พี่เกียร์ไม่ฟังเหตุผลฉันซักนิด เพราะเขารู้นิสัยแฟนเก่าอย่างนั้นเหรอ แต่ยัยนั่นก็ไม่ได้นิสัยดีเลยนะ หรือว่าพี่เกียร์ไม่รู้ว่าแฟนเก่าร้าย ก็จะดูเป็นเด็กน้อยในนิทานไปรึเปล่า
แค่เจอกันครั้งเดียวฉันยังเกลียดพวกนั้นเข้าไส้ อีกอย่างฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายโดนกระทำ นี่เขาจะหลับหูหลับตาเชื่อแต่แฟนเก่าไม่ได้นะ
ถึงยัยนั่นจะเป็นแฟนเก่า แต่ฉันก็เป็น...เป็น...
ฉิบหาย ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลยนี่หว่า!!!
ฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนคนข้าง ๆ งงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก คงเห็นอยู่ว่าฉันกำลังหงุดหงิดเลยไม่อยากเข้ามายุ่ง
กึก...
เมื่อรถหยุดโดยที่เราเข้ามาจอดในที่ลานจอดรถของคอนโดต้นหญ้าแล้ว ซันก็อารมณ์เสียนิด ๆ จากการเพิ่งวางสายใครสักคนไป
“ซันขอรอข้างล่างนะ ไม่รู้ว่าจะมองหน้าต้นหญ้ายังไงน่ะ” ฉันพยักหน้าให้เขาที่ใบหน้ายังติดหงุดหงิดไม่คลายอยู่ แต่ก็ยังพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงดี ๆ
“ขึ้นไปแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวลงมา”
ซันพยักหน้ายิ้มแล้วขอตัวไปคุยโทรศัพท์ต่อ ส่วนฉันก็ขึ้นไปยังห้องต้นหญ้า
และเตรียมตัวโดนสวดยาว...
“แกจะไปอะไรกับไอ้ซันมันอีกเล่า... เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
เป็นไปตามคาดไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งแต่เข้ามาในห้องต้นหญ้าก็มองฉันตาขวางเหมือนกับอยากเข้ามาบีบคอให้ตายในนาทีใดนาทีหนึ่ง ต่อด้วยสวดยับไม่เว้นพักจังหวะหายใจ
“ไม่ได้เล่น ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันจะมาเอารายงานแค่นั้นเอง แกก็รู้ว่าเราบังเอิญเจอกันจริง ๆ”
ฉันพูดรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ต้นหญ้าก็ยังหรี่ตาจับผิด คิดว่าฉันมีแผนอะไร
ไม่มี้ ไม่มี...
“แกก็ให้เฮียมาเอาก็ได้ป่ะ หรือไม่ก็ขอให้พี่หมอหล่อลากคนนั้นมาส่งก็ได้ สนิทกันนักไม่ใช่เหรอ”
พูดถึงเขาฉันก็เซ็งอีกรอบ เขาจะมากับฉันได้ไง โอ๋แฟนเก่าอยู่จะมีเวลามาทำอะไรอย่างอื่นอีกล่ะ
“พอดีฉันไปฉะกับแฟนเก่าพี่เขามานิดหน่อย คิดแล้วก็ยังโมโหไม่เลิก คนอะไรเข้าข้างแฟนเก่าของตัวเองมากกว่าฉัน”
ฉันเบ้หน้าหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งทวีความร้อนแรงหนักกว่าเดิม
“หา ? นี่ประสาทหลอนรึไง มันก็ถูกแล้วมั้ย แกเป็นอะไรกับเขาล่ะ เป็นรุ่นน้องในคณะก็ไม่ใช่ เจอกันกี่ครั้ง ? จะว่าเป็นน้องของเพื่อนเขาก็ไม่ได้รู้สักหน่อยว่าแกกับเฮียเป็นพี่น้องกันตามกฎหมาย รู้แค่เป็นน้องรหัสนี่?
เออก็จริง...เเต่เป็นความจริงที่รับไม่ค่อยได้เสียด้วย
“งั้นฉันก็แพ้อีรุ่นพี่นั่นเหรอ รับไม่ได้หรอก ฉันรู้ไม่ว่ายังไงนางก็ไม่หยุดแค่นี้แน่”
ฉันต้องคิดเผื่อไว้สักหน่อยแล้วว่าจะทำยังไงเพื่อปั่นหัวยัยนั่นดี
“ไม่ต้องเลยนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขาอีก ทั้งพี่หมอคนนั้นและแฟนเก่าเขาด้วย เลิกหาเรื่องวุ่น ๆ ใส่ตัวได้เเล้ว เดี๋ยวเฮียก็โวยวายอีกจะเป็นเรื่องนะ” ฉันส่ายหน้าพรืด
“แต่การที่ฉันโดนดูถูกทั้งที่อยู่เฉย ๆ มันก็ไม่ได้เหมือนกัน มันดูถูกแม่ฉันนะเว้ยหญ้า ไม่รู้แหละถ้าหลังจากนี้มาวุ่นวายกับฉันอีก ฉันจะปั่นหัวยัยพวกนั้นให้คิดว่าฉันชอบพี่เกียร์จนอกแตกตายไปเลย”
“จ้า ปั่นหัวเนอะ ไม่ใช่ว่ารู้สึกจริงล่ะ”
ใบหน้าสวยได้รูปหรี่ตาพร้อมเบ้ปากนิด ๆ เหมือนจะบอกว่าฉันทำเพื่อหวังผลอย่างอื่น
เอิ่ม ก็ต้องปั่นหัวสิ...
“ช่างเถอะ! ส่วนเรื่องเฮียฉันว่าเขาค่อนข้างสนิทกับพี่เกียร์อยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้อะไรมาก เดี๋ยวจะไปสืบดู”
“อืม ไม่ชอบให้คนอื่นสืบ แต่ไปสืบประวัติคนอื่นอีก”
“…”
เอ๊ะ! ทำไมเดี๋ยวนี้ต้นหญ้าชอบขัดฉันจัง ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลยเห็นเข้าข้างฉันตลอด
“แกอะ ชอบพี่เกียร์เข้าแล้ว ปกติถ้ามีเรื่องจนถึงขนาดที่เขาอาจจะรู้เรื่องครอบครัวของแกได้ หรือมันอาจจะโยงไปยังครอบครัวเฮียได้ แกหยุดไปแล้ว” ฉันชะงักเมื่อต้นหญ้าพูดกลับมาน้ำเสียงจริงจัง “แต่นี่แกไม่ยอม แถมยังจะชนด้วยอีก ยอมรับซ่ะเถอะ”
“บ้าน่า…” ฉันเริ่มอึกอักและเริ่มเกิดอาการไม่แน่ใจ
ชอบเลยงั้นเหรอ...จริง ๆ มันควรอยู่ในระดับที่เรียกว่าประทับใจหรือเปล่า
“บอกตรงๆ ถ้าเมื่อก่อนฉันยังสนับสนุน แต่ตอนนี้มีเรื่องแฟนเก่าเขาเข้ามา ฉันไม่สนับสนุนเลย เซียร์อย่าเผลอไปอะไร ๆ กับเขามากนักเลย”
ฉันพยักหน้าลอย ๆ ในหัวยังคิดถึงสิ่งที่ต้นหญ้าพูดว่าฉันชอบเขาอยู่ หรือฉันจะชอบเขาจริง ๆ ? งั้นชอบอะไรเขากันล่ะ ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่อธิบายได้ซักอย่าง แถมเขาก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจฉันเลย
“พยักหน้านี่คืออะไร เข้าใจหรือไม่เข้าใจ” ต้นหญ้าถามเสียงเขียวเมื่อเห็นว่าฉันไม่สนใจที่เธอพูด
“เข้าใจแหละน่า แกจะมาเป็นเฮียฉันอีกคนหรือไงมีเฮียคนเดียวฉันก็กระดิกไปไหนไม่ได้แล้ว”
พอเพื่อนสาวเห็นว่าพูดยังไงคงไม่เข้าหูฉันเท่าไหร่ก็เลยเปลี่ยนเรื่องแทน
“แล้วนี่ยังไง จะรอเฮียมารับใช่มั้ย ฉันจะไปตรวจรายงานต่อ”
“ซันรออยู่ข้างล่าง แกเอารายงานมาได้แล้วฉันจะได้กลับ”
“หา! นี่ยังต้องกลับไปกับมันอีกเหรอ ฉันขอให้เฮียเชือดแกทิ้งเถอะ!” ฉันรีบเอามือปิดหูเมื่อเสียงเล็กแหลมเมื่อครู่แหวใส่
“เอาน่าวันนี้วันเดียว ฉันรู้และเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่มีความรู้สึกอะไรให้ซันแล้ว ไปล่ะเพื่อนรัก”
ฉวยโอกาสดึงเล่มรายงานบนโต๊ะหนังสือแล้วรีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไป กลัวว่าอยู่นานกว่านี้อาจแก้วหูแตกตายก่อน
เมื่อมาถึงลานจอดรถพบว่ารถคันหรูของซันหายวับไปจากที่เดิมก็ฉงน เดินหันซ้ายหันขวาอยู่หลายนาที ไหนบอกจะรออยู่ที่เดิมไง
แต่ว่าไอ้รถที่มันเปิดไฟสูงสาดใส่ตาฉันอยู่นี่คืออะไรวะ หาเรื่องรึไงคนยิ่งอารมณ์ไม่จอยอยู่
ฉันแสบตาจนต้องยกมือมาบังแสงไว้ก่อนจะเพ่งสายตาไปมองคนในรถ เดี๋ยวนะ! คนในรถที่มันคุ้นจนน่าขนลุกคือใครกัน
“พี่เกียร์เหรอ...ชิ !” ฉันเบ้หน้าให้เขาที่นั่งมองฉันนิ่งคล้ายกับกำลังโกรธ
โกรธเหรอ ใครต้องโกรธใครกันแน่!
ถึงจะรู้ว่าพี่เกียร์เห็นแล้วว่าฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่ฉันก็แสร้งทำเป็นเฉยเมยแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางออกหนึ่ง
กลับแท็กซี่ก็ได้ คิดว่าฉันจะง้อรึไง
ก่อนจะเดินไปไกลกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนวิ่งตามมาด้านหลัง พลางเรียกชื่อฉันเอาไว้
“มิเซียร์...”
ฉันหยุดเดินก่อนหันไปเห็นเขาอยู่ใกล้ ๆ แล้วแสร้งขมวดคิ้วสงสัย
“พี่เกียร์ ? มาที่นี่ได้ยังไงคะ” พี่เกียร์มองหน้าฉันดุ ๆ แล้วแย่งรายงานในมือไปถือ ก้มมาถามหน้านิ่วคิ้วขมวดเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่พอใจฉันอย่างแรง
เออดี! ฉันก็ไม่พอใจเขาเหมือนกันนั่นแหละ
“จะไปไหนทำไมไม่บอก แล้วยังกล้าปิดเครื่องใส่ด้วย พี่ควรทำยังไงกับเราดี”
แม้จะไม่พอใจที่พี่เกียร์มาดึงรายงานไปจนทำให้ฉันไปไหนไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่โวยวาย เพราะเห็นแล้วว่าก่อนหน้านั้นฉันโวยวายใส่แล้วมันทำให้ฉันดูเป็นคนนิสัยไม่ดี
“พี่ก็อยู่เฉย ๆ สิคะ จะมาเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม ขอรายงานคืนด้วยค่ะ”
“…” พอฉันทำท่าจะดึงมันคืน เขาก็เบี่ยงมือหลบ เอื้อมไปซ้ายเขาย้ายไปขวา เอื้อมไปเอาทางขวาเขาก็ยกขึ้นสูง ๆ ไม่ให้ฉันเอาคืนไปได้ ราวจะกวนประสาท
“นี่...เอาคืนมาเลยนะคะ” ฉันตวัดสายตาหงุดหงิดไปให้เขา แต่พอเห็นหน้าหล่อ ๆ ก็ต้องถอนหายใจ โอ๊ย...หงุดหงิดไม่ลง
ขี้โกงชะมัด ไอ้หน้าที่มันดูดีขนาดนี้มันมีพลังหรือเวทมนตร์อะไรนักหนา ทั้งที่เขายังทำหน้าบูดไม่สบอารมณ์ใส่ฉันแบบนี้แต่ฉันก็หงุดหงิดเขาไม่ลง จนโมโหตัวเองแล้วนะ!
“ขึ้นรถไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
เขาว่างั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถพร้อมกับยังไม่ยอมคืนของให้ ฉันต้องส่งพรุ่งนี้นะ!
“หนูไม่ขึ้น เอารายงานคืนมาหนูจะนั่งแท็กซี่กลับ”
ฉันพูดไล่หลังเขา ขาก็วิ่งตามต้อย ๆ แต่ก่อนจะตามทันเขาก็ขึ้นรถแล้วปิดประตูฉับ แถมเอารายงานฉันโยนไปทางที่นั่งข้างคนขับ เหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่า ‘อยากได้ก็ขึ้นมาเอา’
“พี่ ไป ส่ง” เขาเลื่อนกระจกลงก่อนพูดเน้นย้ำทีละคำ ทำให้ฉันที่ยืนอยู่นอกรถมองเขาอย่างเหมือนคนบ้า “จะเอามั้ยรายงาน พี่จะออกรถแล้วนะ”
ฉันกอดอกแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง อย่างเขาคงพูดแค่ขู่เท่านั้นล่ะ ถ้าเขายิ่งสั่งฉันก็จะต่อต้าน ดูซิใครจะชะ...
บรื้น!
“เดี๋ยว!!” ฉันสะดุ้งโหยง
นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้าน หรือยอมคืนรายงานจากการต่อต้านของฉันแล้ว ยังทำท่าจะออกรถไม่สนใจฉันอีก
“ครับ ? เอาไง” เขายกคิ้วถามก่อนกดยิ้มมองปฏิกิริยาของฉันอย่างเป็นต่อ
เอาไงได้ล่ะ!! รายงานนั่นคือคะแนนของทั้งกลุ่มเลยนะ จะให้ฉันที่นั่งเรียนจนหัวฟู แต่มาตกม้าตายเพราะไม่ได้ส่งรายงานมันใช่เรื่องที่ไหน
“ขึ้นก็ขึ้น!” ฉันกระแทกเสียง แล้วเดินตึงตังแสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนจะเปิดประตูเพื่อจะขึ้นรถ
กึก ๆ
ฉันย่นคิ้วแปลกใจที่ดึงประตูอยู่หลายครั้งมันก็ไม่ยอมเปิด พอเงยหน้ามองเขาเท่านั้นแหละ รู้เลยว่าเขาจงใจล็อกเพื่อแกล้งฉันอยู่
“พี่เกียร์!” พอฉันแหกปากจนก้องบริเวณลานจอดรถเขาก็หัวเราะอยู่ข้างในแล้วปลดล็อกให้
โธ่เว้ย! ตั้งใจจะไม่โวยวายแล้วแท้ ๆ
“ตัวแค่นี้ เสียงดังจัง” เขาพูดล้อเลียน ทำให้ต้องฉันตวัดสายตาไปจิกกัดเขา อายก็อาย ให้ฉันยืนแหกปากอยู่ได้
“ขี้แกล้ง”
“ก็เรามันดื้อ” เขาพูดสวนทำให้ฉันจิ๊จ๊ะไปทันที
“…”
พอทำอะไรไม่ได้ฉันก็เลยปล่อยให้เขาขับรถออกจากคอนโดไป โดยที่ฉันหันหน้าไปทางหน้าต่างไม่พูดไม่จาเป็นการประท้วง
“เป็นเด็กดื้อมันไม่น่ารักหรอกนะครับ” เขาพูดลอย ๆ แต่ก็ดังให้แว่วเข้าหูมา
“ต้องเป็นเด็กพี่เหรอคะถึงจะน่ารัก” ฉันพูดสวนกลับด้วยประโยคเสี่ยว ๆ ที่จำพวกเด็กเกรียนในคณะชอบพูดกัน
ที่ว่า ‘เป็นเด็กดื้อไม่น่ารักเท่าเป็นเด็กพี่’ เอามาแกล้งปั่นประสาทเขาอีกที
ฉันเห็นเขาชะงักก่อนยกยิ้มให้ราวกับรู้สึกตลกกับคำพูดของฉัน
“ถ้าเด็กมันดื้อขนาดนี้ ก็คงไม่ได้เป็นหรอกครับ เด็กพี่น่ะ” เขาก็ตอบกลับมากวนไม่แพ้กัน