4.ความเจ็บปวดที่กลั้นไม่อยู่

1728 คำ
“ไอ้เจษ มึงช่วยยื่นน้ำมาให้กูหน่อยดิ” เสียงวิทดังขึ้นตัดบรรยากาศ แต่เจษกลับปรายตามองแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้าหนูยิ้มแทน ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกระตุกยิ้มช้าๆ “หยิบเองสิวะ หรือไม่ก็ให้คนที่มันนั่งเฉยๆ ไม่ทำห่าอะไรอย่างหนูยิ้มหยิบให้ก็ได้” เสียงหัวเราะบางเบาจากเพื่อนๆดังขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะขำขัน หากเพราะเกรงใจและพยายามกลบความกระอักกระอ่วน ทว่าหนูยิ้มกลับหน้าชาวาบ หัวใจหดเกร็งทันทีเมื่อกลายเป็นเป้าหมาย เธอพยายามฝืนยิ้ม มือน้อยๆเอื้อมไปยกแก้วส่งให้วิท แต่ทันทีที่เธอวางแก้ว เจษก็พ่นคำพูดที่เหมือนตบหน้าเธออย่างแรง “ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยมึงก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง นอกจาก...เรื่องอื่นที่มึงถนัด” คำว่า'เรื่องอื่นที่มึงถนัด'หลุดออกมาแบบกดเสียงต่ำจนเหมือนจะเป็นแค่ประโยคที่เพื่อนๆคนอื่นไม่ทันเก็บความหมาย แต่หนูยิ้มรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าของเธอร้อนวาบเหมือนถูกตบด้วยไฟ มือที่กำแก้วแน่นสั่นสะท้านจนเกือบทำแตก แพรวที่นั่งข้างๆเลิกคิ้วมองทันที “เจษ!พูดอะไรของนายเนี่ย ทำไมต้องพูดแรงใส่หนูยิ้มด้วย” เจษหัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองหนูยิ้มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม “ฉันพูดแรงตรงไหนวะแพรวก็พูดตามจริง คนเรามันก็ต้องรู้จักหาประโยชน์ให้กับเพื่อนฝูงบ้าง ไม่ใช่นั่งเป็นตัวถ่วงอยู่เฉยๆแบบนี้” “ยิ้มไม่ได้เป็นตัวถ่วงนะ!” แพรวโต้เสียงแข็ง สีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ หนูยิ้มได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น เพื่อไม่ให้ความจริงหลุดออกไป ความลับของเธอกับเขาเมื่อคืนเธอไม่อยากให้แพรวรู้เด็ดขาด เพราะมันจะทำลายทุกอย่างที่เหลืออยู่ แต่เจษกลับไม่หยุดเขากวาดสายตาคมกริบมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะหลุดหัวเราะเย็นชาออกมาอีกครั้ง “จริงๆจะให้พูดตรงๆเลยก็ได้…กูไม่ชอบขี้หน้าผู้หญิงเสแสร้งอย่างมึงที่สุดว่ะหนูยิ้ม ต่อหน้าเพื่อนก็ทำเป็นใสซื่อเรียบร้อย แต่ใครจะรู้ว่าลับหลังมึงมันจะ...” “เจษ!! พอได้แล้ว” เสียงแพรวตวาดขึ้นทันที แววตาเริ่มไม่พอใจอย่างชัดเจน เพื่อนๆรอบโต๊ะต่างมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก บรรยากาศสนุกๆเมื่อครู่พลันกลายเป็นอึมครึม หนักอึ้งจนแทบจะเอามีดหั่นได้ หนูยิ้มตัวแข็งทื่อ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกเข้ากับผิว เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาไม่ให้หลุดต่อหน้าทุกคน “ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนวะแพรว เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยชอบเพื่อนเธอเลยสักนิด มันทำให้บรรยากาศแย่ตลอดเวลา” เจษยังยืนกรานพ่นคำพูดร้ายๆใส่หนูยิ้มไม่หยุด แพรวถอนหายใจหงุดหงิด “ไม่ชอบก็ไม่ต้องคุยสิ แต่ไม่เห็นต้องมาด่ากันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เลย เจษนายนี่เกินไปแล้วนะ” หนูยิ้มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับแพรวด้วยความรู้สึกผิดแสนสาหัส เธออยากตะโกนบอกออกไปว่าที่เจษทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลอื่น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอเมื่อคืน แต่เธอทำไม่ได้มันจะทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมดของแพรวกับเจษ และเธอจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเอง เจษหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก่อนจะละสายตาเขายังทิ้งประโยคสุดท้าย ที่บาดลึกยิ่งกว่าเดิม “มึงจะปกป้องมันไปทำไมแพรว? ผู้หญิงแบบนี้น่ะ…อย่าไว้ใจมากนักเลย เดี๋ยววันหนึ่งมึงจะเจ็บเอง” เงียบ…เงียบกริบจนทุกคนอึ้ง เสียงหัวใจของหนูยิ้มดังโครมครามในอก ราวกับถูกดึงความลับใกล้แตกออกมา เธอกำมือแน่นก้มหน้าหลบตาทุกคน อย่างไร้เรี่ยวแรง แพรวขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ซักต่อ เพียงแค่เอื้อมมือมากุมมือหนูยิ้มเบาๆ เป็นการปลอบใจ “อย่าไปสนใจคำพูดของเขาเลยยิ้ม นายเจษก็เป็นแบบนี้แหละ ปากร้ายตลอด” หนูยิ้มยิ้มฝืดๆตอบกลับ “อืม…ไม่เป็นไรหรอกแพรว” แต่ในใจเธอกลับเจ็บจนแทบร้องไห้ ทุกคำที่เจษพูดออกมาเหมือนการข่มขู่ แฝงนัยยะเหมือนจะเปิดเผยแต่ก็ยังเก็บงำ บีบคั้นจนเธอแทบจะขาดอากาศหายใจ “หนูยิ้มกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวทุกคนจะพลอยเสียบรรยากาศไปด้วย ” หนูยิ้มรีบคว้ากระเป๋าลุกขึ้น วิ่งออกจากตรงนั้นแต่ไม่ทันได้ก้าวพ้นสายตาคมกริบคู่นั้น ก็ชนเข้ากับแผงอกของใครบางคน ตุ้บ!!ชายหนุ่มรีบคว้าเอวเธอไว้ทันไม่งั้นคงล้มหงายหลังไปแล้ว หนูยิ้มรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้าขึ้นถึงกับปล่อยโฮออกมา กอดผู้ชายคนนั้นไว้แน่น เพื่อนทุกคนต่างตกใจโดยเฉพาะเจษ ที่สีหน้าดูจะไม่พอใจมากกว่าเพื่อน “พี่วาโย!ฮึก~” 'วาโย'วิศวะปี4 หล่อ ร้าย ปากหมา แต่อ่อนโยนอบอุ่นกับหนูยิ้มน้องสาวข้างบ้านทุกครั้งที่เจอหน้า “เป็นอะไร?ร้องไห้ทำไมใครทำหนูยิ้ม บอกพี่ซิ” “ไม่มี หนูยิ้มแค่ปวดหัวมากจนร้องไห้ พี่วาโยไปส่งหนูยิ้มหน่อย” “อืมได้!” วาโยพยุงหนูยิ้มเดินออกไปจากตรงนั้นจนไปถึงรถ หนูยิ้มเอาแต่ร้องไห้เงียบๆไม่มีเสียง มีเพียงร่างที่สะอื้นเบาๆจนวาโยสังเกตได้ แต่ก็ไม่ได้กล้าถามอะไรมากเพราะรู้ว่าหนูยิ้มยังไม่พร้อมที่จะบอกเขา “ขอบคุณนะคะพี่วาโย” “อืม ว่าแต่ไม่มีอะไรจะบอกพี่จริงๆใช่ไหม พี่พร้อมจะรับฟังหนูยิ้มเสมอนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาเมื่อรถจอดสนิท “ไม่มีอะไรค่ะ” “วันหยุดไม่กลับบ้านไปเยี่ยมป้าอิ่มหรอ พี่จะกลับบ้านพอดี ถ้าไปพี่จะแวะมารับ” “ก็ดีเหมือนกันค่ะถ้าว่างหนูยิ้มจะทักไปบอกพี่วาโยนะคะ” ถ้าวันหยุดนี้ว่างจริงๆก็คงดี เพราะเธอเองก็ไม่อยากเจอหน้าเจษ ไม่อยากรับคำด่า หรือสายตาดูถูกอีก “อืมได้ ไว้เจอกันครับ” ค่ำคืนนั้นในห้องว่างเปล่าด้วยร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ภาพแววตาและถ้อยคำของเจษยังดังก้องในหัว เธอรู้แล้วว่านี่คือการลงโทษจากเขา การทรมานเธอในทุกๆวันที่ต้องเผชิญหน้า โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง และนั่นยิ่งทำให้ความลับที่ทั้งสองแบกรับ กลายเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ… #ช่วงสายของมหาลัย บรรยากาศภายในห้องเรียนสายวันนั้นอึมครึม เกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาๆสำหรับหนูยิ้ม เหมือนทุกย่างก้าวของเธอมีดวงตาใครบางคนคอยจ้องมองอยู่เสมอ…สายตาคมกริบของเจษที่แฝงไปด้วยแรงเกลียดชัง และคำเหยียดหยาม แม้ไม่ได้เปล่งเสียงพูด แต่เพียงแค่มุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย กับแววตาที่จ้องต่ำลงมาจากร่างสูง ก็เพียงพอจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกดให้จมดิน เธอพยายามทำเหมือนไม่เห็น พยายามหันหน้าไปทาง แพรว เพื่อนสนิทที่กำลังยิ้มให้กลุ่มเพื่อนในห้อง แต่ในใจกลับปั่นป่วนจนแทบอยากลุกหนี ทว่าก็ทำไม่ได้เธอเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม เพื่อนที่ซ่อนความผิดบาปที่ไม่อาจบอกใครเอาไว้ลึกที่สุด “หนูยิ้ม…ช่วยส่งชีทตรงนั้นมาให้หน่อยสิ” เสียงแพรวดังขึ้น พลันทำให้หญิงสาวรีบหยิบชีทส่งให้เพื่อนสนิท ทั้งที่มือยังสั่นเล็กน้อย ยังไม่ทันจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก เสียงทุ้มต่ำแต่เปี่ยมไปด้วยพิษสงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “อย่าทำเป็นนางฟ้าผู้แสนดีเลย คนที่ทำเรื่องสกปรกอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ทำหน้าใสซื่อแบบนั้นหรอก” หนูยิ้มสะดุ้งเฮือก ใบหน้าชาวาบวูบ ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาจนแทบหยุดหายใจ เธอหันขวับไปมองเจษด้วยแววตาตกใจ เขาพูดเสียงเบาแต่จงใจให้เธอได้ยิน และโชคดีที่เพื่อนๆคนอื่นมัวแต่สนใจงานตรงหน้า “เจษ!” เธอเผลอหลุดเสียงเบาอย่างตื่นตระหนก เขายกคิ้วเยาะเย้ยพลางก้มกระซิบใกล้หู “กลัวอะไรล่ะ…กลัวความจริงมันโผล่มากลางวันแสกๆ หรือไง?” หัวใจหนูยิ้มเต้นรัวเธออยากลุกหนีแต่ก็กลัวแพรวสงสัย สุดท้ายจึงทำได้เพียงกัดฟันนั่งนิ่ง ก้มหน้าจดตัวอักษรในสมุดทั้งที่สมองไม่อาจรับรู้สิ่งใด เลิกเรียนวันนั้น หนูยิ้มรีบเก็บของแล้วเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน เธออยากหนีออกไปให้ไกลจากเจษ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับเธอ เมื่อก้าวพ้นประตูตึกเรียนได้ไม่กี่ก้าว เสียงหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “หนูยิ้ม!” หญิงสาวชะงักหัวใจสั่นระรัว ร่างกายเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ก่อนจะค่อยๆหันไปมอง และพบกับร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเกินกว่าจะลืมได้ กฤต อดีตแฟนเก่าที่เคยทิ้งร่องรอยบาดแผลในหัวใจเธอไว้ เขายืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หนูยิ้มรู้สึกเหมือนร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ กว่าจะเรียกสติกลับมาก็แทบไม่ทัน “ก…กฤต นายมาที่นี่ทำไม?” “ก็ฉันรู้ข่าวว่ายิ้มเรียนอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาหา” เสียงเขาอ่อนนุ่มแฝงด้วยแววตาที่คิดถึง “ฉันอยากคุย อยากอธิบายเรื่องที่ผ่านมา” หญิงสาวเม้มปากแน่น ความทรงจำเก่าๆที่ทั้งเจ็บและขมขื่นถาโถมเข้ามาในหัว เขาเป็นผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักสุดหัวใจ แต่กลับเลือกจะเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ปล่อยให้เธอจมดิ่งอยู่กับน้ำตาและความผิดหวัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม