บทนำ 2

1518 คำ
บทนำ “นี่คือแกเครียดแล้ว ?” ชุติมาย้อนถามแล้วมองสำรวจเพื่อนอีกครั้ง หากเทียบกันตอนนี้เธอดูซีเรียสมากกว่าคนที่ต้องหมั้นเสียอีก “เครียดสิ” พัชรีนาฎคิดว่าสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับก็คงมาจากเรื่องนี้ ตัวเธอเองก็อธิบายสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ถูกเหมือนกัน ถึงแม้ภายนอกจะดูปกติดีทุกอย่าง ทว่าลึก ๆ ในใจเธอก็คงกังวลเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ที่ทำให้เธอยังใช้ชีวิตปกติได้ ก็คงเป็นเพราะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้แล้วกระมัง “แต่ก็ทำไรไม่ได้ เพราะพ่อยื่นคำขาดมาว่าต้องหมั้น ไม่งั้นฉันก็ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทช่วยพ่อกับพี่ต้น” พี่ต้นหรือไตรวิทย์ที่กล่าวถึงคือพี่ชายต่างสายเลือด ซึ่งตอนนี้บริหารงานที่บริษัทของครอบครัวช่วยบิดาอยู่ ถือเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ได้ดั่งใจพ่อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน เส้นทางชีวิต การใช้ชีวิตครอบครัว ต่างจากเธอที่มักจะทำอะไรสวนทางกับความต้องการของพ่ออยู่เสมอ อันที่จริงพัชรีนาฎไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของเตชภณผู้ที่เธอเรียกว่าพ่อในปัจจุบัน บิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเสียชีวิตด้วยโรคร้ายตอนเธอยังจำความไม่ได้ ต่อมาผู้เป็นแม่ก็ได้แต่งงานใหม่กับบิดาของไตรวิทย์ตอนเธออายุได้ห้าขวบ ซึ่งทุกคนก็เข้ากันได้ดี รักใคร่กลมเกลียวและมีความห่วงใยให้แก่กัน ไม่มีปัญหาเรื่องพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง การดำเนินชีวิตครอบครัวค่อนข้างราบรื่น พัชรีนาฎกับผู้เป็นพ่อค่อนข้างสนิทกัน เพิ่งจะมาเริ่มมีปัญหาตอนที่หญิงสาวค้นพบความชอบและเลือกเดินในเส้นทางของตัวเอง ซึ่งไม่ถูกใจผู้เป็นพ่อที่อยากให้ลูกเดินตามทางที่ตนได้ปูไว้ให้ จึงทำให้เธอกับพ่อมีปากเสียงกันแทบจะทุกครั้งที่ต้องเจอหน้า “ทำไมวะ ทั้ง ๆ ที่งานของแกก็ได้เงินดี แทนที่พ่อแกจะสนับสนุน” ชุติมาถามด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยเธอทำงานกับพัชรีนาฎมาตั้งแต่เปิดช่อง กระทั่งตอนนี้จดทะเบียนเปิดบริษัทเป็นกิจะลักษณะ ก็เห็นว่าเส้นทางอาชีพของเพื่อนเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ สามารถเลี้ยงตัวเองและยังมีเหลือเลี้ยงคนในครอบครัวได้อย่างสบาย ๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย “เงินมันดีจริงแก แต่ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของบริษัทที่บ้านไง” พัชรีนาฎถอนหายใจ ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ สร้างคอนโดมิเนียมและสร้างบ้านขาย อีกทั้งยังรับเหมาก่อสร้างทั่วราชอาณาจักร กำไรต่อปีเป็นหลักพันล้านถึงหมื่นล้าน ซึ่งอาชีพยูทูบเบอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ของเธอนั้นเทียบไม่ติดแม้แต่ปลายเล็บ “พ่อบอกว่าที่ฉันทำอยู่มันเสียเวลา เพราะสุดท้ายฉันก็ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทพ่ออยู่ดี” “ก็ใช่ไง สุดท้ายแกก็ต้องไปทำงานช่วยที่บ้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ขอทำสิ่งที่ชอบก่อนได้ไหมล่ะ” นักตัดต่อสาวว่าขึ้นอย่างมีอารมณ์นิด ๆ ไม่เข้าใจความคิดบิดาของเพื่อนสักเท่าไร ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรลูกสาวก็ต้องกลับไปช่วยกิจการครอบครัว ตอนนี้ก็ควรปล่อยให้ลูกทำสิ่งที่ตัวเองรักไปก่อน ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน “ฉันก็คิดเหมือนแกแหละมายด์ ฉันบอกพ่อจนปากเปียกปากแฉะแล้ว ก็อย่างที่รู้ ๆ ว่างานสายอินฟลูฯ มันมีเวลาของมัน ตอนนี้มีชื่อเสียง แต่อนาคตจะดับหรือจะหมดแพชชันตอนไหนก็ไม่มีรู้” พัชรีนาฎถอนหายใจเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ “แต่ก็นั่นแหละ พ่อบอกว่ามันเสียเวลา เอาเวลาตอนนี้ไปเรียนรู้งานในบริษัทดีกว่า เพราะกว่าจะไต่ระดับขึ้นไปสู่ผู้บริหารระดับสูงได้ก็ใช้เวลาหลายปี” “พ่อแกอย่างเคี่ยวอะ” ชุติมาเอ่ยออกไปตามที่คิด ซึ่งพัชรีนาฎที่เป็นบุตรสาวก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยไม่คิดจะเถียง เพราะถ้าเป็นเรื่องตำแหน่งงานและเรื่องงาน บิดาของเธอเคี่ยวจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นลูกแล้วจะได้เข้าไปบริหารงานได้เลย ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญ และต้องทำความรู้จัก รู้ทุกซอกทุกมุมของบริษัทเป็นอย่างดี ถึงจะมีสิทธิ์รับตำแหน่งผู้บริหาร “แกเห็นอย่างพี่ต้นไหมล่ะ ต้องเป็นพนักงานตามแผนกนั้นแผนกนี้อยู่กี่ปีถึงได้ขึ้นเป็นรองประธาน” ชุติมาทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง “จำได้ลาง ๆ ตอนนั้นเราอยู่ม. 4 ไหม” “อ่าฮะ ประมาณนั้น พี่ต้นเรียนจบป. โทจากนอกมาก็ตอนที่เราขึ้นม. 4 พอดี” อินฟลูฯ สาวพยักหน้าตอบพร้อมขยายความ “ตอนนั้นเราอายุสิบห้าปี จนตอนนี้ยี่สิบเจ็ดละ แกคิดว่าต้องใช้เวลากี่ปีล่ะถึงจะไปถึงจุดนั้นได้” “สิบกว่าปี ประมาณสิบสองสิบสามปี” “อือ นี่ขนาดยังไม่รวมช่วงที่เรียนรู้งานระหว่างเรียนเข้าไปด้วยนะ บอกเลยว่าโหดมาก” “โหดจริง แล้วตอนนี้พี่แกอายุเท่าไรแล้วนะ” “ปีหน้าสี่สิบ” พัชรีนาฎตอบ เธอกับพี่ชายอายุห่างกันมากถึงสิบสองปี ปีนี้เธอยี่สิบเจ็ดแล้ว คนเป็นพี่ก็ราว ๆ สามสิบเก้า “ถ้าไม่รู้ว่ามีเมียมีลูกแล้ว ฉันคงคิดว่าพี่แกเพิ่งจะสามสิบ หล่อและหุ่นแซ่บมาก” คนมีพี่ชายหุ่นแซ่บกลอกตาไปมา “แก่ขนาดนั้น จะมาสามสิบอะไร ลูกโตจนจะบวชได้อยู่แล้ว” “แกก็เวอร์ไป เจ้าไตเติ้ลเพิ่งเข้าเรียนป. 2 เอง จะไปบวชอะไรได้” “นั่นแหละ ลูกโตขนาดนั้น พ่อคงไม่อายุสามสิบหรอก” พัชรีนาฎเอ่ยพลางขำเล็กน้อย “ฉันแค่เปรียบเทียบโว้ย” ชุติมาบอกอย่างเอือม ๆ ก่อนจะดึงเพื่อนกลับมาที่เรื่องหมั้นอีกครั้ง “กลับมาเรื่องแกต่อ สรุปคนที่แกจะหมั้นด้วยเป็นใคร” รอยยิ้มเล็ก ๆ ของคนถูกถามหุบฉับ ใบหน้าสวยเรียบนิ่ง ดวงตากลมโตคล้ายเม็ดลำไยส่ายไปมา ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปกลอสฉ่ำวาวเบียดเข้าหากัน มือทั้งสองข้างเผลอกำชายกระโปรงเทนนิสที่สวมใส่ อันที่จริงก็ไม่ใช่คำถามที่ตอบยาก แต่ในใจมีความรู้สึกบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้ และเพื่อนของเธอก็รู้ดี หากเอ่ยชื่อคนคนนี้ออกไป ชุติมาก็คงเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเธอถึงไม่โวยวายตอนที่รู้ตัวว่าต้องหมั้นในเดือนหน้า “ก็...ลูกชายเพื่อนพ่อไง” เธอเลือกตอบแบบเลี่ยง ๆ ไปก่อน “รู้ว่าเป็นลูกชายเพื่อนพ่อ แต่เพื่อนพ่อแกมีลูกชายตั้งหลายคน” นักตัดต่อสาวโต้กลับ ก่อนที่ในสมองจะไล่เรียงรายชื่อของคนที่พอจะรู้จัก ซึ่งก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน ทว่าพอเหลือบไปสังเกตท่าทีล่อกแล่กของเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้าม จู่ ๆ ใบหน้าคมคายของชายคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว หากยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร พัชรีนาฎก็เฉลยขึ้นมาเสียก่อน “...พี่อรรถน่ะ ฉันต้องหมั้นกับพี่อรรถ” “เฮ้ย! ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยสิ แกแอบชอบพี่เขาอยู่ไม่ใช่เหรอ” พัชรีนาฎไม่เถียง เพราะเธอแอบชอบพี่อรรถหรืออรรถกรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายจริง ๆ แอบชอบมานานแล้วด้วย หากมองรูปลักษณ์ภายนอก อรรถกรถือเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมในทุก ๆ ด้าน มีความสามารถหลากหลาย ถือเป็นเรื่องที่ดีที่เธอได้หมั้นกับคนที่ตัวเองชอบ แต่... “มันก็ดี แต่แบบ...แกไม่คิดว่าพี่เขาเจ้าชู้ไปเหรอ” “ไม่เจ้าชู้ไปหรอก แต่เจ้าชู้มาก ๆ เลยต่างหาก” ชุติมาแสดงความคิดเห็นไปตามความเป็นจริง เท่าที่รู้จักผู้ชายที่ชื่ออรรถกร ปลาไหลยังเรียกพ่อ ควงผู้หญิงไม่เคยซ้ำหน้า หากจะเรียกว่าผู้ชายสาธารณะก็ไม่เกินไปสักเท่าไร “แกคิดมากเรื่องนี้เหรอ” “แค่ส่วนหนึ่ง เพราะฉันก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่อรรถเขาเจ้าชู้” ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอชอบอรรถกรก็เพราะความแพรวพราว ความเจ้าชู้ที่ชอบเล่นหูเล่นตา และการพูดจาหวาน ๆ ลงท้ายคะขาของเขานี่แหละ ทว่าประเด็นหลัก ๆ ที่ทำให้เธอกังวลอยู่ตอนนี้คือเรื่องอายุ อรรถกรเป็นเพื่อนพี่ชายของเธอ ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เขาอายุสามสิบเก้าปีแล้ว ซึ่งห่างจากเธอถึงหนึ่งรอบ! “แล้วแกคิดมากเรื่องไร” “ฉันคิดว่าพี่เขา...แก่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม