[…] เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นอันดับแรก ฉันกะจะถามไปว่าปลายสายคือใคร เขาคนนั้นก็กรอกเสียงกลับมาเรียบนิ่ง [หออยู่ไหนครับ ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงเลยเหรอ ฮึ ?]
เฮ้ย ! จริงสิ
“พี่หมอ…”
[พี่ชื่อเกียร์] เขาตอบสวนกลับมาคล้ายจะบอกให้เรียกชื่อนี้แทนคำว่าพี่หมอ
“ค่ะพี่เกียร์ คือว่าเซียร์ทำกระดาษหาย เมื่อกี้ไม่ได้โทรกลับเห็นเป็นเบอร์แปลกน่ะค่ะ” ฉันบอกเรื่องจริงไปเพียงครึ่งเดียว ความจริงคือฉันลืมว่าต้องโทรหาเขา แล้วลืมอีกว่ากระดาษเบอร์หายไปไหน ตกตอนนอนในรถไอ้ฟรังชัวร์ “ขอโทษนะคะ เซียร์ถึงบ้านแล้วค่ะ”
[บ้าน ? ไม่ได้อยู่หอเหรอครับ]
“อ้อ ! หอค่ะ พูดผิด” ฉันรีบแก้เมื่อได้ยินน้ำเสียงสงสัยของเขา ว่าแต่มีเรื่องที่ฉันสงสัยเขาอยู่เหมือนกัน “พี่เกียร์ได้เบอร์เซียร์มาได้ไงคะ เซียร์ให้ไปเหรอ”
ไม่มั้งงง ฉันหวงความเป็นส่วนตัวจะตายไม่ให้เบอร์ใครมั่ว ๆ แน่ ถึงเขาจะหล่อจนอาจใจอ่อน แต่ว่าถ้าตั้งใจให้ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ
[ขอโจ้มาน่ะ]
“หา! พี่เกียร์ไปขอเฮีย งี้เฮียก็รู้ว่าเซียร์กลับบ้าน เอ๊ย หอเองสิ] ตาย ๆๆ เฮียจะเฉ่งฉันมั้ยเนี่ย ไปไหนยากอีกแน่เลย
[ไม่หรอก พี่แค่บอกว่าเราลืมของบนรถน่ะ] เขาพูดน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แค่นั้นก็โล่งอก แหมหล่อแถมฉลาด เอาใจไปเลยรัว ๆ ฉันคิกคักอยู่ในใจก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงปลายสายพูดเสียงนิ่ง ๆ กลับมา [นี่ ตัวเล็ก…]
“คะ ?”
[วันหลังสัญญาว่าจะทำอะไร ช่วยทำมันได้ไหม] ฉันยืนนิ่งอยู่หน้าห้องจากที่กำลังจะเปิดเข้าไปรู้สึกหน้าชาดิกเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าไป
เขากำลังดุฉันอยู่ใช่ไหม
“พี่เกียร์โกรธอยู่เหรอคะ” ฉันกลั้นใจถามเพราะเดาไม่ออกจากน้ำเสียงนิ่ง ๆ ที่เขาส่งมา “เซียร์ ขอโทษค่ะ”
ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว และรู้สึกไม่ดีไปด้วยพอมานึก ๆ ดูแล้ววันนี้ฉันลืมเขาไปสองรอบ และปฏิเสธเขาไปสองรอบ โดยไม่ได้ตั้งใจ
[...เกียร์เอาอะไรมั้ย เดี๋ยวพวกเราลงไปซื้อกาแฟข้างล่าง] ฉันได้ยินในสายมีคนคุยกันไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ไหน แต่พอเขาคุยกันเสร็จเสียงพี่เกียร์ก็ตอบกลับมา [พี่ไม่ได้โกรธ แต่แค่รอ ถึงหอปลอดภัยก็ดีแล้ว]
“พี่เกียร์อยู่ไหนเหรอคะ ยังไม่กลับเหรอ” ฉันเข้ามานั่งจ๋อยในห้อง เมื่อกี้พอจบบทสนทนาของเขาเราควรวางสายไป แต่เพราะไม่อยากวางสายด้วยท่าทีที่ยังตึง ๆ กันแบบนี้เลยต่อบทสนทนาอีกนิด “ยังอ่านหนังสืออยู่เหรอคะ”
ฉันเดาไปงั้น ตอนแรกคิดว่าเขาอาจจะกลับไปอยู่ห้องแล้ว แต่พอได้ยินเขาคุยกับเพื่อนจึงคิดว่าเขาอาจจะยังอ่านหนังสือที่หอสมุดที่ปิดตอนเที่ยงคืน
[พักอยู่ครับ] น้ำเสียงเขาดีขึ้นเล็กน้อย [เป็นคนนอนดึกเหรอครับ เห็นยังไม่นอน]
“พอดีต้องกินยา เลยไปหาข้าวกินจะได้กินยานอน”
ฉันเรียกคะแนนสงสาร เผื่อเขาจะมองฉันจากเด็กนิสัยเสียให้ดูน่าสงสารแล้วใจอ่อนไม่โกรธกัน
[กินยาทำไมครับ ?]
ตามคาด...ฉันลอบยิ้มในใจ มุกนี้ใช้ได้ผลเสมอ ฮิฮิ
“ดูท่าจะเป็นหวัดเพราะตากฝนค่ะ แต่กินยาแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” ฉันขี้ตู่คิดเองเออเองไป แต่ก็ได้ยินปลายสายคล้ายหลุดขำออกมาเบา ๆ แต่ฉันดันหูดีได้ยิน
[คิดไปเองเก่งจังนะครับ]
“ค่ะ ของถนัดเลย” ฉันโม้อีกรอบ “เอ่อ...”
พอชวนคุยไปชวนคุยมาจู่ ๆ ก็เดตแอร์ขึ้นมา พอต่างคนต่างไม่พูดอะไรฉันก็กะจะลาแล้ววางสายไปแต่เขาก็พูดแทรกเข้ามาเสียก่อน
[เม็มด้วยนะครับ]
“เม็ม เม็มอะไรคะ”
[เบอร์พี่ เห็นบอกว่าไม่รับเบอร์แปลก เม็มไว้จะได้ไม่แปลกไงครับ]
“จะโทรมาอีกมั้ยคะ ถ้าจะโทรมาอีกจะเม็มไว้ค่ะ แถมให้ตั้งชื่อได้เองด้วย อยากให้ตั้งว่าอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
[ตั้งชื่อปกติก็ได้ครับ] ไม่รับมุกเลยแฮะ อุตส่าห์หยอดไปต้องหลายที [ไว้พิเศษแล้วค่อยตั้งใหม่]
ฮะ?
วันนี้เนื่องจากป๊าและม๊ามีเข้าบริษัทฉันถึงขอติดรถมาลงที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้บ้าน อาการฉันไม่ได้ดีขึ้นจากเมื่อวานมากนัก แม้ว่าเมื่อเช้าป้าแจ่มจะให้ยามากินอีกแต่อาการปวดหัวนิด ๆ ก็ยังคงอยู่
“ขอบคุณค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะลุงมานะ ไปก่อนน้า” ฉันไหว้ทั้งสองท่านและลุงคุณขับรถของที่บ้านที่หันมายิ้มให้
“ตั้งใจเรียนนะลูกสาว ถ้าปวดหัวไม่ไหวเข้าไปให้หมอเขาตรวจสักหน่อยนะลูก” ก่อนไปท่านก็ทำสีหน้าเป็นห่วง ตอนแรกม๊าจะให้ฉันลาหยุดซักวัน แต่เพราะวันนี้มีงานกลุ่มที่อาจารย์บอกจะสุ่มจับกลุ่ม จึงต้องมาเพราะวิชาค่อนข้างหินพอสมควร
“ค่า บ้ายบาย” พอทำท่าจะปิดประตูรถ ผู้หญิงคนเดียวในรถก็รีบยัดเงินใส่มือฉัน
“ม๊าให้ค่ารถ” ฉันมองเงินสดจำนวนหนึ่งในมือก็พบว่ามากกว่าค่ารถไฟฟ้าไปไกลโข พอทำท่าจะพูด ท่านก็ขัดขึ้น “เอาไปเถอะลูก เผื่อจำเป็นต้องใช้”
ฉันลังเลก่อนพยักหน้า เพราะรู้ว่าถ้าท่านตั้งใจให้คงไม่เอาคืนง่าย ๆ
ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาพบว่า ตอนนี้ 8.15 น. แล้วก็ถอนหายใจ ยังพอมีเวลาเพราะเรียน 9 โมง ทำให้ไม่ต้องเบียดคนอื่นมาก เมื่อคืนฉันปวดหัวหนักมาก ปกติฉันเป็นพวกถึก ๆ ไม่ค่อยมีไข้หรือไม่สบายแบบคนอื่น แต่พอเป็นทีนี่เล่นเอาเรื่องเหมือนกันนะ
การขึ้นรถไฟฟ้าตอนเช้าเป็นอะไรที่ทรมานมาก เนื่องจากทั้งเด็กนักเรียน เด็กมหาลัย แม้กระทั่งคนวัยทำงานก็เลือกสัญจรแทนการฝ่ารถติดบนท้องถนน
ฉันเดินรอรถไฟเพียงครู่เดียวก็โดนยัดไปกับฝูงคน กลิ่นตอนเช้าแสนสดใส แต่กลิ่นรองเท้าหึ่งยังกะไม่ได้ซักมาสิบปีนี่คืออะไร...ฉันรีบอุดจมูกและปิดปากที่ดูเหมือนจะขย้อนเศษอาหารที่เมื่อเช้ากินไปได้สองสามคำออกมาตลอดเวลา
ซักรองเท้าถุงเท้าใหม่มันไม่ได้เปลืองแรงมากนักหรอกมั้ง มันเป็นภาระคนอื่นเขาเนี่ย ! ขอให้ถึงสถานีหน้าสักทีเถอะ ฉันจะไม่ไหวจริง ๆ แล้วนะ
คลื่นน
ฉันรีบวิ่งฝ่าคนนับสิบที่ต้องการจะออกประตูเดียวกันจนชนคนอื่นโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น นับว่ายังโชคดีไม่น้อยที่ด้านล่างยังมีห้องน้ำไว้ให้ฉันขย้อนข้าวทิ้ง เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากไปหมด
“อุแหวะ!!!” ฉันวิ่งเข้าไปกอดอ่างล้างมือและสำรอกออกมาจนปวดหน้าท้องเพราะความเกร็ง
ทรมาน...
อ้วกจนรู้สึกล้าจนอยากจะนอนในห้องน้ำให้รู้แล้วรู้รอด ดีนะที่ผู้คนต่างก็รีบไปทำงานจนไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำ ถ้าใครเห็นคงคิดว่าฉันท้องแน่ ๆ
ท้องมานละสิ จะไปท้องกับใครได้ล่ะ
พาตัวเองเดินสะโหลสะเหลเข้ามหาวิทยาลัยไป เพราะจากสถานีรถไฟฟ้าไม่ได้ห่างจากประตูทางเข้าคณะฉันมาก
วิชานี้เรียนว่านรกแล้ว งานกลุ่มนรกกว่ามาก แม้ร่างกายแทบไม่ไหว แต่ก็พยายามตั้งใจฟังอาจารย์จนถึงท้ายคาบ วันนี้อาจารย์ให้งานเป็นกลุ่มสุ่ม กลุ่มละ7คน กันคนหัวกะทิอยู่กลุ่มเดียวกัน ทำให้กลุ่มฉันโดนแยกกันเกือบหมด แถมงานก็ให้เวลาเพียงนิดเดียว
“รบกวนตัวแทนกลุ่มแต่ละกลุ่มส่งรายชื่อมาให้อาจารย์ด้วยนะคะ” ทั้งภัทรฟรังและต้นหญ้าต่างเดินไปหากลุ่มของตัวเอง มีเพียงแค่คนที่จับอยู่กลุ่มเดียวกับฉันเดินมาหาฉันที่ดูเหมือนร่างไร้วิญญาณ
“เซียร์ไหวไหม” หนึ่งในนั้นที่กำลังจดชื่อทุกคนในกลุ่มหันมาถามฉันที่นอนฟุ่บอยู่บนโต๊ะ
“ได้อยู่” ฉันตอบไป อาการอื่น ๆ หายเกือบหมดแล้ว เหลือแค่อาการคลื่นไส้อีกนิดหน่อย แต่เพราะเมื่อเช้าอ้วกจนหมดไส้หมดพุง ทำให้ไม่ค่อยมีแรงจะพูด
“วันนี้เราเริ่มทำกันเลยไหม ฉันยังมีงานกลุ่มวิชาอื่นรออีกเพียบเลย”
เพื่อนสาวในกลุ่มเสนอความคิดเห็นอาจเพราะมันไม่ได้ยากมากเพียงแค่เราต้องดูสโคปงานทั้งหมดแล้วแบ่งกันไปหาข้อมูลก่อน ทุกคนก็เห็นด้วยเพราะยิ่งเข้าใกล้เวลาสอบทีไรงานก็ยิ่งเยอะ อาจารย์ทุกคนพร้อมใจกันสั่งงาน
“เขียนเสร็จแล้ว ยังเหลือเวลาก่อนเที่ยงอีกหน่อย รีบไปหาอะไรกินดีไหม คนจะได้ไม่เยอะด้วย” คนที่จดรายชื่อเมื่อครู่เอากระดาษไปให้อาจารย์แล้วกลับมาถามทุกคน
“ไปกินก๋วยเตี๋ยวคณะแพทย์มั้ยที่ดัง ๆ อะ”
'ไม่ไปได้ไหม' ฉันกำลังจะค้านเพราะไม่อยากย่างกายไปคณะที่ตัวเองกำลังเป็นประเด็นอยู่
“เอาดิ อร่อยนะ ให้เยอะด้วย ไปกัน” แต่พอเพื่อนพร้อมใจกันเอาด้วยไม่อยากขัด
ชโงกหน้าไปมองเพื่อนอย่างภัทร ฟรัง และต้นหญ้า วันนี้ทุกคนคงแยกกันไปกินข้าวกับกลุ่มตัวเองเหมือนพวกฉันแน่ เพราะทุกคนคงต้องการจบงานนี้ให้เร็วที่สุด
เอาวะ! ไปก็ไป
พวกเราย้ายตัวเองมาโรงอาหารคณะแพทย์ ฉันติดรถเพื่อนในกลุ่มมาเพราะไม่มีรถ คนที่โรงอาหารไม่เยอะเท่าไหร่อาจเพราะยังไม่ถึงช่วงเวลาพัก พวกเราก็สั่งของใครของมันแล้วเริ่มนั่งคุยเรื่องงานคร่าว ๆ
ฉันไม่ได้รู้สีกไม่ดีอะไรกับการโดนสุ่มให้ต้องทำงานกับคนไม่สนิท คณะเราตอนปี 1 กิจกรรมเยอะมากทำให้รู้จักกันไปหมด เพราะคิดว่าในชีวิตจริงถ้าจะทำงานสายนี้คงเลือกแต่จะทำงานกับคนสนิทอย่างเดียวไม่ได้ และเพื่อน ๆ เองก็ไม่ได้อึดอัดที่ทำงานกับฉัน ไม่อยากอวยตัวเองเท่าไหร่แต่ฉันทำงานค่อนข้างดี เร็ว และรอบคอบ
“ได้แล้วจ้าหนู” ป้าตะโกนเรียกทำให้ผู้ชายสองคนในกลุ่มอาสาไปเอาถาดใส่อาหารมาให้ พอได้อาหารทุกคนก็เริ่มคุยกันน้อยลง สนใจของตรงหน้ามากขึ้น
ฉันกำลังตัดสินใจจะกินบ้างเพราะก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไปดูน่ากินจริง ๆ แต่ก็มีเสียงอันคุ้นเคยที่โคตรไม่อยากเจอะเจอที่นี่โผล่มาจากด้านหลัง
“ดีใจจังที่ได้เจอมิเซียร์”
ความอยากอาหารหมดสิ้นลงทันที แม่งเอ๊ย