สวิฟต์ วรานนท์
"บึ้นๆ...บึ้นๆ..." เสียงรถจักรยานยนต์ไทยประดิษฐ์ที่ถูกแต่งขึ้นจากเด็กหนุ่มผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าสนามแข่งมอร์เตอร์คอร์สระดับโลก กำลังบิดคันเร่งเพื่อทดสอบเครื่องยนต์ที่ตัวของเขาพึ่งแต่งขึ้นเสร็จใหม่ๆ เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ท่ามกลางรถจักรยานยนต์นับร้อยคันบนท้องถนนสายเอเชียยามค่ำคืน เด็กหนุ่มสาวจำนวนนับร้อยชีวิตต่างส่งเสียงเชียร์และให้กำลังใจเขาอยู่เป็นระยะ ที่สำคัญตัวเขาได้รับฉายาให้เป็น เจ้าพ่อรถแต่งแห่งเอเชีย ที่ได้รับฉายานี้เพราะสถานที่หลักในการแข่งรถจักรยานยนต์ของเขากับกลุ่มเพื่อนก็คือถนนสายเอเชียแห่งนี้นั้นเอง ช่วงประมาณเวลาเที่ยงคืนถึงประมาณตีสองครึ่งของทุกคืน สวิฟต์ วรานนท์พร้อมด้วยกลุ่มเพื่อนๆ หญิงชายหลายร้อยชีวิตต่างนัดหมายมารวมตัวกัน ณ ทีนี้เป็นประจำ การรวมตัวของพวกเขาในแต่ละครั้งได้สร้างความวุ่นวายเป็นที่รำคาญของชาวบ้านละแวกนั้นอยู่เสมอๆ ทำให้ชาวบ้านพากันแห่แจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจัดการทุกครั้งไปแต่ก็ไม่เป็นที่เข็ดขยาดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทุกค่ำคืนนายสวิฟต์ยังคงนัดพ้องเพื่อนมาร่วมประลองความเร็วอยู่ร่ำไป
วันนี้ก็เป็นเช่นทุกวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 80 นายเข้าจับกุมกลุ่มพวกเขากันจ้าละหวั่น เสียงหวอจากรถสายตรวจส่งเสียงดังขึ้นหลังจากที่เข้าจับกุมนายสวิฟต์และพวกกว่าร้อยชีวิตที่สามารถหนีรอดไปได้อีกกว่าร้อยชีวิตเช่นกัน นายสวิฟต์ถูกนายตำรวจหนุ่มล็อกแขนจับกุมขึ้นรถยนต์ด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"รีบๆ พาพวกผมไปโรงพักเร็วๆ เถอะพี่เสียเวลาผมแต่งรถครับ" นายสวิฟต์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเกิดความเคยชินกับการถูกจับโดยมีน้าสาวคอยไปประกันตัวออกมาทุกครั้ง ได้สร้างความลำบากใจแกน้าสาวกับคนในครอบครัวของเขาเสมอมา
"ฉันถามแกจริงๆ นะ แกไม่คิดจะทำอะไรดีๆ ให้ฉันได้ภูมิใจในตัวแกเลยใช่มั๊ย ฉันจะส่งเรียนก็ไม่เรียน จะส่งไปอยู่กับแม่ที่ตายก็ไม่ไป แกจะอยู่ทำให้พ่อแกทรมานใจไปถึงไหน ฉันเองก็ต้องมาประกันตัวให้แกทุกคืน ฉันก็เบื่อเป็นนะหากเป็นไปได้ฉันไม่อยากจะรับรู้ไม่อยากสนใจแกเลยด้วยซ้ำแต่มันติดตรงที่ว่าแกเป็นลูกชายของพี่ชายของฉันเท่านั้นแหละ ออกมาจากคุกได้ก็อย่าไปหาเรื่องเข้าไปอีกล่ะฉันจะไม่ไปประกันตัวแกอีกแล้วนะจำไว้!!" น้าสาวของเขาร่ายยาวจนเขาต้องใช้มือสองข้างขึ้นอุดหูอย่างรำคาญ
"พูดจบแล้วใช่มั๊ยครั้งต่อไปน้าก็ไม่ต้องสนใจสวิฟต์อีกก็ได้ แค่นี้ใช่มั๊ยผมจะได้ไป" น้ำเสียงและท่าทางของนายสวิฟต์ฟึดฟัดอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้น้าสาวของเขาอดที่จะฟาดฝ่ามือเรียวเล็กเข้าที่แก้มซ้ายของเขาไม่ได้
เพี๊ยะ!!
"ไอ้สวิฟต์!! แกอย่ามาปากดีกับฉันนะ แกมันก็แค่หลานนอกคอกเท่านั้นแหละ ที่ฉันพูดฉันสอนแกมันก็เป็นบุญหัวแกมากอยู่แล้ว ยังจะมาปากดีกับฉันอีก ไป!! จะไปไหนก็ไป! ไปให้ไกลลูกตาฉันได้ยิ่งดี อย่าให้ฉันเห็นแกที่บ้านอีกแล้วกัน! ไปเลยนะ!" น้ำเสียงกับการกระทำของน้ำสาวของเขาส่งผลให้นายสวิฟต์มีอาการโกรธสุดขีดง้างมือใหญ่ขึ้นเตรียมจะฟาดใส่ผู้เป็นน้าสาวแต่ก็ถูกอีกมือคว้าข้อแขนเขาเอาไว้ทัน
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ! แกมันบ้าไปแล้ว.. นี่ขนาดกับน้าแกยังคิดจะทำร้ายได้ แกนี่มันเลวจริงๆ!!" สวิฟต์สลัดมืออีกคนออกโดยไม่โต้ตอบอะไรแล้วก็เดินจากไปกับเพื่อนๆ ของเขาที่ยืนรอที่ด้านหน้าสถานีตำรวจ ซึ่งผู้ชายคนที่มารับฝ่ามือเขาเมื่อกี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพ่อของสวิฟต์นั่นเอง
"แกจะไปไหน! ถ้าแกไปไม่ฟังคำสั่งของฉันอีกแล้วล่ะก็ ฉันจะถือว่าแกได้ตัดสินใจที่จะออกไปจากชีวิตของพ่อแกคนนี้!! ไปสิ! ไปเลย!.." และแล้วนายสวิฟต์ก็ได้เดินจากไปจริงๆ โดยมีเสียงของคนเป็นพ่อตะโกนไล่หลังอยู่เป็นระยะ โดยที่นายสวิฟต์ไม่หันหลังกลับมามองคนเป็นพ่อหรือโต้ตอบอะไรเลย กระทั่งเขากับเพื่อนๆ ได้ขี่จักรยายนต์ขับออกไปจากบริเวรนั้นทันที
ในห้องเช่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในสลัมที่มีแต่ที่พักสภาพย่ำแย่ กลิ่นน้ำเน่าส่งกลิ่นโชยมาเข้าจมูกของนายสวิฟต์เป็นระยะ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายโพรงจมูกเท่าที่ควรขณะที่กลุ่มคนทางด้านมุมห้องกำลังเคลิบเคลิ้มมีความสุขกับสิ่งต้องห้ามอย่างคุ้นเคย นายสวิฟต์นั่งมองเพื่อนชายที่กำลังส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขทั้งที่ไม่มีสาเหตุทำให้เขาต้องส่ายหัวกับอาการที่เพื่อนๆ เป็น
"มึงมองอะไรนักหนาวะ รึว่าอยากจะลองเอาสักหน่อยป้ะล่ะ?!" หนึ่งในเพื่อนแก๊งเดียวกันกำลังใช้สลิ้งดูดเอาของเหลวบ้างอย่างจากหลอดแก้วแล้วส่งมาทางเขาแต่นายสวิฟต์กลับปฏิเสธและลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
"กูมีเรื่องที่ทำแล้วสนุกกว่าสิ่งที่พวกมึงเล่นอีกโว้ย.. กูคงอยู่กับพวกไม่ได้หรอกว่ะ ไม่ใช่แนวของกู กูไปละค่อยเจอกันใหม่นะเว้ย" เขาลาเพื่อนฝูงแล้วเดินไปยังรถจักรยานยนต์ของเขาที่จอดอยู่ตรงปากซอยสลัมเพราะทางเข้าห้องเช่ามันแคบจนไม่สามารถนำรถใดๆ เข้ามาด้านในได้ก่อนที่เขาจะะขับรถจักรยานยนต์ส่วนตัวออกไปยังบ้านเพื่อนสนิทอีกคนของเขาที่คิดว่าน่าจะดีกว่าสลัมแห่งนี้มาก
นายสวิฟต์ใช้เวลาในการขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจตระเวนหาบ้านของเพื่อนหลายต่อหลายคนแต่ก็ไม่มีบ้านเพื่อนคนใดที่ถูกใจเขาเลยแม้แต่คนเดียวเพราะแต่ละที่ที่เขาไปนั้น บ้างก็กำลังเสพสิ่งเสพติด บ้างก็กำลังสำมะเรเทเมา บ้างก็ไปต่อยังสถานบันเทิงที่มีคนพลุกพล่านแล้วตอนนี้ก็เหลือเพื่อนที่นับว่าสนิทกับเขาอยู่คนหนึ่งเขาจึงบึ่งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปหาเพื่อนคนนั้นในทันทีด้วยความหวัง แล้วทันทีที่เขาไปถึงนายสวิฟต์ได้จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ยังลานจอดรถของคอนโดหรูซึ่งเป็นสถานที่พักของเพื่อนสนิทคนนี้ นี่เป็นครั้งนับไม่ถ้วนที่เขาเคยมานอนค้างคืนที่คอนโดหรูแห่งนี้ค่อนข้างบ่อยจนรปภ.หน้าลิฟต์และสาวๆ ตรงเคาน์เตอร์บริการต่างส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้กับเขาด้วยความเสน่หาในรูปร่างกำยำและรอยยิ้มบาดใจของนายสวิฟต์ เมื่อเขาขึ้นมาถึงได้มายืนบริเวณหน้าห้องพักคอนโดหรูของเพื่อนก่อนที่เขาตัดสินใจเคาะประตูโดยที่ไม่ได้โทรนัดหมายกับเพื่อนคนนี้มาก่อนแต่อย่างใด
"อ้าวสวิฟต์ มึงมาได้ยังไงวะน่าจะโทรบอกกูก่อน" เพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจในขณะที่ตัวเขาเองกำลังอยู่ในสภาพใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายส่วนล่างอยู่
"กูขอโทษนะโว้ย ที่ไม่โทรบอกมึงก่อนแต่กูไปบ้านคนอื่นมาหมดแล้วนะเว้ยเหลือแต่ห้องมึงคนเดียวนี่แหละที่กูพอจะซุกหัวนอนได้ กูขอนอนด้วยสักคืนได้ป่าววะ หรือว่ามึงไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะเว้ย!" ไม่ทันที่นายสวิฟต์จะพูดจบดีก็มีหญิงสาวสวยเดินมายังประตูห้องด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเช่นกันพอจะทำให้สวิฟต์เข้าใจทุกสิ่ง
"ใครหรอหล่อจัง สนใจอยากมีความสุขกับพวกเราม๊ยคะ" สวิฟต์รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของหญิงสาวที่มีสีหน้าแววตาเย้ายวนอารมณ์ของเขาก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทเหมือนเป็นการตั้งคำถาม
"มึงอยากป้ะล่ะ ถ้ามึงอยากก็เข้ามา" หลังจากสิ้นคำของเพื่อนสนิท นายสวิฟต์ถึงกับยิ้มที่มุมปากแล้วเข้าจู่โจมหญิงสาวแสนสวยด้วยความเร่าร้อนทันที ส่วนทางเพื่อนสนิทก็เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนที่แสดงต่อหญิงสาวที่ตัวเขาเองเพิ่งมีความสุขด้วยไปหมาดๆ ขณะที่สวิฟต์กำลังจู่โจมหญิงสาวจนตัวเขากับหญิงสาวร่างบางเปลือยเปล่าไร้สิ่งปกปิดร่างกาย ไม่กี่นาทีต่อมานายสวิฟต์ก็ได้มอบของสงวนแก่หญิงสาวจนสมความตั้งใจไปหลายรอบ แล้วนอนหลับไปอย่างมีความสุขพร้อมกับเพื่อนสนิทข้างกาย
นี่เขาคิดดีแล้วใช่มั๊ยที่ตัดสินใจก้าวขาออกมาจากบ้านจริงๆ ในครั้งนี้