สมรสบังคับรัก 3 : ล็อกเป้าหมาย

1543 คำ
(จาง เฟยหลิง) วันเดียวกัน ณ ห้องทำงานโรงแรม ISC ใจกลางกรุงเซี่ยงไฮ้ เวลา 13.15 น. “มีด้วยเหรอไอ้ของแบบนั้น” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยของ ‘จาง เฟยเทียน’ หรือ ‘เทียน’ ลูกชายคนที่ 3 แห่งสกุลจาง ซึ่งเจ้าของคำถามนั้นนอนเหยียดยาวอยู่ตรงโซฟาภายในห้องทำงาน หลังจากรับรู้คำสั่งของป๊าจากตัวป๊าเองมันก็รีบตรงดิ่งมาหาทันที ในฐานะพี่น้องทางสายเลือดย่อมรู้ดีว่าเขาไม่มีแฟน ไม่มีผู้หญิงที่ถูกใจและการจะหาสะใภ้ใหญ่ของสกุลจางจึงไม่ใช่จะเลือกใครก็ได้ ตระกูล ‘จาง’ เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอิทธิพลมายาวนาน ผู้หญิงที่จะเข้ามาเป็นสะใภ้ในตระกูลนี้จึงต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะไม่ใช่แค่การเป็นภรรยาหรือผู้หญิงที่ต้องผลิตทายาท สร้างผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่จะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ข้างหลังผู้นำตระกูลเสมอ ฉลาดทันคน รับความกดดันทุกทาง ทั้งภายในตระกูลและภายนอก อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ…ไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ ใช่…ไม่มีสิทธิ์ที่จะอ่อนแอได้เลย “ไม่มี” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับน้องชายในระหว่างที่สายตายังคงให้ความสนใจยังงานเอกสารตรงหน้า “เฮียไม่เคยมีแฟนเลยนี่หว่า…หรือมีวะ” “….” ความสงสัยของเทียนไม่ได้รับคำตอบจากเขา มันก็หาเรื่องหลอกถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มี มีพี่น้องกวนประสาททำอะไรไม่ได้ยังไงก็เป็นน้องชาย ทำได้อย่างเดียวคือไม่ต้องสนใจว่ามันจะพูดหรือทำอะไร “หรือมีแล้วไม่บอกใคร” “….” “ทำตัวให้เหมือนเฮียลู่หน่อยดิ มีก็บอกว่ามีแล้วเป็นไง…เลิกกัน” เทียนพูดขึ้นแล้วเอียงหน้ามองเลยมา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่เขาละสายตาจากงานมองไปยังน้องชายของตัวเองพอดี “ไปพูดกับไอ้ลู่ตรงหน้าเดี๋ยวได้โดนมันเตะปากอีกกูไม่ช่วยนะ” ต้องให้เตือนกี่รอบมันถึงจะสงบปาก ต่อให้เตือนยังไงมันก็ไม่สลดยิ่งเวลาลู่จื้อกลับมาบ้าน 2 คนนี้ไม่เหมือนพี่น้องกันสักเท่าไร แต่ไอ้เทียนชอบตามติดไอ้ลู่ไม่ยอมห่าง ชอบไปกวนประสาทหาเรื่องให้เขาด่า แต่ก็รักเฮียมันมากเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลู่จื้อพวกเรารับรู้ว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน ถึงแม้คนเจ็บปวดยังปากดีไม่หยุด… ส่วนบุคคลที่โดนพาดพิงถึงคือลู่จื้อหรือจาง ลู่จื้อลูกชายคนที่ 2 ของสกุลจางที่ตอนนี้ไปดูแลงานอยู่ที่อเมริกา การไปดูแลงานก็แค่ข้ออ้างของคนหนีไปรักษาแผลเท่านั้นแหละ แล้วอีกอย่างมันโกรธป๊ามากด้วยจนตอนนี้เวลาแอบกลับมาจีนยังไม่ยอมเข้าบ้านเลย ในฐานะพี่ชายคนโตก็พยายามสุดความสามารถ ที่จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่มันต้องใช้เวลา “จะฟ้องต้าหลิน” และไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เป็นไม้ตายสุดท้ายของไอ้เทียนคือน้องสาวคนเล็กของบ้าน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าหญิงประจำสกุลจางแม้จะกำลังเรียนต่ออยู่ที่ฝรั่งเศส อำนาจของความเป็นน้องเล็กทำให้ทุกคนยังต้องยอมแพ้ไม่เว้นแม้แต่ป๊า “ถึงเวลาประชุมแล้ว มึงจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ย” “ประชุมอะไร ตอนนี้ประชุมชีวิตตัวเองก่อนมั้ยป๊าจะหาเมียให้แล้วเนี่ยโคตรเสียชื่อเลยเฮีย” เทียนดีดตัวลุกขึ้นนั่งหันมามองด้วยสีหน้าแววตาไม่เข้าใจกับพี่ชายตัวเองที่ยังคงนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงท่าทีทุกข์ร้อน ไม่มีใครคิดว่าการที่พ่อแม่หาผู้หญิงมาดูตัวมันคือการเสียชื่ออะไร แต่เมื่อมันออกมาจากปากของไอ้เทียนและน้ำเสียงดูถูกดูแคลนของมันนั่นแหละกำลังทำให้รู้สึกตาม “กูจัดการตัวเองได้” ยังมีเวลาอีกตั้ง 6 วันสำหรับจัดการเรื่องนี้ “เอาจริง ๆ เฮียดูไม่ร้อนรนเลย สรุปว่ามีอยู่แล้วแต่ไม่บอกใคร? อย่าบอกนะว่าเฮียกับ…” ไร้เสียงตอบกลับใด ๆ จากพี่ชาย เทียนจ้องมองร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูง มองอยู่แบบนั้นจนกระทั่งพี่ชายตัวเองเดินตรงไปทางประตู ไม่มีบทสนทนาระหว่างเราอีกต่อไปและในที่สุดประตูห้องทำงานปิดลง (หลี่ ชีหมิง) ณ Rooftop โรงแรม ISC ชั้นที่ 58 เวลา 19.20 น. “ฮะ อะไรนะ!!” “อย่าเสียงดังสิ ชู่ว!!” มือเล็กยื่นไปแทบจะใช้มันปิดปากพี่สาวของตัวเองที่จู่ ๆ ก็ส่งเสียงดังขึ้นมาลั่นหลังจากรับรู้เรื่องราวทั้งที่ฉันได้สร้างเอาไว้ในวันนี้ และเสียงของเจ้ปิงทำเอาสายตาผู้คนที่อยู่รอบตัวต่างหันมามองเป็นตาเดียว อุตส่าห์ปกปิดใบหน้าตัวเองขนาดนี้ไม่ให้ใครจำได้ก็ยังจะสร้างความเป็นจุดสนใจอีก แล้วเลือกที่นั่งที่คิดว่าจะห่างไกลผู้คนก็ยังไม่วายจะโดนสนใจ “ก็…จะบ้าตาย ไม่ไหวแล้วเหมือนคนจะหายใจไม่ออก แค่ไปทำธุระแป๊บเดียวเกิดเรื่องจนได้ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยฉันไม่น่าให้แกเข้าไปคนเดียวเลย เฮ้อ! เย็นไว้ปิง หายใจเข้าลึก ๆ” เจ้ปิงยกมือขึ้นกุมหัวขยุ้มเส้นผมจนมันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่ดู ๆ จากสภาพเจ้ฉันตอนนี้แล้วอย่าเรียกว่ากุมเลย เหมือนอยากทึ้งหัวตัวเองกระชากผมให้ขาดคามือเพื่อระบายความเครียดในสมองมากกว่า “เอาน่า ไม่ต้องคิดมากหรอกคนอย่างซานฉีมันจะทำได้สักแค่ไหน” พูดจบก็ยื่นมือไปยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สิ่งที่พูดไปน่ะมันไม่จริงหรอก ยังไงซานฉีมันก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและการที่โดนฉันด่าขนาดนั้น ต่อให้มีชื่อเสียงมากแค่ไหนแต่ถ้ามีปัญหากับต้นสังกัดละก็…จบไม่สวยสักราย “น่าจะรู้ดีแก่ใจนะว่ามันทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน” เจ้ปิงยกแก้วแชมเปญขึ้นจิบระงับอารมณ์หลังพูดจบแล้ววางแก้วลงกับโต๊ะ ยกแขนกอดอกจ้องหน้าฉันเขม็ง “…” เอาซะพูดต่อไม่ออกเลย จ้องหน้าเหมือนฉันไปทำอะไรร้ายแรงมากก็แค่ด่าผู้บริหารเอง “แล้วอีกสองอาทิตย์จะมีงานประกาศรางวัลแห่งปี การประกาศสิบอันดับเฟรมเพชรในรอบสิบปี…ในวงการบันเทิงโอกาสนี้มันสำคัญมาก สิบปีที่เฟรมเพชรจะเกิดขึ้นสักครั้งและผู้ที่จะได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นสิบอันดับแรกคือที่สุดของวงการ” เจ้ปิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังเรื่องนี้ฉันรู้ดี งานประกาศรางวัลแห่งปีและเฟรมเพชรที่ว่านั่น…ฉันรู้ดี ‘เฟรมเพชร’ คือรางวัลสูงสุดของเหล่าสายบันเทิงในประเทศ 1 ใน 10 ศิลปินที่ได้รับความนิยมสูงสุดและงานนี้จะเกิดขึ้น 10 ปีครั้ง งานที่ทุกคนคาดหวังและการติด 1 ใน 10 คนนั้นจะเป็นตัวเปิดทาง การันตีฝีมือให้ตัวเองยิ่งขึ้นไปอีกในวงการ เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดที่ใคร ๆ ต่างต้องการแม้กระทั่ง…ตัวฉันเอง “…” “ท่านประธานเคนพูดเอาไว้ว่าชีหมิงคือหนึ่งในเฟรมเพชรรอบนี้แน่นอน แล้วทุกคนก็ปักธงว่ามีแกแน่ ๆ มาตลอด จนตอนนี้แม้จะมียัยนั่นขึ้นมาแทนแต่ยังไงก็มีแกหนึ่งในสิบ” ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการฉันใช้ฝีมือและทุกอย่างของตัวเองเข้าแลกจนอยู่มาได้ทุกวันนี้ “งั้นเราก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพชรก็คือเพชร มันเจิดจรัสด้วยฝีมือตัวเองอยู่แล้ว” ประโยคนี้ท่านประธานพูดกับฉันอยู่เสมอ แต่ว่าเจ้าของประโยคกลับไม่อยู่ดูแล้ว…ขี้โกงจัง ทิ้งลูกชายไม่ได้เรื่องเอาไว้ทำไม “เพชรก็คือเพชรน่ะใช่ แต่เพชรที่กำลังจะถูกปิดทางจากสังกัดยังไงมันก็อับแสง แล้วครอบครัวของเจียอีมีอิทธิพลมากในประเทศคิดว่าระหว่างพวกนั้นกับเรา ใครที่มีแสงในตัวเองมากกว่ากัน” คำพูดของเจ้ปิงทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ ใช่…ฉันไม่มีทางสู้คนพวกนั้นได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่สามารถทำให้คนพวกนั้นเกรงใจได้ “งั้นเราก็หาคนที่มีแสงมากกว่านั้นสิ ตระกูลเว่ยไม่ใช่ที่สุดอย่าลืมสิเจ้” “ถ้าจะเอาที่สุด ที่สุดของที่สุดที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องเลยในตอนนี้ก็คงมีแต่ตระกูลจาง” “นั่นแหละ” เสียงหวานตอบกลับทันทีที่เจ้ปิงพูดจบ แววตามุ่งมั่นของฉันและน้ำเสียงที่ตอบออกไปนั้นทำเอาพี่สาวของตัวเองถึงกับอ้าปากค้าง ก็ถ้าที่สุดของประเทศนี้ก็ต้องเป็นตระกูลจางเท่านั้น…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม