“อารมณ์ดีไปเถอะ เมื่อกี้เลขาซานฉีพึ่งโทรมาบอกว่างานพรุ่งนี้เว่ย เจียอีจะมาร่วมด้วย มันแจ้งว่าลูกค้าเรียกร้องสองคนและเจียอีก็ยินดีที่จะมาเพราะพ่อของเธอถือหุ้นอยู่ในบริษัทนั้นด้วย”
เจ้ปิงยกแขนกอดอกพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ซึ่งต่างกับฉันสิ้นเชิงที่ตอนนี้ยังคงอารมณ์ดีไม่เปลี่ยน แม้ว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นมันควรจะเป็นสิ่งที่ทำลายความสุขในเวลานี้ของตัวเอง แต่ในเมื่อต้นสังกัดสั่งมาแบบนั้นใครจะไปขัดได้ล่ะ
“อือ” เสียงขานตอบกลับในลำคอ แล้วยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเบา ๆ ดูท่าแล้วคืนนี้อาจจะเป็นฉันที่ได้ขับรถกลับบ้าน
“!”
“เป็นอะไร อ้าปากค้างอะไรขนาดนั้นไม่สุภาพเลย” และหลังจากที่ฉันตอบกลับเจ้ปิงไปนั้นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาทำให้ต้องละสายตาจากแก้วไวน์มองไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม อ้าปากค้างตกใจอะไรขนาดนั้น
“ก็แกต้องทำงานกับยัยเจียอีนะหมิง เมื่อกี้มั่นใจว่าพูดชื่อถูกคนและพอแกได้ยินปุ๊บก็ตอบตกลงทันทีเลย”
“อือ” ฉันยังคงตอบกลับด้วยระดับเสียงปกติเช่นเดิม
“หลี่ ชีหมิง!” เจ้ปิงแหกปากเรียกชื่อฉันเสียงดังและครั้งนี้มันก็ทำให้คนรอบข้างเราหันมาจ้องมองเป็นตาเดียว
“หมิงทำงานร่วมกับทุกคนได้อยู่แล้ว เราแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้น่า” เจ้ปิงยังคงอึ้งในอาการของฉันแต่ไม่มีจังหวะให้ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ เพราะคนรอบข้างที่รู้ว่าเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกเมื่อครู่นั่งอยู่ที่นี่จริง ๆ ต่างลุกขึ้นจากที่ของตัวเอง เข้ามาขอถ่ายรูปซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับฉันสักนิด
แม้ว่าปีนี้จะหลุดจากฉายาหงส์แห่งวงการ แต่คนที่มาด้วยฝีมือตัวเองก็ยังเป็นที่จดจำของทุกคนอยู่ดีนั่นแหละ
วันต่อมา
ณ โรงแรม ISC (สถานที่จัดงานเปิดตัวรถยนต์) เวลา 14.10 น.
“ว้าย ~ คุณหมิงมาแล้ว มาถึงก่อนเวลาสมกับเป็นมืออาชีพและเบอร์หนึ่งที่แท้จริงเลยนะคะ”
เสียงทักทายของช่างแต่งหน้าส่วนตัวของฉันที่มาถึงก่อนดังขึ้นเมื่อหันมาเห็นเข้ากับร่างบางที่เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวที่เป็นชื่อของตัวเอง แต่ในนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีกันเพียงทีมของฉันดูเหมือนจะมีคนอื่นอยู่ด้วย เพียงเดินพ้นประตูเข้ามาจึงเห็นกับฝ่ายดูแลเสื้อผ้าที่มองด้วยหางตา ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเธอนั้นอยู่ฝั่งไหน
“อะไรกัน ปลุกกระแสเหรอ” เจ้ปิงเอ่ยปากดุทีมแต่งหน้ายกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง เป็นการเตือนว่าไม่ให้พูดอะไรที่ก่อให้เกิดปัญหา เพราะปัญหาเดียวในตอนนี้มันมีแค่ตัวฉันก็เพียงพอแล้ว...
“ก็พูดจริง ๆ นิคะ...เว่ย เจียอียังไม่มาเลยค่ะ” ประโยคหลังช่างแต่งหน้ากระซิบกระซาบเสียงเบา
“ยังไม่มาแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา” เจ้ปิงเป็นฝ่ายถามขึ้นแทนโดยที่ตัวเองไม่ต้องพูดอะไร ความอยากรู้อยากเห็นมันส่งต่อทางสายเลือดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ส่วนฉันหยิบแก้วน้ำชาขึ้นดูดสายตามองยังกระจกเบื้องหน้า มองภาพสะท้อนของทีมงานบางส่วนที่อยู่ด้านหลัง ลอบมองมาเป็นระยะทำตัวอย่างกับว่ามาแอบฟังอะไรอย่างนั้น
“เกี่ยวสิ คุณซานฉีสั่งว่าถ้าเธอมาแล้วพวกเราจะต้องไปแต่งหน้าให้เธอก่อนค่ะ” ประโยคที่ได้ยินนั้นทำให้ฉันละสายตาจากกระจกมองไปยังช่างแต่งหน้า
“พวกเธอเป็นคนของชีหมิงนะ คุณซานฉีเข้ามายุ่งอะไร” ฉันก็ข้องใจเหมือนอย่างที่เจ้ปิงถามเหมือนกัน ที่ผ่านมาต้นสังกัดไม่เคยวุ่นวายกับทีมงานส่วนตัวของศิลปิน และฉันสะดวกที่จะใช้ช่างของตัวเองมากกว่าจะเป็นคนของค่าย แล้วอีกอย่างเจียอีก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว
“ท่านประธานบอกว่าคุณชีหมิงเป็นศิลปินภายใต้สังกัด พวกเราที่เป็นทีมงานของคุณหมิงก็ถือว่าเป็นคนในสังกัดด้วยค่ะ ต้องฟังคำสั่งของค่ายไม่อย่างนั้นจะไม่อนุญาตให้ศิลปินทุกคนใช้ทีมส่วนตัว” คำสั่งของซานฉีแสดงออกชัดเจนว่าต้องการทำให้เกิดปัญหาวงกว้างหากฉันต่อต้าน
“...กวนประสาทเป็นบ้าเลย” เจ้ปิงยกมือเท้าเอวพึมพำอย่างหัวเสีย เธอรู้ดีว่าคำสั่งนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้แค่ฉันด่าไปเมื่อวานก็แรงมากพอแล้ว ถ้าต่อต้านมันเดี๋ยวคนอื่นจะโดนหางเลขไปด้วย
“เอาตามที่ประธานสั่ง” และฉันที่เป็นผู้สรุปทุกอย่างให้ทุกคนด้วยตัวเอง ไอ้เวรนั่นมันอยากทำให้ฉันสติแตกสินะได้เลย...ฉันจะใจเย็นแล้วเอาคืนมันในครั้งเดียวทีหลัง
กริ้ก!
ประตูเปิดออกไร้เสียงเคาะ มารยาทถูกลบเลือนหายไปเมื่อปฏิบัติต่อฉัน
“คุณเว่ย เจียอีมาแล้วค่ะ อย่าให้รอนานมันเสียเวลา” พูดจบผู้หญิงคนนั้นก็ปิดประตูลงทันที เธอไม่สนใจว่าช่างแต่งหน้าจะทำอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ รีบพูดรีบไปไม่กล้าสบสายตาที่จ้องไปของฉัน
“ไปจัดการให้เจียอีก่อนเลยค่ะ” ยังไงฉันก็เผื่อเวลาเอาไว้แล้วด้วย มันไม่ได้กระชั้นชิดกับเวลางานแต่อย่างใด
ช่างมันเถอะ...
นี่แหละการถูกปฏิบัติตัวเมื่อบางสิ่งบางอย่างของเราลดน้อยลง ฉันก็แค่ต้องรอทีมช่างแต่งหน้ากลับมา รอช่างทำผมกลับมาก็แค่ต้องรอ...รอเวลา
หลังจบงาน
ณ ห้องแต่งตัว เวลา 18.15 น.
“เดี๋ยวเจ้มานะ คนขับรถบอกว่ามีคนมาชนรถเราต้องเรียกประกันแล้วไปดูกล้องของโรงแรมก่อน”
เจ้ปิงพูดขึ้นหลังกดวางสายโทรศัพท์สีหน้าหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิด อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว และที่นี่คือโรงแรมที่คนเข้าพักเยอะมาก ยังดีนะที่เกิดขึ้นหลังจากจบงานแล้ว วันนี้มันช่างน่าแปลกที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีมาก ๆ การทำงานร่วมกับเว่ย เจียอีไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น
ถ้าไม่ยุ่งกับฉันก็ไม่คิดจะวุ่นวายแต่แรกอยู่แล้ว...
“เจ้ไปจัดการก่อนก็ได้ เดี๋ยวหมิงรออยู่ในห้องนี้แล้วกัน” ในนี้คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้อยู่แล้ว ถ้าฉันออกข้างนอกนั่นแหละจะทำให้วุ่นวาย
“รออยู่นี่ก่อนอย่าไปไหนเด็ดขาด จะเอาอะไรโทรมาหาเจ้เดี๋ยวจะรีบมาหาเลย ห้ามไปไหนข้างนอกนักข่าวเยอะมากพวกนั้นรอสัมภาษณ์แกอยู่ แต่ไม่ควรพูดอะไรและไม่ควรรับสิ่งที่ทำร้ายหัวใจตัวเองอีก โอเคนะ...” เจ้ปิงกำชับฉันด้วยสีหน้าจริงจัง ความกังวลเรื่องนักข่าวไม่เคยหายไปเลยสินะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี
“จ้า ~” ฉันขานรับอย่างรู้หน้าที่และนั่นจึงทำให้พี่สาวตัวเองยอมออกจากห้องไปเพื่อจัดการปัญหา เดี๋ยวเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นลงก็คงมาตามเองระหว่างนี้ก็นั่งพักรอไปแล้วกัน
“ปวดเท้าจัง” เสียงเล็กพึมพำเบา ๆ ยื่นมือลงสัมผัสเท้าของตัวเอง วันนี้รองเท้าไม่ค่อยรับกับเท้าเลยแฮะ หวังว่ามันจะไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้อีกคนหรอกใช่มั้ย...
กริ้ก!
“เจ้หมิงคะ”
หลังจากพี่สาวของฉันออกไปได้ไม่ถึง 2 นาทีประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างไร้เสียงการส่งสัญญาณขออนุญาต ราวกับว่ารอจังหวะนี้มานานแล้วและเสียงหวานเล็กชวนเอียนที่ได้ยินนั้น ต่อให้ไม่ต้องหันไม่ต้องเงยหน้าไปมองก็รับรู้ได้ว่าเป็นใคร
“...” ฉันเลือกที่จะไม่ตอบกลับและให้ความสนใจที่ฝ่าเท้าของตัวเอง
“เจ้หมิงคะ” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้สนใจเสียงเรียก เธอจึงเรียกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากก่อนหน้า
“....” น่ารำคาญยัยนี่เป็นบ้าเลย คิดว่าจะไม่มีปัญหาแล้วดูเหมือนว่าจะหวังสูงไปเองสินะ
“ประสาทหูเสื่อมไปตามสมองเหรอ ไม่ได้ยินที่เจียอีเรียกเหรอ...คะ” เจียอีกระแทกเสียงใส่ในคำสุดท้าย บ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยากพูดกับฉันอย่างสุภาพอยู่แล้ว
“ฉันพึ่งฟังออกเมื่อกี้นี้เอง กว่าจะพูดภาษาคนออกมาได้” สิ้นเสียงมือที่จับฝ่าเท้าตัวเองอยู่ก็ปล่อยออก ยันตัวนั่งหลังตรงจ้องมองภาพสะท้อนในกระจกบานใหญ่ตรงหน้า