เมื่อมาถึงบ้านของปาริมา ชวิศก็เดินนำถุงอาหารทั้งของสดของแห้งเข้ามาในห้องครัวอย่างคุ้นเคย วางข้าวของที่ถือมาลงบนโต๊ะ นางมลที่เห็นชายหนุ่มก็หันมายิ้มให้
“ไปทำอีท่าไหนล่ะลูก ถึงได้ถือของมาส่งน้าแบบนี้”
“พอดีผมเจอปลาที่ร้านลุงจวบครับ เลยช่วยถือมา” คนถูกเอ่ยถึงเดินนำของมาวาง
“เดี๋ยวปลาเอากับข้าวไปให้นะพี่ช้าง” ชวิศไม่คิดว่าปาริมาจะความจำสั้นหรอกนะ เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดกันไปแท้ๆ ว่าไม่ต้องเอาอาหารไปให้เขา
“ไม่เป็นไรไม่ต้องเอาไปให้ ของซื้อของขายจะเอามาให้ฟรีๆ ได้ยังไง” แม้ทุกครั้งจะได้มาฟรีๆ ก็ตาม แต่ชวิศก็ไม่สบายใจทุกครั้งที่ได้เช่นกัน
แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวสายเปย์ ที่พร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก อย่างไม่ลืมหูลืมตาอย่างปาริมา ยอมแม้กระทั่งให้ตัวเองเจ็บอยู่คนเดียว
“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่ช้างช่วยถือของไง” ก็เลี้ยงหมูปิ้งเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอปาริมา
ชวิศคิดในใจ พลางยกถุงหมูปิ้งที่อยู่ในมือให้ปาริมาดูแทนคำพูด จึงได้รอยยิ้มเฝือนๆ กลับมาแทน
“งั้นถือว่าให้เป็นการขอบคุณแล้วกัน จะได้เอาไปให้แม่กินด้วย เพื่อนบ้านกันเรื่องแค่นี้เล็กน้อย สิ่งไหนพอแบ่งได้ก็แบ่งกันไป” นางมลเอ่ยแทรกเข้ามา
หากชวิศจะมองว่านางเข้าข้างบุตรสาว ช่วยบุตรสาวจีบผู้ชาย นางก็ยินดีรับความคิดนั้น
จะว่านางรักลูกจนไม่ลืมหูลืมตา เห็นดีเห็นงามไปด้วยก็ได้ คนเป็นแม่เมื่อเห็นหน้าเหงาๆ เหมือนหมาตัวน้อยถูกเจ้าของดุ มีหรือจะไม่สงสาร
“ขอบคุณครับน้ามล” สุดท้ายชวิศก็ปฏิเสธไม่ลง ยกมือไหว้ขอบคุณนางมลในที่สุด เลยได้รอยยิ้มแฉ่งจากปาริมามาเพิ่มอีกด้วย
“ไม่เป็นไรจ้ะ... ยังจะยืนยิ้มอยู่อีก รีบไปเตรียมของสิลูก จะได้เอามาทำให้พี่เขา เดี๋ยวสายพี่เขาต้องไปทำงาน” หันมาเอ่ยกับบุตรสาว ที่ยืนยิ้มแป้นหน้าบานเป็นเหรียญสิบ
“จ้ะแม่”
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” นางมลพยักหน้ารับ หันไปสนใจข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะต่อ
ชวิศจึงเดินออกมาพร้อมกับปาริมาที่ก็เดินตามมาติดๆ โดยไม่ลืมจะบอกมารดา ว่าเดี๋ยวตัวเองมา ขอไปส่งผู้ชายสักครู่
“หนูขอไปส่งพี่ช้างก่อนนะแม่ เดี๋ยวจะรีบมาช่วยนะคะ” คนเป็นแม่ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าตามหลังบุตรสาว
ไม่อยากจะคิดเลย หากลูกสาวของนางผิดหวังขึ้นมา จะเสียหลักเซไม่เป็นท่าขนาดไหน และเมื่อถึงวันนั้น นางก็คงเป็นเสาหลักให้ลูกจับไว้ ไม่ให้เสียหลักล้มลงอย่างแน่นอน
“พี่ช้างจ๋า พรุ่งนี้พี่ช้างเข้าเวรเช้าใช่ไหมคะ”
“ใช่ มีอะไร”
“พรุ่งนี้วันเกิดปลา พ่อกับแม่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้ ปลาว่าจะชวนคุณลุงคุณป้ามากินข้าวด้วยกัน ปลาก็เลยจะชวนพี่ช้างมาด้วยค่ะ มานะคะ ปลารอพี่นะ” ไม่รู้เรียกว่าชวนหรือบังคับกันแน่
“ถ้าไม่มีเคสด่วนพี่จะมา” แบ่งรับแบ่งสู้ออกไป เพราะไม่รู้วันพรุ่งนี้จะมีเหตุฉุกเฉินอะไรหรือไม่ ไม่อยากรับปากให้ความหวังปาริมา
“ได้ค่ะ งั้นพี่ช้างกลับไปอาบน้ำนะคะ เดี๋ยวปลาไปช่วยแม่ทำกับข้าวก่อน” ว่าจบก็รีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัว ชวิศจึงเดินกลับไปบ้านตัวเอง
เสริฐที่ยืนอยู่มุมของตัวบ้าน เดินออกมาหลังจากที่ชวิศเดินออกจากรั้วบ้านไป ชายสูงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิต มองชายหนุ่มไปจนลับสายตา
จึงเดินกลับเข้ามายังห้องครัวหลังบ้าน ยืนมองบุตรสาวที่กำลังนั่งพูดเจื้อยแจ้วกับแม่ของตัวเองก็พลอยยิ้ม
ความสดใสของลูก คือคนเป็นพ่อเป็นแม่อยากเห็นมากที่สุด ไม่มีใครอยากเห็นลูกร้องไห้เสียใจหรอก แต่ถ้าวันหนึ่งความสดใสนี้หายไป ลูกสาวตนจะรับมือกับความเสียใจ เจ็บปวดได้ไหมนะ
“พ่อมายืนอมยิ้มอะไรอยู่ตรงนี้คะ หรือว่ามายืนแอบมองความสวยของปลากัน” เสริฐเดินเข้ามานั่งข้างบุตรสาว โยกศีรษะเล็กเล่นเบาๆ
“ลูกสาวพ่อสวยที่สุด และพ่อก็ชอบเวลาที่ลูกสาวพ่อยิ้มมีความสุขแบบนี้” นางมลหันมองสามี
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าสามีต้องการสื่ออะไร อย่าว่าแต่นางมลเลยที่รู้ ปาริมาเองก็รู้เช่นกัน ว่าที่พ่อของเธอพูดมาแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร
“พ่อสบายใจได้ ลูกสาวคนเก่งของพ่อคนนี้ จะยิ้มมีความสุขให้พ่อเห็นแบบนี้ตลอดไป พ่อไม่ต้องห่วง”
“ต่อให้ปลามีครอบครัว มีลูก มีหลาน พ่อก็ห่วงอยู่ดี”
“ปลารู้ค่ะ ว่าพ่อกับแม่รักปลามากแค่ไหน ปลาก็รักพ่อกับแม่เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นปลาก็อย่ารักคนอื่นมากกว่ารักตัวเองนะลูก จำไว้ว่ารอยยิ้มของปลามีค่ากับแม่และพ่อมากที่สุด แม่กับพ่อไม่อยากเห็นรอยยิ้มของหนูหายไป เพราะปาริมาเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา” เพียงเท่านี้ที่ผู้ให้กำเนิดจะสามารถเตือนได้ ต่อจากนี้ก็คงต้องปล่อยให้บุตรสาวได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
นางและสามีจะไม่ไปขีดเส้นทางเดินให้ลูก ว่าต้องเดินแบบไหน ทำอะไร ทำยังไง แต่นางขอนั่งมองอยู่เบื้องหลัง คอยระวังหลังให้บุตรสาวในยามที่เสียหลัก คอยเดินตามห่างๆ ด้วยความเป็นห่วง หากวันไหนที่ลูกสาวสะดุดจะล้มลง นางและสามีจะได้เข้าไปประคองได้ทัน
อย่างไรเสีย การปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ทุกสิ่งด้วยตัวเอง ย่อมดีกว่าการบอกสอนจากประสบการณ์ของนางและสามีอยู่วันยังค่ำ ลูกของนางจะได้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง