“เปลี่ยนตัวทั้งที่งานจะเริ่มพรุ่งนี้” ฉันย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ทั้งที่ภายในใจไม่ได้ปกติเลยสักนิด!
“เราต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการอยู่แล้ว และทางต้นสังกัดก็ดูแลผลประโยชน์การยกเลิกสัญญาให้เธออย่างเต็มที่สุดความสามารถเหมือนกัน” ผู้บริหารฝ่ายดูแลสัญญาให้ศิลปินในค่ายได้อธิบายเพิ่มเติม
“มันน่าสงสัยนะคะเรื่องนี้” ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมหรอก ถึงเรื่องแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวินาทีในวงการบันเทิง แต่กับตัวเองตลอด 5 ปีที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธและยกเลิกสัญญาฉัน แต่วันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนเป็นยัยเด็กนั่น…เว่ย เจียอี
“ไม่มีอะไรน่าสงสัย ระดับซีเคแอลเขาจะเสียค่าเสียหายเพื่อให้ได้คนที่ตัวเองพึงพอใจยังไงก็ได้” และเป็นซานฉีที่พูดขึ้น น้ำเสียงที่ได้ยินกี่ครั้งก็รู้สึกชวนอ้วกของไอ้หมอนี่สร้างความหงุดหงิดใจให้ฉันได้ตลอด แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากกว่าตัวเองเพียงปีเดียวเพราะเป็นรุ่นทายาท ที่ขึ้นมาบริหารงานได้ไม่นานก็สร้างปรากฏการดัน เว่ย เจียอีออกนอกหน้าจนเธอก้าวขึ้นมาครองที่ 1 แทนฉันนี่ไง
ตั้งแต่ท่านประธานคนเก่าผู้เป็นพ่อของซานฉีได้จากไปและลูกชายเพียงคนเดียวก้าวขึ้นรับตำแหน่งดูแลแทนภายใน 1 ปีกว่า ๆ จากค่ายที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดก็เริ่มสั่นคลอนจนวันหนึ่งที่ยัยเว่ย เจียอีก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง เวลาเพียง 1 ปีที่ดันยัยเด็กนั้นสุดแรงเกิดและในที่สุดก็เกิดขึ้นมาจนได้พร้อมกับบริษัทที่ลุกกลับขึ้นมาเป็นที่ 1 อีกครั้ง ทั้งที่ศิลปินในค่ายมีฉันอยู่แต่กลับ…
จนมาถึงตอนนี้แล้วก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่อ่านเกมไม่ออก…
“ดันเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะคะ” ฉันยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ ใบหน้าสวยสะกดสายตาที่ทำให้เหล่าผู้บริหารทุกคนไม่สามารถละสายตาไปได้เหมือนเคย แต่ตอนนี้สายตาของฉันให้ความสนใจแค่ซานฉีเท่านั้น
“…ทุกคนออกไป ผมจะคุยกับชีหมิงเอง” สิ้นเสียงคำสั่งทุก ๆ คนก็เดินออกไปไม่เว้นแม้แต่เลขาของผู้บริหารสูงสุดอย่างเขา จนกระทั่งภายในห้องประชุมขนาดใหญ่เหลือเพียงแค่เรา
ปึง!
ประตูห้องประชุมบานใหญ่ปิดลง บรรยากาศภายในนี้มีเพียงความเงียบและอากาศที่เย็นเฉียบ สายตาของเราจ้องมองกันและกันไม่มีใครหลบสายตาก่อน
“รู้สึกว่านายจะติดใจเธออย่างหนักเลยนะ ดันกันสุดชีวิตหรือว่าพ่อยัยนั่นสนับสนุนค่ายไม่อั้นเลยล่ะสิ ไอ้ลูกชายเอาแต่ใจไร้ความสามารถที่วันหนึ่งไร้ซึ่งพ่อแม่ต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ตัวคนเดียว มาวันนี้ความสามารถก็ไม่มี สมองก็ไม่ได้ฉลาดต้องใช้อะไรแลกเพื่อให้ได้เงินจากอีกคนเข้ามาพยุง…ฉันอ่านเกมถูกมั้ย”
ใช้อะไรมาแลกก็คงไม่พ้น…ร่างกาย
เพราะซานฉีเองก็เป็นผู้ชายที่ดูดีมากคนหนึ่ง เบื้องหลังปัญหาน้อยคนจะรู้ ฉันเองก็ไม่รู้แค่เดาเอาล้วน ๆ และเหมือนจะเดาถูกทุกครั้งไป อาจเพราะอยู่สังกัดนี้มานาน อยู่มาตั้งแต่แรกเริ่มเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่สร้างค่ายเหมือนกัน ได้รับความเอ็นดูมาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขาผู้ให้ทุกอย่างในชีวิตฉันจนมีวันนี้
การอยู่ของเราอยู่ด้วยความรักเคารพจึงเซ็นสัญญา 10 ปี และแล้ววันหนึ่งผู้มีพระคุณของตัวเองก็เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุกะทันหัน ทำให้ต้องอยู่ใต้การปกครองของรุ่นต่อไปกับสัญญาที่เหลืออีก 3 ปี และแน่นอนว่าฉันอยู่เพื่อรอวันหมดสัญญาเท่านั้น…
“จะมาเสียดายตอนนี้คงไม่ทัน ถ้าเธอยอมตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนตอนนี้คงได้เป็นภรรยาที่มีหน้าที่ดูแลสามี ใช้เงินของฉันโดยไม่ต้องทำงานงก ๆ แบบนี้ไปแล้ว” ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินออกจากที่นั่ง เดินอ้อมโต๊ะประชุมตัวยาวตรงมาทางฉันที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ และไม่คิดจะกลัวเขาแม้แต่นิดเดียวอีกด้วย
“ใช้เงินนาย…คนที่มีแต่เปลือกเนี่ยนะ”
“อย่ารู้ดีกว่าตัวฉันชีหมิง” ซานฉีหยุดยืนตรงหน้า นัยน์ตาคมก้มมองลงอย่างน่ากลัว เขาคงอยากจะยกมือบีบคอฉันให้ตาย ๆ ไปละมั้ง ยังไงก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาจีบแล้วไม่ได้
“ก็มีแต่เปลือกจริง ๆ”
“แล้วตัวเองมีดีมากนักหรือไง เธอรู้มั้ยว่าครอบครัวของเจียอีให้ฉันได้ทุกอย่าง เงินทุน การสนับสนุน ทุนการสร้าง…ส่วนเธอนอกจากหน้าตา ความสวยแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร”
“ดีใจด้วยนะที่มีคนโง่เข้ามาช่วย” ริมฝีปากบางยกยิ้มให้คนตรงหน้า ต่อให้ฉันโดนเขาด่ายังไงก็ไม่สะเทือนหรอก ระดับนี้เอาไม้มาฟาดหน้ายังไม่เจ็บเลย
“เห็นเธอเป็นผู้หญิงนะ…อย่าให้หมดความอดทนไปมากกว่านี้” ซานฉีจ้องหน้าฉันอย่างน่ากลัว
“จะลดงานฉันอีกเหรอ จะทำให้ฉันหายไปเหรอ เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำเลย ฉันก็จะทำให้ตัวเองกลับมาด้วยตัวเองได้เหมือนกัน” ดวงตากลมโตจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ ปากที่พูดออกไปเต็มไปด้วยความยียวนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ในหัวว่างเปล่าไม่มีแผนการใด ๆ
“จะหาเกาะผู้ชายที่ไหนล่ะ แต่ถ้าเธอเกาะฉัน…จะยอมก็ได้นะ แล้วจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการเทียบเท่ากับเจียอี” ไอ้เวรนี่เสนออะไรออกมาแต่ละเรื่องไม่ละอายปากจริง ๆ คิดว่าฉันจะยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อการมีที่ยืนในวงการบันเทิงเหรอ ฉันมาด้วยฝีมือความสามารถก็อยู่ได้ด้วยความสามารถเหมือนกัน
“เกาะนายฉันไปเกาะหมาดีกว่า เป็นเห็บเป็นเหายังสบายใจกว่าเกาะนายเยอะเลยซานฉี”
“ชีหมิง!” เสียงทุ้มเรียกชื่อฉันเสียงดังลั่นห้อง พร้อมมือของเขาข้างหนึ่งยกขึ้นเหนือหัวทำทีจะใช้ฝ่ามือใหญ่นั่นทำร้ายฉัน แต่ต้องหยุดค้างเอาไว้เมื่อสบตากับคนตรงหน้าที่ไม่เคยแสดงออกถึงความกลัวเลยสักครั้ง
“ทำไม!”
ปึง!
เสียงแหลมตะคอกเขากลับอย่างไม่ยอม ซึ่งเสียงของเราคาดว่ามันคงดังลอดออกไปด้านนอกเพราะจังหวะเดียวกันนั้นประตูบานใหญ่ได้ถูกเปิดออก กลุ่มคนที่ถูกเชิญให้ออกไปก่อนหน้านี้ยืนมองเหตุการณ์เข้ามาในห้องด้วยความตกใจ แต่เราทั้งคู่ก็ไม่มีใครสนใจพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
“ระวังปาก”
“บอกตัวเองเถอะ คิดว่าฉันจะเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อหน้าที่การงานให้คนแบบนี้เหรอ แหวะ! แฟนฉันนายยังเทียบไม่ได้แม้แต่เงาอย่ามาสะเออะยื่นข้อเสนอทุเรศแบบนั้นให้ใคร ออ…ยื่นให้ยัยเด็กนั้นได้คนเดียวเท่านั้นแหละไอ้ลูกหมา” พูดจบก็เดินออกจากตรงนั้น แต่ซานฉีไม่ยอมจบง่าย ๆ เสียงด่าทอของเขายังดังตามหลังมาทำให้ฉันต้องหยุดเดิน หมุนตัวกลับไปมองยังผู้ชายที่อยู่กลางห้อง
“แฟนเหรอ ผู้หญิงที่มีดีแค่หน้าตา ร่างกายคิดว่าผู้ชายที่ไหนจะเอามาทำเมีย แล้วผู้หญิงแบบมึงก็จ้องอยากได้แต่ผู้ชายรวย ๆ พ่อกูสร้างมึงมางั้นกูจะทำให้มึงดับเองชีหมิง!”
“อยากทำอะไรมึงก็ทำเลยไอ้ลูกหมา ไอ้ขี้เรื้อนมึงคิดว่ากูกลัวมากหรือไง แล้วมีแต่ผู้ชายที่มีแต่ตัว พวกที่มีดีแค่อวัยวะข้างล่างแบบมึงเท่านั้นแหละจะพูดว่าผู้หญิงอยากได้ผู้ชายรวย ๆ ก็มึงมันกระจอกเองไอ้เวร บาย!” สิ้นเสียงร่างบางก็เดินผ่านฝูงชนออกจากห้อง ในขณะที่ทุกคนต่างวิ่งเข้าไปในห้องประชุมเพื่อช่วยกันจับซานฉีเอาไว้ ประเด็นสำคัญนับจากนี้ไม่ใช่ไอ้ซานฉีหรือยัยเว่ย เจียอี แต่เป็นเรื่องแฟน!
แฟนของฉันที่พูดออกไป แล้วจะหาใครที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลเว่ย นอกจากตระกูลเก่าแก่ทรงอิทธิพลมากที่สุดมาตลอดอย่างตระกูล ‘จาง’