‘หงุดหงิดจริงโว๊ยย’ ฉันได้แต่ตะโกนด้วยความคุกรุ่นในใจขณะที่กำลังจะเดินไปไหนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน กลับเข้าอาคารก็ต้องไปเจอเขาอีก จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เซ็ง เซ็ง เซ็ง!
เสียงโทรศัพท์ทำให้ฉันยกมือขึ้นมาดูพบว่าเป็นเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่ม
-ต้นหญ้า-
“มีอะไรเหรอหญ้า”
ฉันรับสายเพื่อนน้ำเสียงยังติดไปทางหงุดหงิด แต่สายตาก็แอบหันไปด้านหลังทางที่ตัวเองเพิ่งเดินมาว่ามีใครตามมาหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีแม้แต่ยุง
คิดถึงหน้ายัยนั่นกับเพื่อนแล้วมันเขี้ยวนัก ตอนนี้นางก็คงจะฟ้อง ๆ ๆ พี่เกียร์อยู่ล่ะมั้ง ช่างเถอะ ก็ฉันมันนางร้ายนี่!
[มีอะไรล่ะ จะบอกว่าเล่มรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ของกลุ่มแกเสร็จแล้วนะ แต่ต้องตรวจดูหน่อยมีคนบอกว่าร้านทำไม่ค่อยดี แกพอจะมีเวลามาเอามั้ย]
ฉันถอนหายใจเซ็ง วัน ๆ มีแต่เรื่อง
ไม่รู้จะเอายังไงดีแถมส่งพรุ่งนี้แล้วด้วยสินะ ถ้าไม่ตรวจวันนี้ พรุ่งนี้ไปส่งโดนอาจารย์ปาเล่มคืนแหง ๆ ปกติร้านจะส่งให้ก่อนเดตไลน์หลายวัน แต่เพราะช่วงนี้คิวค่อนข้างแน่นจึงล่าช้านิดหน่อย
[เอาไง อย่าเงียบนานสิ งานการยังต้องทำอีกเยอะเลยนะ] ปลายสายเหมือนกำลังวุ่น ๆ กับอะไรสักอย่างอยู่ เร่งถามอีกครั้ง
“เดี๋ยวขากลับฉันจะไปเอาแล้วกัน...เอ๊ะ” ท้ายประโยคของเสียงฉันสะดุดไปนิด เห็นรถคันใหม่วิ่งผ่านหน้าไปก่อนจะจอดถัดไปจากต้นไม้ที่ฉันนั่งอยู่สองต้น คล้ายจะเป็นคนคุ้นเคยจึงพึมพำออกมาเบา ๆ “เหมือนซันเลย”
[ฮึ ? อะไรนะ]
“เหมือนรถซันผ่านฉันไปเมื่อกี้นี้น่ะ เดี๋ยวรอคนออกมาก่อน” ฉันแอบ ๆ อยู่หลังต้นไม้เพื่อลอบมองคนบนรถลงมา แค่อึดใจเดียวผู้ชายรูปร่างสูง ดูสมส่วนสุด ๆ เวลาใส่เสื้อทั้งกางเกงกีฬาสีน้ำเงิน แม้ไม่ได้เซตผมแต่ก็ยังดูดีไปอีกแบบ เป็นใครไม่ได้หรอกนอกจากแฟนเก่าฉันเอง “ฉันว่า มีคนพาไปเอารายงานละ”
[ใคร ? ซันเหรอ เอาจริงปะเนี่ย ?] ต้นหญ้าถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ฟัง [แกไม่ต้องรีบมาเอาก็ได้ เดี๋ยวฉันส่งแมสเซนเจอร์ไปส่งที่บ้านให้]
ปลายสายต้นหญ้ารัวคำพูดมาใส่ฉันซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจจะฟังเท่าไหร่
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ไปเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อพี่เกียร์คืออะไร ทั้งที่พึ่งเลิกกับซันไม่นาน ตอนนี้ฉันเลิกรู้สึกกับซันแล้วเหรอถึงได้มีอาการแปลกประหลาดเวลาอยู่ใกล้พี่เกียร์ขนาดนั้น
[ฮัลโหล ฟังอยู่รึเปล่า]
“แค่นี้แหละ แกเตรียมรายงานไว้เลย เดี๋ยวฉันไปหาที่คอนโด” ฉันยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้ววิ่งไปหาคนที่กำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ท้ายรถ แต่หูก็ยังได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากโทรศัพท์ก่อนที่จะกดตัดสาย
[แกอยากมาเอารายงาน หรืออยากจะทำอะไรกันแน่ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ...]
ไม่มีใครเข้าใจฉันหรอก ขนาดฉันยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
พอแอบอยู่หลังต้นไม้ที่ใกล้กว่าเดิม กำลังคิดว่าจะทำยังไงให้ดูเหมือนเดินมาเจอกันแบบบังเอิญและดูสมจริงที่สุดดี แต่คิดไปคิดมาเราก็บังเอิญเจอกันจริง ๆ นี่นา จึงเลิกแอ๊บแล้วเดินออกมาทักทายเขาด้วยท่าทางปกติ
“เอ้า! ซันปะเนี่ย! มาทำไรเหรอ บังเอิญเนอะ”
ซันที่กำลังผูกเชือกรองเท้าอยู่สะดุ้งไปนิดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉันทำให้ทันเห็นสายตาระแวงของเขาอยู่หน่อย ๆ ก่อนมันจะหายไปแทบทันที
“เอ่อ...มาเล่นบาส เซียร์ทักซันเหรอ” คิ้วหนาย่นเข้าหากันเล็ก ๆ เหมือนกับงงงวยกับการปรากฏตัวของฉัน ก่อนใบหน้าขาวจะหันซ้ายขวาตรวจสอบอีกรอบ
“อะไร ? เราเข้ามาทักมันแปลกมากรึไง เห็นตอนนั้นก็อยากจะคุยกัน ตอนนี้งงที่เจอกันซะงั้น”
“ไม่ ๆ ซันไม่คิดว่าเซียร์จะมาทักไงก็เลยงง ว่าแต่ทำไมมายืนแถวนี้ล่ะ”
พอเห็นว่าฉันอยู่คนเดียวเขาก็ยิ้มนัยน์ตาวูบไหวอย่างเห็นได้ชัดว่าดีใจที่ได้เจอกันอีก
“ก็มากับเฮียน่ะสิ เขาเล่นบาสกับเพื่อนอยู่ข้างใน” ฉันบุ้ยปากไปทางอาคาร ซันก็หน้าเสีย
“เฮียอยู่ด้วยเหรอ”
“ใช่ เราว่าซันอย่าเข้าไปเลยดีกว่า ไม่อยากให้มีปัญหากัน” ฉันเพิ่งสังเกตว่าหน้าซันหายจากรอยช้ำแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะมีมันอีก
“แล้วเซียร์มีอะไรจะคุยกับซันหรือเปล่า ซันว่าอย่าอยู่ตรงนี้นานดีกว่านะ แดดร้อน ๆ แบบนี้เดี๋ยวไม่สบาย”
ฉันได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ฟังที่เขาพูดด้วยความรู้สึกหน่วง ๆ เหมือนคำพูดเมื่อกี้นี้ของซันกำลังพยายามสั่งความทรงจำดี ๆ ที่สะสมไว้เกือบปีให้ไหลเข้าสู่สมองฉันอีกครั้ง
ถ้าตัดเรื่องเจ้าชู้ ความเป็นเสือผู้หญิงที่เลื่องลือออกไป ซันเป็นบุคคลที่ฉันไม่ควรทิ้งไปให้เสียกำไรชีวิตอย่างยิ่ง เพราะเป็นคนดีมาก ๆ ไม่งั้นผู้หญิงคนอื่นจะหลงเขาในชั่วพริบตาเหรอ
แต่เพราะสิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียวของเขามันเป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถรับได้ในความสัมพันธ์ที่คบกันอยู่ก็เท่านั้น ดังนั้นช่วงเวลาที่เราคบกันมันก็มีช่วงที่มีความสุขซึ่งไม่อยากจะลืมอยู่เยอะเช่นกัน
"ยังใจดีแล้วก็เป็นห่วงคนอื่นเหมือนเดิมนะ เอ้อ! เราต้องไปเอารายงานที่ห้องต้นหญ้า จะเป็นไรมั้ยถ้าซันจะไปส่งเรา" ฉันถาม และหวังว่าเขาจะตอบตกลงฉันมีบางอย่างอยากถามเขาซักหน่อย
"ได้อยู่แล้ว ขึ้นรถเลยแดดแรงมากวันนี้" เขาพยักหน้าแล้วอ้อมมาเปิดประตูข้างคนขับให้เหมือนทุกครั้ง
กึก กึก !
“ฮือ ?” ฉันขยับเบาะเพราะรู้สึกว่ามันอยู่ห่างไปแปลก ๆ แต่พอขยับพบว่ามันไม่สามารถล็อกได้ พยายามหลายทีก็ยังเหมือนเดิม
“เป็นอะไรเหรอ” ซันละสายตาจากพวงมาลัยมามองฉันที่ยุกยิก ๆ ไม่นิ่งซักที
“เหมือนมีอะไรมันติด ๆ มันล็อกไม่ได้ ขอดูก่อน” เอื้อมมือล้วงไปใต้เบาะ แตะโดนต้นเหตุที่สัมผัสได้คือพลาสติกกลมยาวคล้ายแท่งบางอย่างขัดอยู่จึงดึงออกมา
“ลิปสติกแฮะ” ฉันจ้องไปยังลิปสติกแบนด์ดังสีแดงสด มันไม่ใช่ของฉัน และแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นของซัน
งั้นคงเป็นของใครซักคนที่ขึ้นรถคันนี้มาแน่
“เอ่อ ของ...” ซันหน้าเจือนสนิท ก่อนจะพบแววตาโรจน์เหมือนกำลังโกรธเจ้าของลิปสติกอยู่แวบนึงก่อนจะเป็นปกติ ซึ่งฉันก็โบกมือปัด
“ช่างเถอะ นายโสดแล้วนะ จะเอาใครขึ้นมาใครจะไปว่าอะไร”
ฉันพูดอย่างไม่สนใจจนกระทั่งรถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้นิดหน่อย หางตาเล็ก ๆ ก็ฉันก็เหลือบไปมองกระจกด้านข้างสะท้อนให้เห็นภาพร่างสูงโปร่งของพี่เกียร์วิ่งตามมา...
ตามฉันมาเหรอ ใช่แน่เหรอ ?
จ้องหน้าจอมืดสนิทของโทรศัพท์ตัวเองที่เหลือแบตเพียงน้อยนิด ประมาณว่าถ้าปลดล็อกหน้าจอมันก็อาจจะดับไปเลย แต่ฉันเก็บไว้เผื่อโทรเรียกต้นหญ้าให้ลงเอาของมาให้เท่านั้น
ถ้าพี่เกียร์โทรมาฉันจะลองเสียสละแบต 2 3 เปอร์เซ็นต์นี้ให้ก็แล้วกัน จะได้รู้ด้วยว่าเขาวิ่งมาทำอะไร
“คอนโดต้นหญ้าอยู่ที่เดิมใช่มั้ย” ฉันละสายตาจากโทรศัพท์มาหาซันที่หันมาถาม
“ใช่ จำทางได้รึเปล่าให้บอกทางมั้ย”
“ซันไปส่งเซียร์บ่อยจะตายจะลืมได้ไง แล้วตอนนี้เซียร์ย้ายออกมาแล้วเหรอ”
ฉันพยักหน้าตอบ ที่เขาถามคงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ฉันบอกเขาว่าฉันแชร์ห้องกับต้นหญ้าอยู่ พอมาวันนี้ฉันไม่ได้ขอให้ไปส่ง แต่บอกว่ามาเอาของแทน
“เพราะหนีซันหรือเปล่า” ประโยคที่เอ่ยเจือด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอยู่ในทีถามมา
“ไม่หรอก”
พูดไปฉันก็แอบรู้สึกผิดในส่วนนี้ เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่คบกัน ฉันก็ไม่ได้บอกอะไรซันทั้งหมด และบางอย่างก็โกหกเขาอยู่ตลอดเช่นกัน
หรือจริง ๆ แล้วเราสองคนก็ผิดด้วยกันทั้งคู่นะ...
“นึกว่าใช่ ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงซันไม่ทำแบบนั้นแล้ว” ฉันเหล่สายตาไปหาเขาเล็ก ๆ อยากจะแหม ได้ข่าวว่าล่าสุดที่เจอกันก็ตามแจ จนเกือบมีเรื่องมีราวไม่ใช่หรือไง
แต่วันนี้จะว่าไปก็แปลก เมื่อซันไม่ได้พูดเชิงให้เรากลับมาคบกัน แต่เขาพูดเหมือนยอมรับแล้วว่าเราเลิกกันไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาทำตัวเหมือนคนบ้า
ตืดดด ตืดดด...
-พี่เกียร์-
แม้จะรอคอยแต่ฉันก็ยังตกใจไม่คิดว่าเขาจะโทรมาจริง ชั่งใจว่าจะรับดีมั้ยเพราะฉันยังโกรธเขาอยู่ด้วย
“ทำไมไม่รับล่ะ ใครเหรอ”
แต่ในขณะที่กำลังจะกดรับสายหน้าจอที่เคยสว่างก็ดับไปพร้อมกับเสียงสั่น
แบตหมด!
“เอ่อ...ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ไม่อยากจะใส่ใจเท่าไหร่จากที่พี่เกียร์มาพูดกับฉันแบบนั้น ฉันไม่ชอบเอามาก ๆ
“พี่เกียร์ใช่ปะ”
“อืม” ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังดังนั้นฉันจึงครางเสียงตอบรับ
พอได้ยินว่าใช่คนที่พูดถึง ซันก็ถอนหายใจหนัก ๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความยุ่งยากใจราวหนักอกหนักใจกับอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้
“ซันโคตรไม่อยากให้เซียร์ยุ่งกับมันเลย มันมายุ่งอะไรกับเซียร์บ้าง”
“เขาก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรนะ”
เป็นฉันมากกว่ามั้งที่ชอบเอาเขามายุ่งด้วยตลอด
“ถึงอย่างนั้นก็อย่าไปใกล้มันได้ไหม”
“เขาเป็นเพื่อนพี่ตี๋ไม่ใช่หรือไง ไปเรียกรุ่นพี่แบบนั้น เกลียดอะไรกันนักหนา” ฉันหลอกถามซันแล้วลอบมองปฏิกิริยาไปด้วย พบสายตาแปลก ๆ อยู่ในดวงตาคู่สวยพร้อมกับใบหน้าสลด
“เขาต่างหากที่เกลียดซัน เซียร์ไม่ยุ่งกับมันไม่ได้จริง ๆ เหรอ” เขาหันกลับมาอ้อนวอนทางคำพูดและสายตาดูไม่อยากให้ยุ่งอย่างที่พูดจริง ๆ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่การมาบังคับให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทำตามแบบนี้มันเกินไปนะ”
“เราเป็นห่วงเซียร์นะ ถึงจะจำใจต้องยอมรับว่าเลิกกันแล้ว แต่เราเป็นห่วงเซียร์จากใจจริงเสมอ”
ไม่รู้ว่าฉันเชื่อคำพูดซันได้แค่ไหน แต่เรื่องที่เขาจะเกลียดขี้หน้ากันมันไม่เกี่ยวกับฉันซักหน่อย
ตอนนี้ความรู้สึกของฉันมันแค่บอกว่า ขอรับความหวังดีของเขาได้เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าฉันจะเลิกยุ่งกับพี่เกียร์เพราะซันขอ มันมากเกินไป
แล้วที่บอกว่า ‘เลิกกันแล้วแต่ยังมีความหวังดีให้’ มันทำให้ขัดใจแปลก ๆ
พี่เกียร์อาจจะคิดแบบนี้กับยัยบ้านั้นด้วยหรือเปล่านะ...นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะถามซันนี่นา
“การที่หวังดีกับแฟนเก่านี่ รวมถึงถ้าเกิดวันหนึ่งเราไปมีเรื่องทะเลาะกับใคร ก็จะเข้าข้างเราก่อน ถึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นก็ตามงั้นเหรอ”
ฉันถามอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็เขาน่าจะใกล้เคียงกับความสัมพันธ์นั้นที่สุดแล้วนี่ ถึงพวกเขาจะเป็นคนละคนกัน แต่ก็คงคล้าย ๆ กันละมั้ง
“เราก็ต้องเข้าข้างเซียร์อยู่แล้ว เพราะเรารู้จักเซียร์ดี และไม่มีทางที่อยู่ดี ๆ จะไปทะเลาะกับใครมั่วซั่วนี่นา” ซันหันมายิ้มตาหยีและหันกลับไป...แต่ฉันเนี่ยสิ เจือนไปเลย