“ไอ้เจษ มึงช่วยยื่นน้ำมาให้กูหน่อยดิ”
เสียงวิทดังขึ้นตัดบรรยากาศ แต่เจษกลับปรายตามองแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้าหนูยิ้มแทน ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกระตุกยิ้มช้าๆ
“หยิบเองสิวะ หรือไม่ก็ให้คนที่มันนั่งเฉยๆ ไม่ทำห่าอะไรอย่างหนูยิ้มหยิบให้ก็ได้”
เสียงหัวเราะบางเบาจากเพื่อนๆดังขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะขำขัน หากเพราะเกรงใจและพยายามกลบความกระอักกระอ่วน ทว่าหนูยิ้มกลับหน้าชาวาบ หัวใจหดเกร็งทันทีเมื่อกลายเป็นเป้าหมาย
เธอพยายามฝืนยิ้ม มือน้อยๆเอื้อมไปยกแก้วส่งให้วิท แต่ทันทีที่เธอวางแก้ว เจษก็พ่นคำพูดที่เหมือนตบหน้าเธออย่างแรง
“ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยมึงก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง นอกจาก...เรื่องอื่นที่มึงถนัด”
คำว่า'เรื่องอื่นที่มึงถนัด'หลุดออกมาแบบกดเสียงต่ำจนเหมือนจะเป็นแค่ประโยคที่เพื่อนๆคนอื่นไม่ทันเก็บความหมาย แต่หนูยิ้มรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าของเธอร้อนวาบเหมือนถูกตบด้วยไฟ มือที่กำแก้วแน่นสั่นสะท้านจนเกือบทำแตก แพรวที่นั่งข้างๆเลิกคิ้วมองทันที
“เจษ!พูดอะไรของนายเนี่ย ทำไมต้องพูดแรงใส่หนูยิ้มด้วย”
เจษหัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองหนูยิ้มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
“ฉันพูดแรงตรงไหนวะแพรวก็พูดตามจริง คนเรามันก็ต้องรู้จักหาประโยชน์ให้กับเพื่อนฝูงบ้าง ไม่ใช่นั่งเป็นตัวถ่วงอยู่เฉยๆแบบนี้”
“ยิ้มไม่ได้เป็นตัวถ่วงนะ!”
แพรวโต้เสียงแข็ง สีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ หนูยิ้มได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น เพื่อไม่ให้ความจริงหลุดออกไป ความลับของเธอกับเขาเมื่อคืนเธอไม่อยากให้แพรวรู้เด็ดขาด เพราะมันจะทำลายทุกอย่างที่เหลืออยู่ แต่เจษกลับไม่หยุดเขากวาดสายตาคมกริบมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะหลุดหัวเราะเย็นชาออกมาอีกครั้ง
“จริงๆจะให้พูดตรงๆเลยก็ได้…กูไม่ชอบขี้หน้าผู้หญิงเสแสร้งอย่างมึงที่สุดว่ะหนูยิ้ม ต่อหน้าเพื่อนก็ทำเป็นใสซื่อเรียบร้อย แต่ใครจะรู้ว่าลับหลังมึงมันจะ...”
“เจษ!! พอได้แล้ว”
เสียงแพรวตวาดขึ้นทันที แววตาเริ่มไม่พอใจอย่างชัดเจน เพื่อนๆรอบโต๊ะต่างมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก บรรยากาศสนุกๆเมื่อครู่พลันกลายเป็นอึมครึม หนักอึ้งจนแทบจะเอามีดหั่นได้
หนูยิ้มตัวแข็งทื่อ มือที่วางบนตักกำแน่นจนเล็บจิกเข้ากับผิว เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาไม่ให้หลุดต่อหน้าทุกคน
“ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนวะแพรว เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยชอบเพื่อนเธอเลยสักนิด มันทำให้บรรยากาศแย่ตลอดเวลา”
เจษยังยืนกรานพ่นคำพูดร้ายๆใส่หนูยิ้มไม่หยุด แพรวถอนหายใจหงุดหงิด
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องคุยสิ แต่ไม่เห็นต้องมาด่ากันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เลย เจษนายนี่เกินไปแล้วนะ”
หนูยิ้มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับแพรวด้วยความรู้สึกผิดแสนสาหัส เธออยากตะโกนบอกออกไปว่าที่เจษทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลอื่น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอเมื่อคืน แต่เธอทำไม่ได้มันจะทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมดของแพรวกับเจษ และเธอจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเอง เจษหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก่อนจะละสายตาเขายังทิ้งประโยคสุดท้าย ที่บาดลึกยิ่งกว่าเดิม
“มึงจะปกป้องมันไปทำไมแพรว? ผู้หญิงแบบนี้น่ะ…อย่าไว้ใจมากนักเลย เดี๋ยววันหนึ่งมึงจะเจ็บเอง”
เงียบ…เงียบกริบจนทุกคนอึ้ง เสียงหัวใจของหนูยิ้มดังโครมครามในอก ราวกับถูกดึงความลับใกล้แตกออกมา เธอกำมือแน่นก้มหน้าหลบตาทุกคน อย่างไร้เรี่ยวแรง แพรวขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ซักต่อ เพียงแค่เอื้อมมือมากุมมือหนูยิ้มเบาๆ เป็นการปลอบใจ
“อย่าไปสนใจคำพูดของเขาเลยยิ้ม นายเจษก็เป็นแบบนี้แหละ ปากร้ายตลอด”
หนูยิ้มยิ้มฝืดๆตอบกลับ
“อืม…ไม่เป็นไรหรอกแพรว”
แต่ในใจเธอกลับเจ็บจนแทบร้องไห้ ทุกคำที่เจษพูดออกมาเหมือนการข่มขู่ แฝงนัยยะเหมือนจะเปิดเผยแต่ก็ยังเก็บงำ บีบคั้นจนเธอแทบจะขาดอากาศหายใจ
“หนูยิ้มกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวทุกคนจะพลอยเสียบรรยากาศไปด้วย ”
หนูยิ้มรีบคว้ากระเป๋าลุกขึ้น วิ่งออกจากตรงนั้นแต่ไม่ทันได้ก้าวพ้นสายตาคมกริบคู่นั้น ก็ชนเข้ากับแผงอกของใครบางคน ตุ้บ!!ชายหนุ่มรีบคว้าเอวเธอไว้ทันไม่งั้นคงล้มหงายหลังไปแล้ว หนูยิ้มรีบขอโทษก่อนจะเงยหน้าขึ้นถึงกับปล่อยโฮออกมา กอดผู้ชายคนนั้นไว้แน่น เพื่อนทุกคนต่างตกใจโดยเฉพาะเจษ ที่สีหน้าดูจะไม่พอใจมากกว่าเพื่อน
“พี่วาโย!ฮึก~”
'วาโย'วิศวะปี4 หล่อ ร้าย ปากหมา แต่อ่อนโยนอบอุ่นกับหนูยิ้มน้องสาวข้างบ้านทุกครั้งที่เจอหน้า
“เป็นอะไร?ร้องไห้ทำไมใครทำหนูยิ้ม บอกพี่ซิ”
“ไม่มี หนูยิ้มแค่ปวดหัวมากจนร้องไห้ พี่วาโยไปส่งหนูยิ้มหน่อย”
“อืมได้!”
วาโยพยุงหนูยิ้มเดินออกไปจากตรงนั้นจนไปถึงรถ หนูยิ้มเอาแต่ร้องไห้เงียบๆไม่มีเสียง มีเพียงร่างที่สะอื้นเบาๆจนวาโยสังเกตได้ แต่ก็ไม่ได้กล้าถามอะไรมากเพราะรู้ว่าหนูยิ้มยังไม่พร้อมที่จะบอกเขา
“ขอบคุณนะคะพี่วาโย”
“อืม ว่าแต่ไม่มีอะไรจะบอกพี่จริงๆใช่ไหม พี่พร้อมจะรับฟังหนูยิ้มเสมอนะ”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาเมื่อรถจอดสนิท
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“วันหยุดไม่กลับบ้านไปเยี่ยมป้าอิ่มหรอ พี่จะกลับบ้านพอดี ถ้าไปพี่จะแวะมารับ”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะถ้าว่างหนูยิ้มจะทักไปบอกพี่วาโยนะคะ”
ถ้าวันหยุดนี้ว่างจริงๆก็คงดี เพราะเธอเองก็ไม่อยากเจอหน้าเจษ ไม่อยากรับคำด่า หรือสายตาดูถูกอีก
“อืมได้ ไว้เจอกันครับ”
ค่ำคืนนั้นในห้องว่างเปล่าด้วยร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ภาพแววตาและถ้อยคำของเจษยังดังก้องในหัว เธอรู้แล้วว่านี่คือการลงโทษจากเขา การทรมานเธอในทุกๆวันที่ต้องเผชิญหน้า โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง และนั่นยิ่งทำให้ความลับที่ทั้งสองแบกรับ กลายเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ…
#ช่วงสายของมหาลัย
บรรยากาศภายในห้องเรียนสายวันนั้นอึมครึม เกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาๆสำหรับหนูยิ้ม เหมือนทุกย่างก้าวของเธอมีดวงตาใครบางคนคอยจ้องมองอยู่เสมอ…สายตาคมกริบของเจษที่แฝงไปด้วยแรงเกลียดชัง และคำเหยียดหยาม แม้ไม่ได้เปล่งเสียงพูด แต่เพียงแค่มุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย กับแววตาที่จ้องต่ำลงมาจากร่างสูง ก็เพียงพอจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกดให้จมดิน
เธอพยายามทำเหมือนไม่เห็น พยายามหันหน้าไปทาง แพรว เพื่อนสนิทที่กำลังยิ้มให้กลุ่มเพื่อนในห้อง แต่ในใจกลับปั่นป่วนจนแทบอยากลุกหนี ทว่าก็ทำไม่ได้เธอเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม เพื่อนที่ซ่อนความผิดบาปที่ไม่อาจบอกใครเอาไว้ลึกที่สุด
“หนูยิ้ม…ช่วยส่งชีทตรงนั้นมาให้หน่อยสิ”
เสียงแพรวดังขึ้น พลันทำให้หญิงสาวรีบหยิบชีทส่งให้เพื่อนสนิท ทั้งที่มือยังสั่นเล็กน้อย ยังไม่ทันจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก เสียงทุ้มต่ำแต่เปี่ยมไปด้วยพิษสงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อย่าทำเป็นนางฟ้าผู้แสนดีเลย คนที่ทำเรื่องสกปรกอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ทำหน้าใสซื่อแบบนั้นหรอก”
หนูยิ้มสะดุ้งเฮือก ใบหน้าชาวาบวูบ ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาจนแทบหยุดหายใจ เธอหันขวับไปมองเจษด้วยแววตาตกใจ เขาพูดเสียงเบาแต่จงใจให้เธอได้ยิน และโชคดีที่เพื่อนๆคนอื่นมัวแต่สนใจงานตรงหน้า
“เจษ!”
เธอเผลอหลุดเสียงเบาอย่างตื่นตระหนก เขายกคิ้วเยาะเย้ยพลางก้มกระซิบใกล้หู
“กลัวอะไรล่ะ…กลัวความจริงมันโผล่มากลางวันแสกๆ หรือไง?”
หัวใจหนูยิ้มเต้นรัวเธออยากลุกหนีแต่ก็กลัวแพรวสงสัย สุดท้ายจึงทำได้เพียงกัดฟันนั่งนิ่ง ก้มหน้าจดตัวอักษรในสมุดทั้งที่สมองไม่อาจรับรู้สิ่งใด เลิกเรียนวันนั้น หนูยิ้มรีบเก็บของแล้วเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน เธออยากหนีออกไปให้ไกลจากเจษ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับเธอ เมื่อก้าวพ้นประตูตึกเรียนได้ไม่กี่ก้าว เสียงหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“หนูยิ้ม!”
หญิงสาวชะงักหัวใจสั่นระรัว ร่างกายเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ก่อนจะค่อยๆหันไปมอง และพบกับร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเกินกว่าจะลืมได้
กฤต อดีตแฟนเก่าที่เคยทิ้งร่องรอยบาดแผลในหัวใจเธอไว้ เขายืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หนูยิ้มรู้สึกเหมือนร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ กว่าจะเรียกสติกลับมาก็แทบไม่ทัน
“ก…กฤต นายมาที่นี่ทำไม?”
“ก็ฉันรู้ข่าวว่ายิ้มเรียนอยู่ที่นี่ เลยตั้งใจมาหา”
เสียงเขาอ่อนนุ่มแฝงด้วยแววตาที่คิดถึง
“ฉันอยากคุย อยากอธิบายเรื่องที่ผ่านมา”
หญิงสาวเม้มปากแน่น ความทรงจำเก่าๆที่ทั้งเจ็บและขมขื่นถาโถมเข้ามาในหัว เขาเป็นผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักสุดหัวใจ แต่กลับเลือกจะเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ปล่อยให้เธอจมดิ่งอยู่กับน้ำตาและความผิดหวัง