รสนิยมของชนชั้นสูง
ตอน สตรีเดียวกำหราบทั้งกองทัพ
รุ่งอรุณแห่งแสงทองค่อยๆ สาดส่องขึ้นเหนือยอดไม้สูงเสียดฟ้า แย้มประกายสีส้มนวลกระทบเกล็ดหิมะที่ปกคลุมผืนป่าให้ระยิบระยับเป็นประกายราวกับอัญมณี อากาศเย็นยะเยือกแต่กลับสดชื่นบริสุทธิ์ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาเป็นระยะๆ บ่งบอกถึงการกลับมาของชีวิต
เด็กๆ ชาวเมืองสวมชุดฟางถักทออย่างเรียบง่าย บ้างก็แต่งกายห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์เพื่อกันความหนาวเย็น ออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานบนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา พวกเขาหัวเราะกันเสียงใส สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับเมืองที่เคยเงียบสงบเพราะความเจ็บป่วย
ท่านมิวะ สวมชุดขี่ม้าที่อบอุ่น ขี่ม้าคู่ใจออกตรวจตราตามบ้านเรือนต่างๆ ในเมือง ท่านแวะเวียนไปสอบถามอาการป่วยของชาวบ้านและทาสทุกคนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ทุกคนพ้นจากภัยไข้ป่า
ท่านหญิง อุอินะ และทาสหญิงผู้ติดตามหลายคนก็ออกรักษาผู้ป่วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกเธอเดินไปตามบ้านเรือนต่างๆ ตรวจอาการ จ่ายยาสมุนไพรที่ท่านหญิงเก็บมาด้วยตัวเอง และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด แม้จะเหนื่อยล้า แต่แววตาของท่านหญิงกลับเต็มไปด้วยความเมตตาและหวังดี
หลายวันต่อมา ด้วยความเพียรพยายามของท่านหญิง อุอินะ และความร่วมมือของชาวเมือง อาการป่วยจากไข้ป่าก็เริ่มทุเลาลง ชาวบ้าน ทาส และทหารของเมืองที่เคยล้มป่วย ค่อยๆ หายดีกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง เสียงไอและเสียงครวญครางหายไป ถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้มที่กลับคืนมา
ลับหลัง เสียงกระซิบชื่นชมส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ ในหมู่ชาวเมือง ผู้คนต่างสรรเสริญท่านเจ้าเมืองมิวะเป็นดั่งเทพลงมาจุติ ท่านหญิง อุอินะ เป็นดั่งเทพธิดาแห่งการรักษา ทุกคนต่างยกย่องท่านทั้งสองอย่างจริงใจ ความสุขและความหวังกลับคืนสู่เมืองแห่งขุนเขาอีกครั้ง
วันต่อๆมาการก่อร่างสร้างเมืองดำเนินไปอย่างเร่งรีบ เสียงค้อนกระทบหินและเสียงคนงานขยับเขยื้อนดังอื้ออึงตลอดทั้งวัน ท่านมิวะซื้อทาสชายและหญิงมาอีกหลายร้อยคน เพื่อเร่งงานให้คืบหน้าอย่างรวดเร็ว การสร้างปราการกำแพงหินสูงตระหง่านที่ล้อมรอบเมืองเป็นสิ่งแรกที่เร่งด่วนที่สุด
ยามราตรีในห้องนอนใหญ่ของปราสาท
แสงเทียนสีนวลไหวระริก เผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของท่านหญิง อุอินะ ที่กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงใหญ่ มีทาสชายผิวเข้มร่างกำยำคนหนึ่ง กำลังนวดบั้นท้ายและแผ่นหลังของเธออย่างผ่อนคลาย มือของเขาลูบไล้ไปตามผิวเนื้อเนียนนุ่มด้วยน้ำมันสมุนไพรกลิ่นหอมอ่อนๆ
ข้างๆ กัน ท่านมิวะ ผู้เป็นสามีรัก กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง มีทาสหญิงสองคนกำลังนวดแขนและขาให้เขาอย่างอ่อนโยน บรรยากาศในห้องดูเงียบสงบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่หนักอึ้ง
"อุอินะ รู้ไหม ที่เมืองหลวงต้องการให้เราเร่งสร้างเมืองและขยายจำนวนประชากรเช่นนี้มันมีเหตุผล" ท่านมิวะเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความกังวล
ท่านหญิง อุอินะ ครางตอบเบาๆ "อืม! เหตุผลอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่"
"สงครามใหญ่กำลังมา" ท่านมิวะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความจริงจัง
"ข้าศึกไล่ยึดเมืองต่างแดนหลายที่แล้ว หากพวกมันบุกมาถึงดินแดนเรานี้ เมืองแห่งหุบเหวของเราจะเป็นด่านแรกที่ต้องรับมือกับศัตรูที่ยกมาโจมตี"
ท่านหญิง อุอินะ พลิกตัวตะแคงเล็กน้อย มองหน้าสามีด้วยความตกใจ
"หากปราการแห่งหุบเหวนี้พ่ายแพ้... เมืองหลวงก็คงราบคาบไม่ต่างกัน" ท่านมิวะกล่าวต่อ
"ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้รับงบประมาณจากเมืองหลวงอย่างไม่จำกัด เพื่อเตรียมรับมือกับภัยสงครามที่จะมาถึง"
ความเงียบปกคลุมห้องนอนใหญ่ มีเพียงเสียงนวดแผ่วๆ และเสียงลมหายใจของคนทั้งสี่ ท่านหญิง อุอินะ รู้สึกถึงความกังวลที่เข้าครอบงำหัวใจ เธอไม่เคยคิดว่าภัยสงครามจะอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้
สิ้นคำพูดของท่านมิวะไปได้เพียงไม่กี่วัน ความมืดมิดของสงครามก็คืบคลานเข้ามาถึงดินแดนแห่งขุนเขา เช้าวันหนึ่ง แสงแดดยามเช้ายังไม่ทันสาดส่องเต็มที่ กองทัพข้าศึกจากต่างแดนก็ยกทัพมาตั้งค่ายศึกอยู่หน้ากำแพงเมืองที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ เสียงตีกลองรบและเสียงโห่ร้องของเหล่าทหารหาญฝั่งนั้นดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวเมืองที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากภัยไข้ป่า
ท่านมิวะยืนอยู่บนยอดปราสาทสูงตระหง่านริมหน้าผา มองลงไปยังกองทัพข้าศึกที่กำลังจัดทัพอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าของท่านเคร่งเครียด ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่เหล่าศัตรูอย่างไม่ลดละ ข้างกายท่านมีทหารคนสนิทสามสี่นายและนักปราชญ์ที่ปรึกษายืนอยู่ด้วยท่าทางกังวล
"ทหาร" ท่านมิวะเอ่ยเสียงเรียบ แต่หนักแน่น "ประเมินกำลังข้าศึกได้เท่าไหร่"
ทหารคนสนิทคนหนึ่งก้าวออกมา "เรียนท่านเจ้าเมืองขอรับ จากการประเมินคร่าวๆ กองทัพข้าศึกมีปืนใหญ่ถึงสี่สิบกระบอก พลม้าศึกอีกห้าร้อย และพลธนูอีกนับพัน รวมกำลังทหารหาญทั้งหมดน่าจะอยู่ที่สองพันนายขอรับ"
ท่านมิวะขมวดคิ้วแน่น กำลังของข้าศึกนั้นเหนือกว่ากำลังของเมืองนี้หลายเท่านัก
"ท่านเจ้าเมืองขอรับ กำแพงเมืองของเรายังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ หากพวกมันโจมตีเต็มกำลัง เกรงว่าเราจะต้านทานไม่ถึงวัน" นักปราชญ์ที่ปรึกษากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ท่านมิวะยังคงเงียบงัน ดวงตาของท่านยังคงจับจ้องไปที่กองทัพข้าศึก เบื้องล่างเห็นทหารของตนเองที่ประจำการอยู่บนกำแพง มีเพียงหลักร้อย ที่เหลือเป็นชาวบ้านและทาสที่ถือเพียงค้อน ขวาน จอบ เสียม ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างกล้าหาญ
ท่านมิวะมองลงไปอีกครั้ง ตามหุบเขาที่ลดหลั่นกันลงไป ท่านเห็นชาวบ้าน ทาส และทหารทุกคนกำลังคุกเข่า ตะโกนก้องถวายชีวิตพร้อมตาย เสียงของพวกเขาดังก้องกังวานไปทั่วหุบเขา แสดงถึงความกล้าหาญและความจงรักภักดีที่เปี่ยมล้น
ท่านมิวะกำหมัดแน่นจนหน้าสั่น ความโกรธผุดขึ้นมาในใจ เขานึกโกรธเมืองหลวงที่ไม่กล้าส่งกำลังทหารและนายพลนายกองมาช่วยแม้แต่กองเดียว ปล่อยให้เมืองแห่งนี้ต้องเผชิญหน้ากับภัยสงครามเพียงลำพัง
กระนั้นความฉลาดเฉลียวของท่านก็ทำให้คิดทันเมืองหลวง นี่คงเป็นกลศึกที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว การให้เมืองของท่านต้านทานทัพข้าศึก กว่าพวกมันจะยกไปถึงเมืองหลวงกำลังพลคงลดไปมาก การเก็บทหารทั้งหมดเพื่อรักษาเมืองหลวงคงเป็นการดีที่สุดที่ต้องไม่เสียดินแดน นั่นก็แลกกับหมากสำคัญ นั่นคือตัวท่านมิวะที่ต้องสละชีพ ฆ่าข้าศึกให้ได้มากที่สุดก่อนตาย และหมากนั้นยังรวมถึงชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงที่บริสุทธิ์ที่ต้องตายตกไปตามกัน
ท่านเจ้าเมืองนิ่งงันยิ่งกว่าภูผาหินที่ย่ำอยู่เสียอีก ท่านขบคิดอย่างสุดกำลังเพื่อหาวิธีรักษาชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด สายตาของท่านเหลือบไปเห็นร่างเล็กๆ ของสตรีนางหนึ่ง กำลังกางร่มเดินออกจากกำแพงเมืองไปเพียงลำพัง
อุอินะ! ท่านเจ้าเมืองร้องตกใจด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้ำตาชายชาตินักรบคลอเบ้า