เช้าวันรุ่งขึ้นที่คอนโดหรูของนายแบบหนุ่มนามว่า เสือ กรชวัล
“ช่วยด้วย.. ช่วยผมด้วย.. อย่าเข้ามานะ!...”
ผมสะดุ้งตื่นจากการหลับไหลในทันที เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ก่อนที่ผมจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คอนโดเพียงคนเดียวแล้ว
“ปีโป้!”
ผมอุทานเรียกชื่อนั้นลั่นห้องแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปเปิดประตูออกไปเข้าห้องนอนตรงข้ามผมอย่างรวดเร็ว
“ช่วยด้วยช่วยปีโป้ด้วย.. ช่วยด้วย..”
ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าช่างเป็นภาพที่น่าสงสารมากสำหรับคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่คงยังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง นอนดิ้นทุรนทุรายยกมือขึ้นปัดป้องไปมาไม่หยุด ทั้งยังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา ใบหน้าแดงก่ำน้ำตารินไหลเปียกหมอนชุ่ม ทันทีที่ผมเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปปลุกให้เขาได้สติ
“ปีโป้.. ปีโป้ไม่เป็นอะไรแล้วนะ..”
แต่ผมต้องตกใจมากขึ้นเมื่อทันทีที่ผมจะไปที่ต้นแขนเพื่อที่จะเขย่าร่างของเขา ผมแทบจะดึงมือกลับไม่ทันเพราะตอนนี้ร่างกายของเขาร้อนเป็นไฟอย่างไรอย่างนั้น ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้ แต่ต้องพยายามปลุกเขาให้ฟื้นได้สติเสียก่อน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้สติขึ้นมาสักที ผมจึงตัดสินใจรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถยนต์กลับเข้ามาภายในห้องนอนของเขาแล้วอุ้มปีโป้ออกมาจากคอนโดไปขึ้นรถยนต์ที่ลานจอดรถ เพื่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้ทันก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนใหม่ของผมไปมากกว่านี้
ลานจอดรถใต้คอนโดนายแบบหนุ่ม
ผมร้องเรียกชื่อเขาตลอดทางกว่าจะอุ้มเขามาถึงรถยนต์ส่วนตัวเป็นผลสำเร็จ โชคดีที่มีรปภอยู่แถวนั้นพอดีพี่เขาจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยผมเปิดประตูรถยนต์แล้วช่วยเคลียร์เส้นทางบริเวณหน้าคอนโดให้
“ขอบคุณพี่มากนะครับ”
ผมรีบยกมือขอบคุณพี่รปภใจดี
“ด้วยความยินดีครับคุณเสือ โรงพยาบาลอยู่ทางซ้ายมือนะครับอีกประมาณ 500 เมตร ขอให้เพื่อนคุณเสือปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณอีกครั้งครับพี่”
ผมยกมือขอบคุณพี่รปภอีกครั้งก่อนที่เขาจะรับไหว้ผมแล้วเดินกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ
ในใจผมเองตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาลอะไรแต่เมื่อครู่นี้พี่รปภบอกว่ามีโรงพยาบาลอยู่ทางซ้ายมืออีก 500 เมตร ผมโคตรดีใจเลยครับที่จะได้พาปีโป้ไปหาหมอให้เร็วที่สุด
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“คุณหมอช่วยเพื่อนผมด้วยครับ”
ทันทีที่ผมจอดรถด้านหน้าห้องฉุกเฉินก็รีบลงจากรถแล้วตะโกนให้เจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วย โดยทางเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินเองก็ต่างพากันเข็นเตียงผู้ป่วยออกมา ระหว่างที่ผมรีบวิ่งมาเปิดประตูฝั่งตรงข้ามด้านคนขับเพื่ออุ้มปีโป้เตรียมนำขึ้นเปลที่เจ้าหน้าที่เข็นมารับ
“คนไข้เป็นอะไรมาคะ”
“เหมือนจะเป็นไข้อ่ะครับตัวร้อนจี๋เลย”
“อ๋อค่ะ แล้วคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”
“ผมเป็นเพื่อนเขาครับ ยังไงผมฝากดูแลเพื่อนผมด้วยนะครับอย่าให้เพื่อนผมเป็นอะไรไปนะครับคุณหมอ”
“ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ หมอจะพยายามช่วยให้สุดความสามารถค่ะ”
ผมเป็นห่วงปีโป้ขึ้นมาจับใจ ระหว่างทางนั้นคุณหมอก็ถามถึงอาการจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน
“ญาติคนไข้รอด้านนอกนะคะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพยาบาลสาวประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกปิดลง แต่ผมก็ยังคงเป็นห่วงคนด้านในอยู่ตลอด จากอาการที่พบเห็นผมน่าจะเดาสถานการณ์ได้ว่าปีโป้พี่เป็นแบบนี้คงจะเกิดจากการถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้ ไอ้คนที่ทำมันต้องมีจิตใจยังไงถึงได้ทำกับคนตัวเล็กๆ อย่างเพื่อนของผมได้
ผมเริ่มอยู่ไม่สุขเดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลรวมถึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ว่าหากอาการของปีโป้ไม่ดีขึ้นผมควรจะทำยังไงต่อไป ระหว่างนั้นก็มีกลุ่มคนชุดกราวหลายคนต่างพากันวิ่งมาทางห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวลกว่าผมมาก ส่วนผมเองก็พลอยตกใจไปด้วยก่อนจะเรียกผู้หญิงในชุดกราวท่านหนึ่งเพื่อสอบถาม
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับคุณหมอ”
“เห็นทางหมอด้านในห้องฉุกเฉินบอกว่า อาการคนไข้อยู่ในขั้นโคม่าค่ะ คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่ไหมคะ”
ผมได้ยินอย่างนั้นรู้สึกตกใจสุดขีด สมองแบลงค์ขาวโพลนราวกับว่าไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
“คุณคะ.. คุณ!”
“ครับ!”
“เมื่อกี้หมอถามว่าคุณเป็นญาติของคนไข้ใช่หรือเปล่าคะ”
“ครับ ผมเป็นเพื่อนเขาเองครับ ยังไงผมขอฝากเพื่อนผมด้วยนะครับคุณหมอ”
“ใจเย็นๆ นะคะพอจะทำให้ดีที่สุดค่ะ จะพยายามช่วยชีวิตเขาให้ได้ค่ะ คุณไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
ทันทีที่คุณหมอรับไหว้จากผมก็รีบวิ่งเข้าห้องฉุกเฉินไป
(นายอย่าเป็นอะไรไปนะปีโป้ เสือจะไม่ยอมให้ปีโป้เป็นอะไรไปเด็ดขาด เพระนายเป็นเพื่อนของเสือแล้ว นายจะเป็นอะไรไปไม่ได้) ผมพร่ำพูดกับตัวเองในใจเพื่อหวังว่าให้ปีโป้ปลอดภัยจากอาการที่เป็นอยู่
“เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ”
“สวัสดีครับย่า”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนลูก ทำไมไม่กลับบ้าน แล้วเจอพี่สิงห์หรือยัง”
ความรู้สึกเป็นกังวลกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อพี่สิงห์ พี่ชายของผม
“เสือต้องขอโทษย่ากับพ่อแม่ด้วยนะครับที่เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้าน ตอนนี้ผมยังไม่เจอพี่สิงห์เลยครับ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่โทรมาบอกทางบ้านบ้างล่ะลูก รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงหลานทั้งสองคนมากแค่ไหน แล้วตอนนี้เสืออยู่ไหนลูกย่ากับพ่อแม่จะไปหา”
ที่นี้ผมจะบอกย่าว่ายังไงดี กว่าที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลยไม่ได้โทรไปบอกที่บ้านว่ายังไม่ได้เจอพี่สิงห์เป็นเพราะว่าผมจะช่วยชีวิตคนๆหนึ่งแล้วต้องดูแลเขาตลอดทั้งคืน ซ้ำยังพาเขามาโรงพยาบาลอีก
“ว่ายังไงเสือ ตอนนี้หลานอยู่ที่ไหน”
“เสืออยู่โรงพยาบาลครับ แต่ย่าไม่ต้องเป็นห่วงเสือนะครับ พอดีเสือแวะช่วยคนเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเลยพาเขามาโรงพยาบาลครับ เเดี๋ยวบ่ายๆเสือจะเข้าที่บ้านนะครับย่า”
“พูดแบบนี้ตั้งแต่ทีแรกก็จบเรื่อง ดีแล้วลูกเกิดเป็นคนต้องรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าใกล้จะกลับมาตอนไหนก็โทรมาบอกย่านะลูก ย่าจะได้เตรียมกับข้าวไว้รอเสือมากิน”
“ครับย่า เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับเหมือนคุณหมอจะออกมาแล้ว”
ผมรีบตัดบทเพื่อย่าสบายใจและไม่สงสัยผมไปมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
หลังจากที่ผมวางสายที่ย่าโทรมาก็เป็นจังหวะที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินเข็นเตียงรถเข็นออกมา ซึ่งมีเพื่อนใหม่ของผมนอนอยู่บนนั้นโดยที่รอบตัวมีสายอะไรไม่รู้ระโยงระยางไปหมด
“คุณหมอครับเพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้ต้องรีบผ่าตัดด่วนค่ะ คุณเป็นเพื่อนของคนไข้ใช่ไหมคะ”
“ผ่าตัด!!”
“ใช่ค่ะคนไข้ต้องผ่าตัดด่วน รบกวนคุณมาเซ็นเอกสารการยินยอมรับการผ่าตัดของคนไข้ด้วยนะคะ”
ผมแทบจะหมดแรงตรงนั้น ขาอ่อนล้าลงจนเป็นเหตุให้บุรุษพยาบาลรีบมาประคองเพื่อไม่ให้ผมล้มหัวฟาดพื้น ก่อนจะพาผมเข้าไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นต่อไป
ณ บ้านทรงไทยสไตล์โมเดิร์นริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“สวัสดีครับย่า สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับอา”
ผมเดินผ่านประตูบ้านเข้ามาก็เห็นทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาเตรียมจะทานอาหารเย็นกัน แล้วยกมือขึ้นสวัสดีรายบุคคลจนครบ
“เสือเป็นยังไงบ้างลูก คนที่ลูกช่วยเขาปลอดภัยดีแล้วใช่ไหม แล้วพี่สิงห์ไม่ได้มาด้วยเหรอลูก”
แม่เอ้ยถามผมระหว่างที่กำลังตักข้าวสวยให้ย่า
“คนที่เสือช่วยตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ เสือต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ไม่ได้โทรมาบอกว่าเสื่อยังไม่เจอพี่สิงห์เลยครับตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ทุกคนคงเห็นข่าวรถของพี่สิงห์แล้วใช่ไหมครับ คือผมที่เห็นในเหตุการณ์แล้วเจอแต่รถครับ ส่วนพี่สิงห์นั้นไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ผมให้เขาไปแจ้งความเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ กำลังให้เจ้าหน้าตำรวจตรวจดูกล้องวงจรปิดโดยรอบอยู่ครับว่าพี่สิงห์หายตัวไปไหน”
หลังจากที่ทุกคนได้ฟังที่ผมอธิบายต่างมีสีหน้าเป็นห่วงพี่สิงห์ไม่น้อย โดยไม่ต่างจากผมเลย แม่คงสังเกตเห็นสีหน้าของผมที่กำลังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่านจึงเดินเข้ามากอดผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพาผมไปนั่งที่เก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวตัวประจำ
“ไม่ต้องคิดมากนะลูก ทุกคนเข้าใจลูก แม่เองก็เชื่อว่าตอนนี้หมอสิงห์ยังปลอดภัยดีอยู่ ทานข้าวเถอะลูกวันนี้ย่าลงทุนเข้าครัวเองเลยนะ”
“นี่อ่ะ ผัดเปรี้ยวหวานอาหารจานโปรดของเสือ วันนี้ย่าทำสุดฝีมือเลยนะลูก”
อยากเชื่อมมือไปหยิบช้อนกลางตักผัดเปรี้ยวหวานอาหารโปรดของผมมาใส่จานข้าวให้ผมเช่นทุกครั้งหลัง โดยวันนี้บรรยากาศอาจไม่ครื้นเครงเช่นทุกครั้ง ที่เก้าอี้ตรงหน้าผมจะมีพี่สิงห์นั่งอยู่ในมื้ออาหารด้วยแต่วันนี้เจ้าของเก้าอี้ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน อยู่กับใคร ทำอะไรอยู่ และที่สำคัญยังปลอดภัยดีไหม
ผมนั่งทานข้าวไปก็อดคิดถึงพี่ชายของผมไม่ได้ จึงพยายามทำให้บรรยากาศในมื้ออาหารเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ทุกคนก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้าที่นายแบบหนุ่มจะมาทานข้าวที่บ้านกับครอบครัวในช่วงเย็น 3 ชั่วโมงก่อน
ตี๊ด..ตี๊ด..ตี๊ด..ตี๊ด…
เสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ส่งเสียงเป็นจังหวะตลอดเวลา ขณะที่บริเวณแขน มือ ปลายนิ้วและหน้าอกของคนตัวเล็กที่หลับตานอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้มีอุปกรณ์อีกชุดใหญ่ห้อยเป็นสายระโยงระยางรอบเตียง ใบหน้าของปีโป้ขาวซีดจนดูน่ากลัว ขณะที่คิ้วทั้งสองข้างมีอาการขมวดเข้าหากันเป็นระยะเหมือนกับเขากำลังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ผมบอกอาการตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าในตอนนี้ผมเป็นอะไร ทำไมผมต้องรู้สึกเป็นห่วงคนตรงหน้ามากมายจนน้ำตาไหลอาบแก้มแบบนี้ด้วย หรืออาจเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เราจะมีอาการสงสาร เห็นใจผู้อื่นมากจนน้ำตาไหลก็อาจเป็นไปได้ ผมนั่งมองหน้าเขาอยู่พักใหญ่ที่เก้าอี้ด้านข้างเตียงคนไข้ระหว่างนั้นผมก็เฝ้าภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมนับถือคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปลูบที่ศีรษะของเขาอย่างเบามือที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาพักฟื้นของปีโป้มากเกินไป
“ปีโป้ นายต้องไม่เป็นไร นายต้องหายนะ นายบอกว่าเสือเป็นเพื่อนคนแรกของปีโป้ไม่ใช่หรอ ถ้าอย่างนั้นนายก็อย่าให้เสือต้องรอนานนะ เสือเองยังไม่อยากอยู่แบบไม่มีเพื่อนอย่างนาย นายต้องเข้มแข็งเข้าใจใช่ไหม…”
จู่ๆ ผมก็พูดกับคนป่วยด้วยน้ำตาอาบแก้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนกับว่าผมกับปีโป้เรารู้จักกันมานานแสนนาน ทันทีที่ผมดึงมือกลับจากมือเรียวเล็กของปีโป้ ประตูห้องพิเศษก็มีเสียงเคาะจากทางด้านนอกเพียงไม่นาน
“ขออนุญาตนะคะ ขอเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์หน่อยค่ะ”
“เชิญครับคุณพยาบาล”
ผมลุกขึ้นพลางยกเก้าอี้ออกห่างบริเวณรอบเตียงคนไข้เพื่อให้พยาบาลตรวจสอบอุปกรณ์ที่เขาต้องทำตามหน้าที่ ผมเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่ปลายเตียงคนไข้ก็เป็นเวลาเกือบ 4 โมงครึ่งแล้ว เลยปรึกษาพยาบาลเรื่องหนึ่ง
“ขอโทษนะครับคุณพยาบาล พอดีว่าตอนประมาณห้าโมงเย็น ผมต้องกลับไปทานข้าวกับที่บ้านสักประมาณ 2-3 ชั่วโมงน่ะครับ หากผมจะขอใช้บริการพยาบาลพิเศษนี้ต้องดำเนินการยังไงบ้างครับ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องไม่จำเป็นต้องใช้พยาบาลพิเศษหรอกนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งที่แผนกให้ค่ะแล้วอีกไม่เกิน 10 นาทีจะมีพยาบาลมาดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงหรือจนกว่าญาติคนไข้จะสะดวกมาดูแลต่อค่ะ”
“ดีเลยครับ ผมต้องขอบคุณคุณพยาบาลมากนะครับ เดี๋ยวอีกประมาณครึ่งชั่วโมงผมจะเดินไปบอกครับ”
“ยินดีค่ะ”
แล้วพยาบาลใจดีคนนั้นก็เดินออกไปจากห้องพิเศษ
ผมหันกลับไปยกเก้าอี้ตัวเดิมมาวางไว้ใกล้เตียงคนไข้จุดเดิมแล้วก็ลงนั่งมองหน้าเขาเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างที่สุด
“เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งเสือจะไม่อยู่นะปีโป้ พอดีเสือมีนัดกินข้าวกับที่บ้านไว้ไม่น่าเกิน 3 ชั่วโมงเสือจะกลับมาหาปีโป้นะ ยังไงปีโป้ต้องรีบฟื้นนะเราจะได้กลับคอนโดพร้อมกันไง…”
ผมนั่งพูดกับคนป่วยอยู่อย่างนั้นด้วยเสียงไม่ดังมากเพราะไม่อยากรบกวนคนป่วย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเป็นเวลา 5 โมงเย็น เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องไปจึงเดินเข้าไปใช้มือลูบที่ศรีษะเขาอีกครั้งด้วยความเบามือ
“เดี๋ยวเสือมานะ ไปไม่นานหรอก”
ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพิเศษเพื่อไปบอกพยาบาลอย่างที่คุยกับเขาไว้ก่อนหน้านั้น