ข้อตกลง
พัชรีนาฎใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวหนึ่งชั่วโมงเป๊ะตามที่บอกเอาไว้ หญิงสาวเปิดประตูออกมาจากห้องนอน มองหาเจ้าของร่างสูงที่ควรจะนั่งอยู่บนโซฟา ทว่ากลับไม่พบ เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง มองทะลุห้องครัวไปยังระเบียงก็เห็นแผ่นหลังกว้างของคนที่ตามหา มือเขาถือโทรศัพท์แนบหู น่าจะกำลังคุยกับใครสักคน
ผ่านไปราวห้านาที เขาก็เลื่อนเปิดประตูกระจกเดินกลับเข้ามา
“จริง ๆ พี่อรรถคุยข้างในก็ได้นะคะ ข้างนอกอากาศมันร้อน” เพราะอย่างไรห้องนั่งเล่นก็มีเพียงแค่เขาคนเดียว
“พอดีมีสายเข้าตอนพี่ออกไปสำรวจวิวที่ระเบียงพอดีน่ะ” การนั่งรอเฉย ๆ มันทำให้เขาเบื่อ ไม่รู้จะทำอะไร อรรถกรจึงถือวิสาสะเดินสำรวจห้องขนาดเจ็ดสิบห้าตารางเมตรของว่าที่คู่หมั้น เริ่มตั้งแต่ห้องนอนเล็กที่เธอทำเป็นห้องทำงานหรือสตูดิโอขนาดย่อม ๆ ไปจนถึงห้องครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน คาดว่าคงใช้เป็นพื้นที่สำหรับถ่ายงานด้วยเช่นกัน เพราะเขาเคยเห็นผ่านคลิปวิดีโอในช่องของเธอ กระทั่งเดินออกไปนอกระเบียงก็มีคนโทรเข้ามาพอดี
“ว่าแต่น้องพริกถ่ายงานที่ห้องตลอดเลยเหรอคะ เห็นมีอุปกรณ์เยอะแยะเลย” อรรถกรถามพร้อมชี้ไปยังห้องครัว ซึ่งมีอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ วางอยู่ น่าจะเป็นสินค้าที่ลูกค้าส่งมาให้เธอรีวิว
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นรีวิวสินค้าหรือคลิปทำอาหารพริกจะถ่ายอยู่ที่ห้องนี่แหละค่ะ สะดวกดี”
“ถ่ายเองเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ พริกตั้งกล้องถ่ายเอง”
“เก่งจัง” ชายหนุ่มชมจากใจ “แล้วพวกคลิปที่ไปถ่ายตามสถานที่ต่าง ๆ ล่ะ อันนั้นก็ถ่ายเองเหรอ” อรรถกรถามทั้งที่คิดว่าไม่น่าใช่ เพราะดูจากมุมกล้องก็รู้ว่าต้องมีคนถ่ายให้
“ถ้าไปข้างนอกไม่ได้ถ่ายเองค่ะ น้องตากล้องเป็นคนถ่ายให้”
“อ๋อ พี่ได้ยินมาว่าน้องพริกกำลังจะทำสตูฯ ใหม่ด้วยใช่ไหมคะ”
“พี่ต้นบอกเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ พี่กับมันไปดื่มด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน พี่ถามหาน้องพริก มันเลยบอกว่าช่วงนี้น้องพริกยุ่ง ๆ กับเรื่องทำสตูฯ กับออฟฟิศใหม่”
“แน่นะคะว่าพี่ต้นพูดแค่นั้น” พัชรีนาฎหรี่ตาลงอย่างจับผิด เธอไม่เชื่อหรอกว่าพี่ชายอย่างไตรวิทย์จะพูดถึงเธอแค่นั้น
อรรถกรยิ้มอย่างรู้ทัน ด้วยรู้ดีว่าพัชรีนาฎกับพี่ชายนั้นถือเป็นคู่กัดอันดับหนึ่ง รักกันแหละ แต่ไม่เคยพูดคุยกันดี ๆ ได้ไม่ถึงสามประโยค และเขาก็ชอบซะด้วยสิที่ได้เห็นพี่น้องคู่นี้แสดงความรักต่อกัน “มันบ่นค่ะ มันบ่นว่าน้องพริกเรื่องมาก”
“นั่นไง ว่าแล้ว” หญิงสาวยู่ปาก คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด พี่ชายเธอขี้บ่นจะตาย โดยเฉพาะกับเธอ บ่นได้ทั้งวันอะ ไม่รู้ไปสรรหาเรื่องอะไรมาบ่นนักหนา “รู้งี้พริกไปจ้างบริษัทอื่นทำซะก็ดี”
เมื่อสามเดือนก่อนพัชรีนาฎตัดสินใจซื้อบ้านเก่าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลคอนโดมิเนียมของเธอมากนัก เป็นทำเลที่เธอมองว่าครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาด โรงพยาบาล และการคมนาคมที่สะดวกสบาย ด้วยมีสถานีรถไฟฟ้าตั้งอยู่ห่างจากตัวบ้านเพียงหกร้อยเมตร ทว่าสภาพบ้านค่อนข้างเก่าซอมซ่อ เพราะไม่มีคนอยู่อาศัยเป็นเวลานาน หญิงสาวจึงต้องรีโนเวตบ้านใหม่ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าผู้รับเหมาที่เธอเลือกนั้นต้องมาจากบริษัททีจีพี คอนสทรัคชันส์ ที่ไตรวิทย์ดูแลอยู่นั่นเอง
“ต่อให้เป็นบริษัทอื่น ก็ไม่พ้นโดนมันบ่นอยู่ดีนั่นแหละค่ะ เผลอ ๆ บ่นมากกว่าเดิมอีก” อรรถกรเอ่ยกลั้วขำอย่างรู้จักนิสัยเพื่อนตัวเองดี ซึ่งคนเป็นน้องอย่างพัชรีนาฎก็รู้จักพี่ชายของตัวเองดีเช่นกัน
“ก็จริงค่ะ เพราะงั้นพริกทนโดนบ่นต่อไปก็ได้ ยังไงพริกก็คุ้มอยู่ดี” หญิงสาวยิ้มกรุ่มกริ่มพลางยักคิ้วหน่อย ๆ อย่างคนขี้เล่น ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือ ครั้นเห็นว่าสายมากแล้วจึงเอ่ยชวนร่างสูงออกไปทำกิจกรรมตามที่นัดหมายกันเอาไว้ “ใกล้เที่ยงแล้ว พริกว่าเราออกไปกันดีว่าค่ะ”
“ไปค่ะ รถพี่จอดอยู่ข้างหน้า”
อันที่จริงนัดวันนี้ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก เป็นความประสงค์ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่อยากให้หนุ่มสาวได้ใช้เวลาด้วยกันก่อนจะถึงวันหมั้นหมาย ถึงแม้อรรถกรกับพัชรีนาฎจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว หากก็รู้จักในฐานะน้องสาวของเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทางผู้ใหญ่จึงเห็นพ้องตรงกันว่าอยากให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้กันในสถานะอื่น ซึ่งอรรถกรมองว่าเป็นไปได้ยาก ทว่าก็ยอมทำตามความต้องการของคนที่บ้าน
และเขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้พูดคุยเรื่องสำคัญกับเธอด้วย
เนื่องจากเป็นเวลาใกล้เที่ยง สถานที่ที่พัชรีนาฎเลือกแวะเป็นที่แรกจึงเป็นร้านอาหาร หญิงสาวเลือกเป็นร้านอาหารไทยกึ่งอีสาน ไม่ได้หรูหรามาก แต่มีห้องแอร์ให้บริการ
“พี่อรรถอยากทานอะไรคะ” เธอถามขณะเปิดแฟ้มเมนูไปมา ไล่สายตาอ่านรายการอาหารที่มีมากมายจนเลือกไม่ถูกเลยว่าจะกินอะไรดี ใจเธออยากกินส้มตำไก่ย่าง หากก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะกินได้หรือเปล่า
“น้องพริกเลือกเลยค่ะ พี่กินได้หมด”
“แล้วถ้าพริกบอกว่าอยากกินส้มตำล่ะคะ”
“ก็กินส้มตำไงคะ”
“พี่อรรถกินได้เหรอคะ” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ ก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นคนกินง่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าง่ายขนาดไหน
“ทำไมพี่จะกินไม่ได้ล่ะคะ” อรรถกรถามกลั้วหัวเราะ มองใบหน้าสวยของคนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นหน่อย ๆ แค่ส้มตำ ทำไมเขาจะกินไม่ได้ล่ะ “พี่กินได้ค่ะ น้องพริกสั่งมาเลย อยากกินกี่อย่างก็สั่งมาเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะกินไม่หมด เดี๋ยวพี่กินช่วย”
“พูดจริงนะคะ” หญิงสาวตาวาววัวเป็นประกาย เพราะนี่แหละคือสิ่งที่เธอต้องการ
เจ้าของเครื่องหน้าคมคายที่ยังประดับรอยยิ้มพยักหน้า “เต็มที่เลยค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น พัชรีนาฎก็หันไปหาพนักงานที่ยืนรอแล้วสั่งอาหารสองเมนูแรกที่เล็งไว้ ก่อนเมนูที่สาม สี่ หา หก จะตามไปติด ๆ หญิงสาวหันกลับมามองผู้ร่วมโต๊ะ ครั้นเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีว่าจะทักท้วงการสั่งอาหารของเธอ ทั้งสีหน้ายังดูสบาย ๆ คล้ายไม่ได้คิดอะไร เธอจึงหันกลับไปหาพนักงานคนเดิม แล้วสั่งปิดท้ายไปอีกหนึ่งเมนู
“เอ่อ ขอโทษนะคะ พี่ใช่พี่พริกซี่หรือเปล่าคะ” หลังจากลูกค้าสาวพับเมนูส่งคืน พนักงานสาวเอ่ยถามทั้งที่แน่ใจ มือสั่นนิดหน่อยตอนที่จดออร์เดอร์ เพราะนาน ๆ จะได้เจอยูทูบเบอร์ที่ตนติดตามมารับประทานอาหารที่ร้าน
“ใช่ค่ะ” พัชรีนาฎยิ้มรับอย่างเป็นมิตร ค่อนข้างชินกับการโดนทักทำนองนี้ ด้วยรู้ตัวดีว่าตนมีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง
“หนูขอถ่ายรูปได้ไหมคะ คือหนูเป็นแฟนคลับพี่ ติดตามช่องพี่มานานมาก ๆ”
“นานจริงหรือเปล่า” อินฟลูฯ สาวแกล้งถามยิ้ม ๆ ไม่ได้ทีท่าทีถือตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“จริงค่ะ หนูดูพี่ตั้งแต่คลิปที่พี่ไปเที่ยวเกาะเสม็ดคนเดียว หนูชอบมากเลยค่ะที่พี่ไปต่อราคาของฝาก หนูยังทึ่งไม่หายเลย พี่ต่อราคายังไงแม่ค้าถึงลดให้เกินครึ่งของราคาที่เสนอมาตอนแรก”
พัชรีนาฎหลุดขำเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเธอจำได้ว่าอกหักจากแฟนที่คบตอนเรียนมหา’ลัย รู้สึกเบื่อ ๆ เลย อยากลองไปเที่ยวคนเดียวสักครั้ง จึงตัดสินใจไปเกาะเสม็ดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มาก เธอไปเหมือนนักท่องเที่ยวปกติ มีเพื่อนคู่ใจคือกล้องและขาตั้งกล้อง ขณะกำลังเดินเที่ยวเพลิน ๆ ระหว่างทางก็มีคนมาเสนอขายของแฮนด์เมด ซึ่งเธอก็เห็นว่าน่ารักดี ทว่ายังไม่ได้ถามราคา คนขายก็พูดราคาที่ทำให้เธอเบิกตากว้างขึ้นมา
แพงเกินเรื่อง!
ตอนนั้นพัชรีนาฎรู้ตัวทันทีว่ากำลังโก่งราคา หากก็มีเวลามากพอที่จะลองเจรจากับคนขาย หญิงสาวจึงงัดสกิลการต่อรองราคาออกมาใช้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้ผล ทว่าต่อรองไปต่อรองมาก็เริ่มสนุก รู้ตัวอีกทีเธอก็ได้พวงกุญแจมาในราคาถูกกว่าที่คนขายเสนอมาตอนแรกมากกว่าครึ่ง โดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องซื้อสองโหลขึ้นไป
หลังซื้อเสร็จเธอก็ดีใจ ด้วยคิดว่าตัวเองชนะในเกมการต่อราคา ทว่าพอคลิปเธอถูกเผยแพร่ออกไป และมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น เธอจึงรู้ตอนนั้นเองว่าคนที่แพ้ก็คือเธอนั่นแหละ!
ได้ราคาถูกก็จริง แต่ต้องซื้อมากถึงยี่สิบสี่ชิ้น!!
ที่สำคัญเลยก็คือ...ซื้อมาทำไม เพื่อนก็ใช่ว่าจะมีให้ฝากเยอะ พ่อ แม่ พี่ชายยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่ใช้ของจุกจิกกันหรอก
คิดแล้วก็ได้แต่ขำตัวเอง ถือว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิต