3.คำพูดที่บาดลึก กับความลับที่กัดกินหัวใจ

1617 คำ
“คนจริงเขาไม่เดือดร้อนหรอก ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนแก้ตัวนี่” หนูยิ้มหน้าชาเธอรู้ว่า ไม่ว่าพูดอะไรตอนนี้ก็จะกลายเป็นข้อแก้ตัวไร้สาระ ในสายตาของเขาอยู่ดี แพรวหันมาจับมือหนูยิ้ม “อย่าสนใจเลยนะยิ้ม ฉันขอโทษแทนเจษด้วย เขามักปากร้ายแบบนี้แหละ” หนูยิ้มฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอ “ไม่เป็นไรแพรว…ฉันชินแล้ว” ประโยคสุดท้ายเธอพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับใคร เพราะหัวใจเธอเจ็บชินชาไปหมดแล้ว หลังจากแยกย้ายเข้าห้องเรียน หนูยิ้มเดินไปที่ห้องน้ำหญิง เธอมองเงาตัวเองในกระจก ใบหน้าซีดขาวดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้เมื่อคืน “แกมันแย่จริงๆ หนูยิ้ม…” เธอกระซิบกับตัวเอง เสียงสั่นพร่า “ทั้งอ่อนแอ ทั้งโง่ แล้วยังต้องมานั่งรับคำด่าพวกนั้นอีก” เธอกำมือแน่นหัวใจปวดร้าวเกินบรรยาย แต่ก็รู้ว่าต้องทนต่อไป เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือแพรว เพื่อนที่แสนดีของเธอต้องไม่รู้ความจริง ในขณะเดียวกันเจษที่เดินออกจากกลุ่มเพื่อน ก็หยุดยืนอยู่ข้างตึก สายตาหรี่ลงเมื่อคิดถึงภาพเมื่อคืน แม้ปากจะด่าแรง ดูถูกเธอจนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรี แต่ในส่วนลึกที่สุด เขากลับยังจำสัมผัสนั้นได้ไม่ลืม ความเกลียดปะปนกับความหวั่นไหวที่ไม่อาจยอมรับ เสียงกริ่งเรียกเข้าคาบดังขึ้น หนูยิ้มเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วฝืนเดินกลับห้องเรียน เธอรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยคำด่า และสายตาดูถูกจากเจษอีกมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรความลับนี้จะต้องตายไปพร้อมกับเธอ เพราะถ้าวันหนึ่งแพรวรู้ความจริงขึ้นมา มิตรภาพที่มีค่าที่สุดในชีวิตคงไม่มีวันกลับคืนมาได้อีก บ่ายวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว นักศึกษาส่วนใหญ่กลับหอพักหรือแวะร้านกาแฟกันหมด บริเวณอาคารเรียนคณะบริหาร จึงเงียบสงัดกว่าปกติ หนูยิ้มเดินช้าๆถือแฟ้มรายงานในมือเธอถูกอาจารย์สั่งให้เอาเอกสารไปฝากเจษ ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มโครงการเดียวกัน ความจริงเธออยากหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง แต่คราวนี้ปฏิเสธไม่ได้ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เมื่อเดินมาหยุดหน้าห้องชมรมที่เจษนัดไว้ มือบางกำแน่นพยายามเรียกสติ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ภายในห้องกว้างมีเพียงร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นถึงข้อศอก นั่งเอนกายบนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ แต่แววตาคมกริบที่ตวัดขึ้นมามองทันที ทำให้หนูยิ้มรู้สึกเหมือนถูกตรึงเอาไว้ “เอามาสิ” เสียงทุ้มสั่งห้วนๆ หนูยิ้มสูดหายใจลึกเดินเข้าไปวางแฟ้มเอกสารบนโต๊ะตรงหน้าเขา เธอพยายามทำทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุดเพื่อจะได้รีบออกไป แต่เสียงหัวเราะเบาๆของเจษกลับดังขึ้น “ทำไม? กลัวอะไรกูนักหนาหรอยิ้ม” หนูยิ้มชะงัก หันมาสบตาเขาด้วยความลังเล “ฉันแค่มาส่งงาน ไม่อยากมีปัญหา” “ปัญหา?” เจษยกคิ้ว ดวงตาเป็นประกายเย็นเยียบ “มึงเป็นคนสร้างปัญหาเองทั้งนั้น แล้วจะกลัวอะไรอีกวะ?” “ฉันไม่อยากทะเลาะกับนาย” หนูยิ้มพยายามเอ่ยเสียงเบาๆ เจษหัวเราะหยัน “ไม่อยากทะเลาะ…แต่ยอมขึ้นเตียงกับแฟนเพื่อนนี่กล้า?” เสียงนั้นเย็นชาจนเลือดในกายหนูยิ้มแข็งตัว เธอรีบหันซ้ายขวาแม้รู้ว่าห้องว่างเปล่า “อย่าพูดแบบนั้น ถ้าใครมาได้ยินเข้า...” “ก็จริงไม่ใช่เหรอ?” เขาตวัดเสียงแทรกทันที “หรือว่ามึงจะเถียงว่ามันไม่เกิดขึ้น? อย่าทำหน้าซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องเลยหนูยิ้ม ผู้หญิงอย่างมึงมันไม่มีทางเป็นผู้หญิงที่ดีหรอก” หนูยิ้มกัดริมฝีปากแน่น น้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นความผิดพลาด” “ความผิดพลาดที่มึงต้องการใช่ไหม?” เจษโน้มกายเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนๆของเขาแทบจะสัมผัสแก้มเธอ “มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ ว่ามึงแอบมองกูมาตลอด หรือมึงจะเถียงว่ามันไม่จริง?” “ไม่จริง!” หนูยิ้มโพล่งเสียงสั่นสะท้าน “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น นายมันหลงตัวเองต่างหาก” เจษหัวเราะหึๆในลำคอ ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เพราะกูไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนรักของแพรว จะสกปรกได้ขนาดนี้ยังไงล่ะ” ความเจ็บที่ทนไม่ได้ หนูยิ้มเผลอยกมือขึ้นปาดน้ำตา ความเจ็บปวดในใจเอ่อล้นจนแทบจะระเบิดออกมา “พอเถอะ…หยุดพูดทำร้ายยิ้มสักที ยิ้มผิด ยิ้มยอมรับ แต่ได้โปรดหยุดดูถูกยิ้มแบบนี้ได้มั้ย” “หยุด?” เจษยิ้มเย้ย “ทำไมกูต้องหยุดล่ะ? มึงทำเรื่องต่ำๆไว้เอง จะให้กูทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ” หนูยิ้มส่ายหัว “ฉันไม่เคยอยากแย่งนายจากแพรวเลยสักนิด” “แล้วเมื่อคืนมันคืออะไร?” เจษคำรามเสียงต่ำ ใบหน้าเฉียดใกล้จนเธอต้องถอยหลังไปติดผนัง “หรือว่ามึงจะโทษว่าเพราะเหล้า? ผู้หญิงแบบมึงมันก็อ้างแต่ข้อแก้ตัวเดิมๆ” “เจษ…” เสียงเธอแผ่วเบา “ฉันขอร้อง…อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกเลย” เขากวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเปี่ยมไปด้วยการเหยียดหยาม “อยากให้กูเชื่อว่ามึงเป็นคนดีนักใช่ไหม แต่บอกตรง ๆนะต่อให้มึงกราบกูตรงนี้ กูก็ไม่มีวันมองมึงเป็นอย่างอื่น นอกจากผู้หญิงใจง่ายที่ยอมให้ผู้ชายเอาได้แม้กระทั่งแฟนเพื่อน” หนูยิ้มปิดตาน้ำตาไหลพราก หัวใจเหมือนถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ คำพูดของเขาแต่ละคำโหดร้ายเกินกว่าจะทนรับ แต่ท่ามกลางความเจ็บนั้น เธอกลับได้ยินเสียงหัวใจอีกเสียงหนึ่งที่ตอกย้ำความจริงว่าลึกๆแล้ว เธอก็ยังรู้สึกบางอย่างต่อเขา แม้จะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้นก็ตาม เจษมองภาพหญิงสาวที่ยืนสะอื้นตรงหน้า ใจหนึ่งรู้สึกสะใจที่ได้เห็นเธอเจ็บปวด แต่อีกใจกลับแปลกประหลาด ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกดทับจนหายใจไม่ออก เขากัดฟันแน่นหันหลังเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับมา ทิ้งไว้เพียงร่างบางที่ทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจแตกสลาย หนูยิ้มกอดอกตัวเองแน่นร้องไห้สะอึกสะอื้นในห้องว่าง เธอรู้แล้วว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความลับคืนนั้นก็จะยังคงเป็นเหมือนตราบาปที่เจษใช้เหยียบย่ำเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสิ่งที่น่ากลัวกว่าคำด่าของเขาคือ… ความจริงที่ว่า เธอไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้สั่นไหวในทุกครั้งที่สบตากับผู้ชายที่เกลียดเธอเข้าไส้คนนี้เลย กว่าจะจัดการกับความรู้สึกได้หนูยิ้มเดินออกมาจากห้องนั้น มาเจอกับกลุ่มเพื่อนพอดี “หนูยิ้ม ไปทานข้าวกัน” แพรววิ่งมากอดแขนหนยิ้มแล้วลากไปหาเพื่อน ขาเธอแทบไม่มีแรงเมื่อเห็นเจษยืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนด้วย “ไม่ดีกว่า ยิ้มยังไม่หิว” ยิ้มพยายามหันหลังให้แต่โดนแพรวดึงแขนไว้ “ได้ไง เป็นเพื่อนกันก็ต้องไปด้วยกันสิ” ยิ่งคำพูดนั้นของแพรวยิ่งทำให้หนูยิ้มจุกจนพูดไม่ออก น้ำตาคลอเบ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ “แต่ยิ้ม../ ถ้าหนูยิ้มไม่ไปแพรวจะโกรธมากนะ” “อื้อ..ก็ได้” หนูยิ้มจำใจเดินไปกับแพรวเธอกอดแขนหนูยิ้มไว้ไม่ยอมปล่อย ความอึดอัดทำให้เธอแทบไม่อยากเดินข้างแพรวเลย เพราะอีกฝั่งของแพรวเจษก็โอบเอวแพรวไว้ไม่ปล่อยเหมือนกัน หนูยิ้มจึงหาทางแยกออกจากแพรว ด้วยการเรียกเพื่อนชายอีกคนที่เดินมาด้วยกัน “วิท!รอยิ้มด้วยสิ” หนูยิ้มหันมาหาแพรว “ยิ้มว่ายิ้มไปหาวิทดีกว่า ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ” แพรวยิ้มให้หนูยิ้ม เธอจึงเผลอไปสบตาเข้ากับเจษโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาที่เหมือนกับจะฆ่าเธอตอนนี้ให้ได้ หนูยิ้มจึงรีบวิ่งไปหาวิทที่เดินนำหน้ากับเพื่อนอีกสองคน “เพื่อนผู้หญิงมีแต่ไม่เรียก ดันเรียกเพื่อนผู้ชาย” เจษบ่นงึมงำเบาๆในลำคอ ไม่ได้เสียงดังมากแต่แพรวก็พอจะได้ยินว่าเจษพูดอะไร เธอได้แต่สายหน้าเบาๆไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเจษกับหนูยิ้มก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันประจำอยู่แล้ว เสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อน ดังระงมอยู่ภายในร้านอาหารเล็กๆแถวมหาวิทยาลัย บรรยากาศควรจะเต็มไปด้วยความสุขสบายใจหลังเลิกเรียน แต่สำหรับหนูยิ้ม มันกลับอึดอัดแทบหายใจไม่ออก ยิ่งเวลานี้เธอนั่งอยู่ในวงกลมที่มีเจษนั่งหันหน้าตรงข้าม ความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินมาทับอกยิ่งชัดเจน เธอไม่กล้าสบตาเขาเลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่เผลอสายตาไปเจอกับแววตาคมคู่นั้น สิ่งที่สะท้อนกลับมามีเพียงความเกลียดชัง รังเกียจ และดูถูกอย่างไม่ปิดบัง มันไม่ใช่แค่การทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นเหมือนมีดคมที่แทงซ้ำๆลงไปกลางใจเธอ >“ไอ้เจษ มึงช่วยยื่นน้ำมาให้กูหน่อยดิ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม