ตอนที่ 7

2487 คำ
ณ ห้องนอนสุดหรูภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ของเจ้าพ่อมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล  นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 2 อาทิตย์แล้วที่ผมส่งคนไปติดตามเมียคนทรยศของผม มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมอยากรู้อะไรแล้วผมจะไม่รู้มันเป็นไปไม่ได้ ที่ในเวลานี้ผมทราบมาว่ามันได้ไปอาศัยอยู่กับผู้ชายคนที่เข้ามาช่วยชีวิตมันในวันนั้น ทั้งคู่ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก มากเสียจนผมอยากจะส่งคนไปฆ่าพวกมันทั้งคู่ทิ้งเสียให้ได้ ยิ่งผมได้เห็นสีหน้าของมันคนที่ผมรักหมดหัวใจ ผมทุ่มเททุกอย่างที่มันต้องการโดยไม่มีขัดใจแต่ดูวันนี้มันกลับยิ้มระรื่นใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขมากกว่าอยู่กับผมจนเห็นได้ชัด ผมทั้งแค้นทั้งรักทั้งเกลียดหลากหลายอารมณ์ในเวลานี้มันสุดเกินจะบรรยายได้ ก่อนที่ผมจะตั้งใจฉีกรูปที่ลูกน้องนอกวงการมาเฟียถ่ายมาให้ดูขาดกระจุยไม่มีชิ้นดีกระจายทั่วบริเวณปลายเตียง ขณะที่อารมณ์โกรธของผมยังคุกรุ่นมันส่งผลให้ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรไปหาใครคนหนึ่ง  “นาเดียเธอไปจัดการตามที่ฉันบอกได้เลย อย่าให้เรื่องมาถึงฉัน เข้าใจนะ!”  “รับทราบค่ะนายท่าน”  เมื่อผมได้ยินเสียงตอบรับจากคนที่ถูกสั่งงานก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจไปครึ่งหนึ่ง ที่คิดว่าเสี้ยนที่กำลังตำเท้าผมมันคงจะหลุดออกไปเร็วๆ นี้ ผมแอบยิ้มมุมปากด้วยความดีใจล่วงหน้า ถ้านาเดียจัดการได้สำเร็จผมคงกลับมามีความสุขอีกครั้งแม้จะยังมีเมียทรยศคนนั้นหรือไม่ก็ตามแต่ก็อย่างว่าผมคงมีเสียปีโป้ไปให้ใครแน่ๆ   “รอรับผลที่มึงกล้าทำกับกูไว้ได้เลย อยากช่วยเมียกูมากใช่ไหม ถ้าถึงตามึงบ้างกูอยากรู้ว่าจะมีใครจะช่วยมึง หึ!”  ผมพูดกับตัวเองได้ความรู้สึกสุขใจก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ภายในห้องนอน หยิบวิสกี้ดีกรีแรงๆ รินใส่แก้วแล้วยกขึ้นกระดกรวดเดียวก่อนจะเดินกลับมานอนที่เตียงอย่างสบายใจ โดยผมหวังว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อยตามที่ผมต้องการ    ณ ที่แห่งหนึ่งบนโลกใบนี้  “ผมหวังว่าตอนนี้คุณจะปลอดภัยนะคนไข้ตัวน้อยของผม วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเจ็บตัวหรือต้องเจอเรื่องร้ายๆ อีก เมื่อทุกอย่างปกติดีแล้วสักวันเราคงจะได้กลับมาเจอกันอีกนะครับ…”  ผมนั่งลงบนพื้นแล้วทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลโดยไม่มีอะไรขวางกัน ก่อนจะเอ่ยถึงใครคนหนึ่งที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ ผมรู้นะว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร ผมรักคนไข้ของผมเองครับ รักมากรักเสียจนไม่อยากให้เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะผม ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผมหลบมาอยู่ที่แห่งนี้ตามลำพังโดยไร้เครื่องมือสื่อสารใดๆ ป่านนี้คนที่บ้านคงจะเป็นห่วงผมแล้วรอผมกลับไปหา ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึงทั้งคนที่บ้านและคนในหัวใจของผม  ผมกวาดสายตาไปยังวิวทิวทัศน์อันไกลโพ้น มันไกลแสนไกลสุดลูกหูลูกตา ถึงแม้ว่ามันจะไกลแต่กลับแฝงไปด้วยความสุข ความสบายใจทุกครั้งที่ผมมานั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของผมถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่อยากมีสติ ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้มันถูกต้องและสมควรที่สุดแล้ว ผมมักจะมาเดินเล่นและนั่งผ่อนคลายอารมณ์บริเวณนี้เป็นประจำส่วนในเวลานี้ก็น่าจะใกล้เวลาที่ผมต้องกลับไปพักผ่อนแล้วเช่นกัน โดยมีความหวังอยู่ลึกๆ ในใจว่า คนไข้ที่ผมรักจะคิดถึงผมบ้างเท่านี้ผมก็มีความสุขแล้ว…    ณ คอนโดในแบบชื่อดัง  ตั้งแต่ที่ปีโป้ไปหาหมอวันนั้น เขาก็ไม่เคยมีอาการหวาดกลัวหรือละเมออีกเลย ทุกวันนี้ผมกับเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนเป็นเพื่อนที่รักกันมาก ดูสนิทกันเหมือนกับว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปี ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันตลอดแม้แต่การไปถ่ายแบบของผมเขามีปีโป้ตามติดและอยู่เคียงข้างผมไม่ยอมห่าง จนบางครั้งคนนี้กองถ่ายแบบก็พากันจิ้นผมกับปีโป้กันอย่างสนุกสนาน บ้างก็เชียร์ให้เราสองคนลองคบกันดู ส่วนปีโป้เองก็ไปเออออกับทางทีมงาน สร้างความสุขสร้างเสียงหัวเราะให้กับกลองได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างไรมันก็น่าแปลก ตรงที่ผมไม่เคยจะปฏิเสธพวกพี่ๆ ทีมงานถ่ายแบบเลย ว่าผมไม่อยากจิ้นนะ พี่ไปชิปคนอื่นดีกว่า หรือผมไม่ได้ชอบแบบนี้นะ ไม่เคยอยู่ในหัวสมองผมเลย หรือว่าจริงๆ ผมจะเริ่มรู้สึกดีกับปีโป้ตามเสียงเชียร์ไปแล้ว (ไม่ได้สิ มึงเป็นเพื่อนกับปีโป้นะ จะคิดแบบนั้นไม่ได้) ผมคิดในใจพลางสลัดหัวแรงเพื่อไล่ความคิดแบบนั้นให้ออกไปจากหัวของผม  หลังจากผมลุกจากเตียงก็เดินไปเปิดม่านห้องนอนเพื่อรับแสงสว่างจากด้านนอก โดยเอื้อมมือไปปลดล็อคประตูบานเลื่อนเพื่อจะเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกเช่นทุกเช้า จากริมระเบียงห้องของผมที่อยู่บนคอนโดชั้นที่ 49 ก็ถือว่าสูงมากทำให้ผมมองเห็นบรรยากาศแทบจะทั่วกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกโดยรอบอย่างชัดเจน ขณะที่สายตาผมก็กวาดบรรยากาศยามเช้าที่สดใสของกรุงเทพฯอยู่นั้นผมก็ไม่ลืมที่จะยืดเส้นยืดสายเพื่อเป็นการออกกำลังกายไปเพราะๆ กัน การที่ได้ยืดเส้นยืดสายยามเช้ามันทำให้ผมสามารถสูดอากาศสดชื่นเข้าปอดได้เต็มที่และยังเป็นบรรยากาศที่ผมชอบมากที่สุดในรอบวันอีกด้วย   ทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดเพื่อสุขภาพที่ดีเรียบร้อยแล้วผมก็ไม่รอช้า รีบเดินไปเปิดประตูห้องนอนตัวเองแล้วก็เดินเลยไปเปิดประตูห้องนอนของอีกคนที่ผมคิดว่าเพื่อนใหม่ของผมคงยังจะนอนหลับอยู่ แล้วผมก็คิดถูกเมื่อประตูถูกเปิดเข้าไปผมก็หันไปมองทางเตียงที่คนขี้เซากำลังหลับฝันอย่างสบายใจอยู่บนหมอนใบใหญ่  ผมค่อยๆ เดินเข้าไปเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลานอนของเขา ก่อนจะหยุดยืนมองดูคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเอ็นดู แต่เมื่อผมค่อยๆ ไล่สายตามองใบหน้าได้รูปไล่ลงไปเรื่อยๆ กระทั่งผมรู้สึกตกใจแทบจะหันหน้าหนีไม่ทัน เพราะตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปผ้าห่มผืนใหญ่มันเลื่อนไหลไม่คลุมส่วนล่าง บวกกับกางเกงเลที่ผมเพิ่งซื้อให้เขาเมื่อวานก่อนเพื่อใส่นอนทุกคืน ตอนนี้เหมือนได้หลุดเลื่อนไปกองอยู่ที่ข้อเท้า ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่านี่จะคือรูปร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ที่กำลังนอนตะแคงซ้ายมาทางผม ขาขวาก่ายหมอนข้างแนบชิดกับลำตัวถือว่าเป็นความโชคดีของเพื่อนผมมาก ที่ได้หมอนข้างช่วยบังความเป็นชายของเขาเอาไว้ได้พอดีพอดี แต่เจ้ากรรมผมไม่อาจที่จะฝืนไม่มองส่วนที่โค้งมนเด่นสะดุดสายตาผมได้ เป็นบั้นท้ายที่สวยมากสวยจนผมอยากจะใช้ปลายนิ้วเข้าไปสัมผัสความเนียนนุ่มน่าหลงใหลของคนตรงหน้า  ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก มันร้อนผ่าวไปทั่วหน้าพร้อมทั้งมีอารมณ์บางอย่างกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในหัวของผม ท้ายที่สุดผมก็อดทนไม่ไหว บัดนี้อาวุธคู่กายของผมมันชูชันขึ้นชี้เด่ไปที่เพื่อนใหม่ของผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติและควบคุมอารมณ์งุ่นง่านให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ผมพยายามทำครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เป็นผล ตอนนี้ผมรู้อย่างเดียวว่าผมอยากสัมผัสเรือนร่างนั้นเหลือเกินโดยเฉพาะบั้นท้ายอันโค้งมนที่มันดึงดูดสายตาของผมให้สัมผัสมันอย่างเบามือ แต่จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าปีโป้ต้องกินยาก่อนอาหารเช้านี่นา…    บ้านเรือนไทยสไตล์โมเดิร์นริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ขณะที่ฉันกำลังจัดแจงจานบนโต๊ะทานข้าวเช่นทุกเช้าอยู่เพลินๆ   “กริ้ง..กริ้ง…”  โทรศัพท์บ้านก็ส่งเสียงดังขึ้นมาจากทางห้องนั่งเล่นของบ้าน ฉันจึงจำเป็นต้องวางจานที่อยู่ในมือใบสุดท้ายเพื่อจะไปรับโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงเรียกฉันอยู่ด้วยความดีใจและหวังว่าจะเป็นสายจากคนที่ฉันอยากจะคุยด้วยที่สุดงั้นก็คือหลานชายคนโตของฉันเอง หมอสิงห์  “สวัสดีจ้าบ้านสิทธานนท์จ้ะ.. ใช่จ้าฉันเป็นย่าของพ่อเสือเอง มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะหนู.. อ๋อจ้ะๆ ที่หน้าบ้านใช่ไหม.. จ้าเดี๋ยวย่าออกไปจ้ะ”  ทันทีที่ฉันจบบทสนทนากับคนปลายสายก็รู้ได้ว่าเป็นเพียงพนักงานผู้หญิงมาส่งของให้เจ้าเสือเท่านั้น ก่อนที่ฉันจะเดินไปที่ประตูหน้าบ้านเพื่อรับของแทนหลานชาย..  “สวัสดีค่ะคุณย่าหนูมาส่งของให้คุณกรชวัลค่ะ”  “จ้า วันนี้เป็นพนักงานผู้หญิงเหรอนี่ปกติน่าจะเห็นแต่พนักงานผู้ชาย วันนี้หนูก็มาเช๊าเช้า โดยปกติย่าเห็นมาส่งของให้พวกนั้นหลานของย่าประมาณ 4-5 โมงเช้ากัน บริษัทของหนูเขาทำงานกันเร็วเหรอลูก”  ในใจลึกๆ แล้วฉันก็รู้สึกแปลกใจ ที่ทำไมวันนี้พนักงานส่งของถึงมาแต่เช้าขนาดนี้นี่ยังไม่แปดโมงเช้าเลยด้วยซ้ำ  “เดี๋ยวคุณย่าเซ็นตรงนี้นะคะ เดี๋ยวหนูไปหยิบของที่รถให้ค่ะ”  ฉันก็ยื่นมือไปรับเอาโทรศัพท์มือถือมาเซ็นชื่อเหมือนทุกครั้งที่รับของแทนหลานชาย แต่วันนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ ขณะที่ฉันกำลังเซ็นชื่อลงไปบนโทรศัพท์มือถืออยู่นั้น ฉันก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาซะอย่างนั้น อาการมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนฉันแทบตั้งตัวไม่ทันก่อนที่ทุกอย่างจะมืดไป…  “ง่ายจังวะให้มาจับคนแก่ เสร็จฉันแน่อีแก่หน้าโง่!”  หลังจากที่ฉันรู้สึกมึนหัวอย่างมากก่อนจะเหมือนดับวูบไปแต่โสดประสาทการรับฟังของฉันยังทำงานได้ดี ฉันต้องรู้สึกตกใจมากที่ได้ยินเสียงพนักงานส่งของผู้หญิงจะพูดประโยคนั้นออกมา แต่มันก็สายไปแล้วถึงแม้ว่าหูฉันจะได้ยินทุกอย่างแต่ร่างกายของฉันแม้แต่การใช้ปากพูดก็ทำไม่ได้ แล้วฉันก็ถูกแม่หนูคนนั้นอุ้มไปวางไว้ที่ท้ายรถคันนั้นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป (ฉันไม่น่าออกมาเลย ทำไมไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจก่อนนะ แล้วแม่หนูคนนี้จะจับฉันไปไหน) ฉันคิดในใจด้วยความสงสัยและเสียใจที่พลาดมาโดนจับตัวไปแบบนี้ แล้วลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉันจะรู้หรือไม่ฉันถูกจับตัวไปแล้ว..    ณ ห้องครัวบ้านเรือนไทยสไตล์โมเดิร์น  “อ้าวพ่อ แม่ไปไหนแล้วล่ะเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านโทรเข้ามา”  “แม่แกก็คงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหรือเปล่าอาจจะเป็นหมอสิงห์โทรมาก็ได้ เดี๋ยวพ่อไปดูให้นะแม่”  “จ้ะ..”  ผมเดินไปที่ห้องนั่งเล่นตามที่ภรรยาของผมบอก หลังจากที่ผมเสร็จภารกิจรดน้ำต้นไม้ตอนเช้าเลยเดินเข้ามาในครัวมาดูความพร้อมของอาหารเช้าเช่นปกติ  ทันทีที่ผมเดินมาถึงห้องนั่งเล่นก็ไม่พบใครเลยสักคนจึงเดินกลับย้อนไปที่ห้องทานข้าวก็ไม่พบ ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีก่อนที่จะรีบเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปดูว่าแม่อยู่บริเวณนั้นหรือไม่ ท้ายที่สุดผมก็ไม่พบแม่ของผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนใจอดเป็นห่วงแม่ของผมไม่ได้  “แม่!.. แม่ออกมาหาพ่อที่หน้าบ้านหน่อย!”  ผมร้องเรียกศรีภรรยาด้วยความตกใจ ไม่นานภรรยาของผมก็วิ่งออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่ต่างจากผม  “มีอะไรหรือพ่อ เจอแม่หรือยัง”  ผมส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ  “แล้วแม่เขาไปไหนของเขา ล่าสุดแม่ก็เห็นว่าแม่ของเรากำลังจัดจานข้าวที่โต๊ะอาหาร แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านโทรเข้ามา หรือว่า.. พ่อลองไปดูที่ประตูหรือกล่องรับจดหมายซิแม่รู้สึกไม่ดีเลยพ่อ…”  ผมรีบวิ่งไปที่ประตูบ้านเพื่อตรวจสอบตามที่ภรรยาของผมบอกแล้วผมก็พบเข้ากับซองกระดาษอะไรบางอย่างในตู้จดหมาย โดยผมจำได้ว่าเมื่อวานตอนเย็นยังไม่มีเพราะภรรยาของผมจะเก็บจดหมายเข้าบ้านทุกวัน  “แม่!!”  ผมกับภรรยามีสีหน้าตื่นตกใจยังบอกไม่ถูกเมื่อเห็นซองกระดาษสีขาวที่ผมเพิ่งหยิบออกมาจากตู้จดหมายแล้วกำลังจะเปิดดูด้านใน  “ฝากถึงคนที่กล้าลองดีกับกู คนในครอบครัวของมึงจะหายไปทีละคนๆ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะช่วยพวกมันยังไง ถ้ามึงไม่คืนคนของกู คนของมึงก็จะกลายเป็นศพไปทีละคน หวังว่ามึงจะเข้าใจนะไอ้คนพลเมืองดี… (คนที่มึงก็รู้ว่าใคร)”  ทันทีที่ผมอ่านข้อความจบภรรยาของผมก็เป็นลมล้มฟุบไว้กับพื้นต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมไม่ทันได้พยุงไว้ได้ทัน  “แม่.. แม่ทำใจดีๆ ไว้นะ หายใจเข้าลึกๆ เดี๋ยวพ่อพาเข้าไปในบ้านหยิบยาดมให้นะแม่นะ..”  ความรู้สึกของผมก็คงไม่ต่างจากภรรยาของผมเท่าไหร่นัก ผมเองก็แทบจะทรุดลงไปกับพื้นเช่นกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นผู้ชายจึงทำให้ผมกลับมาเข้มแข็งเพื่อดูแลคนที่ผมรักอีกครั้งก่อนจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้านแล้วรีบหยิบยาดมมาช่วยให้เธอดีขึ้น..     
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม