้องกระดานเหมือนเข้าใจ แต่ในใจนี่ตีกันยุ่งหมดแล้ว
“ข้อสาม…เอ่อ…” ฉันอ้ำอึ้ง พยายามประวิงเวลา
“แปรผลโดยใช้สูตรพีแวลู…เข้าใจใช่ไหม?” อาจารย์ถามย้ำ
จังหวะนั้นเอง แจมที่นั่งข้าง ๆ ก็โน้มตัวมากระซิบเร็ว ๆ
“ตอบว่า ใช้ T-test กับกลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยใกล้กัน แล้วแปรผลด้วยค่า P-value ไปเลย เร็ว!”
ฉันหันไปมองแจมแบบจะร้องไห้ ขอบคุณในใจรัว ๆ แล้วหันกลับมาตอบทันที
“ค่ะ ใช้ T-test เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย แล้วแปรผลด้วยค่า P-value ค่ะ!”
อาจารณ์พยักหน้าเล็กน้อย “ดีค่ะ…คราวหน้าขอให้มั่นใจมากกว่านี้นะ”
ฉันถอนหายใจเฮือกโล่งอก ก่อนจะหันไปกระซิบขอบใจแจมเบา ๆ “รักมึงเลย แจม ขอบคุณ!”
———
คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคไฟฟ้า
“ทำเหี้ยไรวะ อ่ะๆ พิมพ์แชตหาใครวะ?” เจเจยื่นหน้าเข้ามาแซว พลางชะโงกดูหน้าจอมือถือของหมอก
หมอกพลิกหน้าจอทันที ก่อนตอบเสียงเรียบ “เรื่องของกู”
“โอ้โห หน้าตึงเชียวนะมึง” แทนไทที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แกล้งเสริมอีกดอก
“ช่วงนี้น้ำตาลตกหรือไง ขาดน้ำหวานเลยหงุดหงิด?”
หมอกหรี่ตามองนิ่ง ๆ แล้วตอบสั้น “ไร้สาระ”
“แหม…เงียบไปแบบนี้คือมีคนในใจชัวร์” เจเจไม่หยุดแซว
“โอ้ยยย สงสัยคนแถวนี้จะมี ฟ แ น แฟน ” แทนไทยักคิ้วล้อ
หมอกถอนหายใจยาว ก่อนโยนคำเดียว “ปัญญาอ่อน”
แต่เพื่อนทั้งกลุ่มก็หัวเราะลั่น เพราะถึงจะปากแข็งยังไง… สีหน้าหมอกตอนอ่านข้อความเมื่อกี้มันฟ้องหมดแล้วว่า “คนที่พิมพ์หา” นั้น…สำคัญขนาดไหน
ขณะที่กลุ่มเพื่อนกำลังแซวหมอกกันอยู่นั้น ไทเกอร์เดินเข้ามาพร้อมกับ “กองทัพ” ที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่
“ไงมึง ไอกอง หายหัวไปเลยนะช่วงนี้” หมอกเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนสนิท
“อืม… มีปัญหานิดหน่อยวะ ช่วงนี้เลยต้องช่วยงานที่บริษัทแทนพ่อ” กองทัพตอบ พลางทิ้งตัวนั่งลงข้างหมอก
“แล้วเป็นไงล่ะ ดีขึ้นยัง?” ไทเกอร์ถามต่อ
“ก็ดีขึ้นละ ช่วงนี้มาเรียนได้ปกติแล้ว งานที่เหลือเดี๋ยวให้เลขาจัดการต่อ” กองทัพพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคนก็พอเดาได้ว่าช่วงที่ผ่านมาหนักไม่ใช่น้อย
“กูนึกว่ามึงจะดรอปเรียนไปแล้วซะอีก เห็นเงียบฉิบหาย ฮ่า ๆ” เจเจแซวตามสไตล์
กองทัพปรายตามอง แล้วสวนทันทีแบบไม่ต้องคิด
“ใครจะว่างไปตีกะหรี่เหมือนมึงวะ”
ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนทันที
โดยเฉพาะหมอกที่ถึงกับหลุดยิ้ม เพราะปากหนักแบบกองทัพ ไม่ค่อยด่าใครเล่น ๆ ถ้าไม่สนิทจริง
“แสบจริงไอ้กอง” แทนไทส่ายหน้าขำ ๆ พลางตบไหล่เพื่อนเบา ๆ
“กลับมาแล้วโว้ย เพื่อนเรา!”
———
ลานใต้ตึกวิศวะยามเที่ยง
แสงแดดส่องลอดต้นไม้ใหญ่ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มนักศึกษาดังเป็นระยะ แต่จุดที่เงียบและโดดเด่นที่สุดกลับเป็นโต๊ะหินอ่อนมุมหนึ่ง ที่มักถูกยึดครองโดยแก๊งหนุ่มภาคไฟฟ้า
หมอกนั่งพิงพนักด้วยท่าทีนิ่งขรึม ดวงตากำลังไถมือถือเหมือนไม่สนใจโลก
เจเจนั่งไขว่ห้างข้างโต๊ะ หัวเราะกับคลิปในโทรศัพท์พร้อมโยนมุกทะลึ่ง
แทนไทเคี้ยวหมากฝรั่งพลางควงปากกาหมุนไปมา
ไทเกอร์ยกน้ำกระทิงแดงขึ้นดื่มในจังหวะเดียวกับที่กองทัพวางแฟ้มหนาเตอะลงบนโต๊ะเสียงดังปึ้ง
“มึงพกแฟ้มมาเรียนหรือจะไปประชุมสภาวะเศรษฐกิจวะ” เจเจแซว
“ไม่ว่างไง เลขากูมึงจะไม่ให้เขาพักเลยหรือใง” กองทัพตอบเสียงเรียบ แต่เพื่อนๆ ก็ขำกันลั่น
ระหว่างที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความหยอกล้อ เสียงฝีเท้าของกลุ่มนักศึกษาหญิงสองสามคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
“นั่นไง แก๊งพี่หมอก… แค่เดินผ่านก็ขนลุกแล้วว่ะ”
“พี่หมอกหล่อเกินคน หน้าหล่อ นิ่ง ๆ ยิ่งโคตรเท่”
“ฉันเห็นเขาอยู่กับเด็กปีหนึ่งเมื่อเช้าอ่ะ… ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ชื่ออะไรนะ… น้ำอะไรสักอย่าง”
“น้ำหวานไง แอบเห็นขึ้นรถพี่หมอกไปเลยนะเว้ย แกคิดดู!”
เสียงซุบซิบเบาลงเมื่อพวกเธอเดินผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบชั่วครู่
เจเจเลิกคิ้วมองหมอก “…ได้ข่าวมีเด็กปีหนึ่งติดรถเหรอพ่อคนฮอต?”
“เรื่องของกู” หมอกตอบเรียบ ๆ โดยไม่ละสายตาจากมือถือ
แทนไทหัวเราะในลำคอ “เหรอออ… กูว่ามึงเริ่มมีจุดอ่อนแล้วแหละไอหมอก”
กองทัพพยักหน้าช้า ๆ “น้ำหวาน… เด็กภาคคอมฯ ใช่ปะ?”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะกับบทสนทนาเร่งเร้าของกลุ่มผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นปีเดียวกันจากภาคโยธา เดินผ่านมาในระยะไม่ไกล
“เฮ้ยพวกมึง เมื่อเช้าเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวๆ ตัวเล็กๆ เดินเข้าตึกวิศวะภาคคอมปะ?”
“น้ำหวานปะ? เด็กปีหนึ่ง น่ารักฉิบหาย!”
“ใช่ๆ คนนี้แหละ ใครได้แม่งคือโคตรโชคดีเลย หน้าตาแบบสเปคกูชัดๆ”
“กูว่าจะลองทักไอจีดูว่ะ เผื่อได้ไปกินข้าวด้วยกัน”
“แต่อย่างน้องน้ำหวานเนี่ย ท่าทางน่าจะมีแฟนแล้วปะวะ?”
เสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มนั้นดังแว่ว ก่อนจะค่อย ๆ เดินผ่านพ้นไป
แก๊งหมอกนิ่งไปชั่วครู่
เจเจยกคิ้วพลางหันมามองหมอก “อื้มม… เริ่มมีคู่แข่งละนะ”
หมอกไม่ได้ตอบอะไรทันที แค่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์วางลงบนโต๊ะ แล้วขยับตัวขึ้นเล็กน้อย เงียบ… แต่มุมปากกลับกระตุกนิด ๆ อย่างคนที่เริ่มไม่ชอบใจ
แทนไทแสยะยิ้ม “มึงหวงละดิ”
“เปล่า”
“แต่ไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงเขาแบบนั้น… ใช่ปะ?” ไทเกอร์เติมให้ พร้อมยกกระป๋องน้ำกระทิงแดงขึ้นกระดก
หมอกไม่ได้ตอบ แต่กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ส่งไปหาใครบางคน
[หมoก : พักเที่ยงกินข้าวกับฉัน]