บทที่4 : ต้องโทรมานะครับ

2323 คำ
หลังจากนั่งเรียนจนจบคลาสพร้อมฟังอาจารย์อธิบายงานที่ต้องส่งในสิ้นเดือนเสร็จเขาก็ปล่อย ทำให้เลยเวลาเลิกเรียนไปนิดนึง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเรียนต่ออย่างพวกฉันก็ไม่ได้แย่อะไรมาก “เซียร์ มึงต้องไปห้องสมุดป่ะ ?” ฟรังที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋าเงยหน้ามาถามทำให้ฉันตกใจหนักมาก โหย! หรือว่าจะรีบหาข้อมูลงานที่อาจารย์เพิ่งจะสั่ง ไฟแรงว่ะ! ว่าไม่ได้ ฝนตกแน่วันนี้คนอย่างไอ้ฟรังจะไปทำงาน “มึงจะไปหาข้อมูลแบบวงจรเลยเหรอ ค่อยทำวันพุธก็ได้มั้ง” ฉันเสนอเนื่องจากวันนั้นเลิกครึ่งวัน เวลาเหลือเฟือจะตาย แถมตอนนี้อยากกลับบ้านไปนอนเต็มทนแล้วด้วย “เป็นบ้าไง้ ไหนมึงบอกว่า วันจันทร์ต้องไปติวแคล ให้น้องรหัสไง” พอมันพูดแค่นั้นแหละ นึกขึ้นได้เลย จริงด้วย! เนื่องจากฉันรับจ้างติว และตอนนี้มันก็เลยเวลานัดมานิดนึงแล้ว ฉันรีบล้วงหาโทรศัพท์ในกางเกงยีนออกมาดูก็อยากตบหัวตัวเอง ลืมได้ไงวะ ?! 4 สายที่ไม่ได้รับ... ‘กระถิน’ “งั้นฉันไปล่ะ กลับกันดี ๆ นะ” ฉันรีบวิ่งไปทางชั้นล่างเพื่อตรงดิ่งไปที่หอสมุดกลาง มือก็ยกโทรศัพท์โทรกลับหาน้องไปด้วย [พี่เซียร์ ถินรออยู่ที่ห้องสมุดนะคะ พี่อยู่ไหนเอ่ย] เสียงใสจากปลายสายเอ่ยถาม “โทษทีถิน พี่กำลังรีบไป ถินรอแป๊บหนึ่งนะ” เมื่อก้าวไว ๆ ผ่านนักศึกษาที่เข้าออกตึก แต่พอกำลังจะออกจากตึกก็พบฝนที่ตกปอย ๆ แต่ตึกหอสมุดก็ไม่ได้อยู่ไกลมาก เมื่อตัดสินใจก็รีบออกตัววิ่งแต่ยังไม่ทันพ้นตึกก็ชนกับใครคนหนึ่งจนเซ เมื่อรีบจึงขอโทษขอโพยไม่แม้แต่จะมองหน้าแล้วพยายามจะวิ่งต่อ มือหนาของคนนั้นดึงไว้ มันทำให้ฉันอารมณ์เสียแบบสุด ๆ คนกำลังรีบ ๆ อยู่ ! “นี่!” แต่พอได้มองหน้าและรู้ว่าเป็นใครเท่านั้นแหละหุบปากแทบไม่ทัน “พี่มาอยู่ที่นี่ได้ไงคะ ?” “ก็มารับน้องไงครับ” เขาย่นคิ้วงงกับท่าทางของฉัน พักเดียวเท่านั้นฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน ตายแล้ว! “หนูลืม...แต่พี่เกียร์กลับไปก่อนเถอะค่ะ พอดีว่าเซียร์นัดคนอื่นเอาไว้น่ะ” ฉันควรไปหาหมอหน่อยมั้ย เป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่าเนี่ย ลืมโน้นลืมนี่ประจำ “แต่โจ้ฝากให้พี่มารับนี่ นัดกับใครไว้” ดูท่าว่าเขายังงงอยู่ ฉันจึงรีบเบรกแล้วส่งไลน์บอกกระถินว่าให้รออีกห้านาทีเจอกันเสร็จแล้วเงยหน้ามาคุยกับเขาต่อ “คือว่าเซียร์ลืมไปว่าวันนี้นัดติวหนังสือให้รุ่นน้อง ที่สำคัญรับเงินมาแล้วและเซียร์สายแล้วด้วย” เมื่อได้รับข้อมูลรัว ๆ ใส่เขาก็ผงะไป แต่เหมือนประมวลผลสักครู่ก็พยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ ฉันถึงพูดกับเขาต่อ “เอาเป็นว่าพี่เกียร์กลับไปก่อนได้เลยค่ะ เซียร์ขอตัวก่อนน้า เจอกันคราวหน้าค่ะ” พูดจบฉันก็โบกมือลาก่อนรีบเอามือป้องหัวลวก ๆ วิ่งออกไป ใจจริงก็ไม่อยากเสียมารยาททิ้งเขาไว้แบบนั้น แต่ว่ารับเงินน้องมาแล้วจะให้ไปสายก็น่าเกลียดเปล่า ๆ “โอ๊ะ! พี่มิเซียร์มาแล้ว สวัสดีค่ะ” กระถินสาวน้อยหน้าตาน่ารัก ทำหน้าดีใจสุด ๆ ที่ได้เห็นหน้าฉัน “โทษทีนะถิน เลทนิดหนึ่ง” ฉันขอโทษก่อนจะเข้าไปนั่งข้าง ๆ แล้วขอพักหายใจซักครู่ที่วิ่งมา “ไม่เป็นไรค่ะ พี่มาก็เป็นบุญของหนูแล้วค่ะ ข้างนอกฝนตกเหรอคะ” คนข้างกายกวาดตามองฉันที่เปียกเล็กน้อยบริเวณศีรษะและเสื้อผ้า ด้วยสายตาเป็นห่วง “ตกปอย ๆ น่ะ มาเริ่มดีกว่า เดี๋ยวกลับดึก” เมื่อรู้สึกเสียเวลามานานแล้วก็สุ่มหนังสือมาเล่มหนึ่งบนโต๊ะเพราะเห็นว่ามันคือ หนังสือแคลฯทั้งหมด “หนูไม่เข้าใจ นี่ นี่ นี่ เอาตรง ๆ ก็ไม่เข้าใจทั้งหมดเลย...ถ้าพี่จะกรุณาก็ติวให้หนูตั้งแต่แรกเริ่มเถอะค่ะ” ฉันเหวอ อะไรจะไม่เข้าใจเยอะขนาดนั้นลูกสาวว ถึงจะอึ้งแต่ก็ได้ไม่นานฉันก็เริ่มอธิบายทั้งหมดที่น้องไม่เข้าใจ และเริ่มไฮไลท์สูตรที่ควรจำ หนังสือน้องใหม่เอี่ยมจริง ๆ เหมือนไม่เคยเปิดด้วยซ้ำ กระถินเอ๊ยย หนูจะรอดมั้ยลูก... “เกียร์ มานี่ ๆ” ขณะกำลังเหนื่อยใจ เสียงเบา ๆ จากโต๊ะใกล้เคียงทำฉันและคนข้างกายที่จดจ่อกับหนังสือเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียง กับชื่อที่พักนี้คุ้นเหลือเกิน สายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่เพิ่งเจอกันใต้ตึกวิศวะเมื่อไม่ถึง 15นาทีที่แล้ว ทำไมอยู่ ๆ ก็มาเจอกันที่นี่อีกละเนี่ย เจ้าของชื่อเดินไปหาโต๊ะด้านหน้าพวกเราที่มีคนอยู่ 3-4 คนก่อนหน้า แล้วนั่งยังที่ว่างซึ่งหันเข้ามาทางพวกเรา และดูเหมือนเขายังมองไม่เห็นฉัน “อย่างหล่อ...” ฉันละจากหน้าคนมาใหม่ของโต๊ะนั้นมามองคนข้างกายที่เผลอพูดออกมาเสียงดังด้วยน้ำเสียงเพ้อฝันจนคนโดนพูดถึงเลื่อนสายตามาทางโต๊ะเรา จะเห็นก็ตอนนี้แหละ! “กระถิน...” ฉันกระซิบเรียกสติน้อง เหมือนเจ้าตัวก็พึ่งจะรู้ตัวว่าเผลอเสียงดังเกินไป จึงรีบเอามือปิดปาก พี่เกียร์เมื่อเห็นฉันก็ย่นคิ้วแปลกใจนิดนึง แต่ก็ทำเพียงแค่ยิ้มทักทายมาให้เท่านั้น ฉันและกระถินที่เหมือนจะได้สติจึงหันมาสนใจหนังสือเรียนต่อ “ทำไมมันยากจัง กว่าจะทำได้แต่ละข้อ" เมื่อติวกันมาเกือบชั่วโมงกระถินก็เอาหน้าคว่ำกับโต๊ะท่าทางเหนื่อยมากอย่างน่าสงสาร “ถ้าเราอยากจะทำได้ก็ต้องหัดฝึกทำโจทย์แบบนี้แหละ ทำไปก็ชินไปเอง” ฉันให้กำลังใจน้องแล้วบิดขี้เกียจบ้าง เมื่อยโว้ย ง่วงด้วย “ฮะฮ้าวว...เออะ” รีบปิดปากฉับทันทีที่เห็นร่างสูงเปลี่ยนเป็นลุคหนุ่มแว่นไปแล้วเรียบร้อย ทำให้หน้าหล่อ ๆ ของเขาที่ปกติมีออร่าพระเอกสาดกระจายมากอยู่แล้ว กลายเป็นคุณหมอที่สุดแสนอบอุ่นพุ่งหนักเข้าไปอีก เขาเป็นคนดังแน่ ๆ ดูก็รู้เลย เพราะฉันเห็นโต๊ะรอบ ๆ แอบมองเขาตลอด และฉันก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นด้วยไง เขามาอ่านหนังสือเฉย ๆ แต่ทำคนอื่นไม่มีสมาธิเลย ยังไม่รู้ตัวสินะ... ท่าทางขมักเขม่นในการอ่านหนังสือของเขาก็ทำให้เขาดูเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ จะเพอร์เฟคไปไหมเนี่ย! ทำได้เพียงแค่มองนั่นแหละ จากวีรกรรมน่าอายหลาย ๆ อย่างของฉัน การที่รู้จักกับเฮียโจ้ก็รู้ทันทีว่าไม่ควรไปยุ่งอย่างแรง และถึงยุ่งเขาก็ไม่เอาฉันอยู่ดีไง นี่คือเหตุผลหลัก คิดได้แบบนั้นฉันก็สลัดความคิดบ้า ๆ ในหัวออกไป แล้วหันไปช่วยสอนน้องต่อให้คุ้มเงินที่โดนจ้างมา “พอแค่นี้ก่อนมั้ย ฟ้ามืดแล้ว” เมื่องมกับโจทย์อยู่พักใหญ่ ดูท่าทางที่เหนื่อยล้าของคนข้าง ๆ ฉันหันไปทางหน้าต่างหอสมุดที่เป็นกระจกใส จนเห็นฟ้าที่มืดแล้วยกข้อมือขึ้นดูเวลา ‘19.27 น.’ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์แล้วเข้าไลน์ในทันที Mizear’ z : อีฟรัง มารับกูที่ห้องสมุดกลางหน่อย ฉันจ้องหน้าจอรอไอ้ฟรังอ่านอยู่และเป็นตามคาดมันเป็นคนที่อ่านเร็วยิ่งกว่าแสง พี่ฟรัง FF : อยู่กับเมีย ไม่ว่าง ฉันกลอกตากับความสตอเบอร์รี่ ตอนนั้นยังอาสาว่าจะไปส่งอยู่เลย อยู่กับเมียอะไรเพ้อเจ้อที่สุด ถ้ามีผู้หญิงคนไหนยอมรับสภาพแล้วตกลงเป็นเมียมันได้ ฉันก็คงได้แฟนเป็นหมออีกแล้วละมั้ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ไงล่ะ! กระถินที่เก็บของอยู่สักพักก็หันมาถามฉัน “พี่เซียร์กลับยังไงคะ ต้องรีบกลับนะ ที่บ้านถินบอกว่าฝนกำลังจะตกเลยค่ะ ให้ถินไปส่งมั้ยคะ” หา! พอน้องรหัสพูดดังนั้นสายตาก็มองไปที่หน้าต่างที่แม้จะมืดแล้วแต่ก็มีแสงจากไฟด้านนอกอยู่ ทำให้เห็นว่าต้นไม้ด้านนอกพลิ้วไหวไปมาเนื่องจากลมแรงจริง ตอนเย็นมันหยุดไปแล้วคงจะตกใหม่อีกสินะ “อ่า...กระถินกลับเลยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนมารับ” เมื่อร่างเล็กได้ยินดังนั้นก็ยกมือไหว้ ฉันก็โบกมือร่ำลา แล้วหันกลับมาตอบข้อความเพื่อนต่อ Mizear’ z : ไม่เล่น มารับทีฝนจะตกแล้วเนี่ย!!! พี่ฟรังFF : ก็บอกว่าไม่ว่างไงวะ ในขณะที่ฉันนึกฉุนอยู่ในใจกับความกวนตีนของไอ้บ้าหัวขาวเพื่อนรักเพื่อนเลวอยู่ก็ต้องเงยขึ้นมองด้านหน้า ก๊อก ก๊อก ! ภาพที่เห็นก็คือหนุ่มแว่นคนดีคนเดิมที่เดินมาตอนไหนไม่รู้กำลังเคาะหัวโต๊ะที่เหลือฉันนั่งอยู่คนเดียว “รอแป๊บนึงได้ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่เกียร์พูดพลางหยิบแว่นตาตัวเองมาเช็ดแล้วไปขยี้ตาท่าทางง่วงสุดขีด น่าเอ็นดูพิกล แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ให้เขาไปส่งไม่ได้หรอกนะ ถ้าให้เขาไปส่งก็ต้องโกหกเขาอีกน่ะสิ พอแล้วล่ะฉันขี้เกียจหาสารพัดสิ่งมาอ้างกับเขา และก็ไม่รู้จะบอกความจริงเขายังไง “ไม่เป็นไรเลยค่ะ พี่หมออ่านหนังสือได้ตามสบาย เซียร์ให้เพื่อนมารับแล้วค่ะ” แม้ว่ามันจะลีลาท่ามากไม่ยอมมาอยู่น่ะนะ “ได้ไง” เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินที่ฉันพูด “แต่พี่รหัสเราฝากพี่ให้ไปส่ง นี่จะทิ้งพี่เป็นครั้งที่สองเหรอ” เขาเบ้หน้านิด ๆ ไม่พอใจ แต่ฉันสิฉันเหวอไปเลย ทิ้งอะไรกัน! แค่ช่วงเย็นฉันลืมนัดที่ต้องติวให้กระถินเท่านั้นเอง มาพูดแบบนี้เหมือนฉันไปหักอกเขาอย่างนั้นแหละ เรียนหมอนี่ไม่สันทัดด้านการสื่อสารหรือไง คนฟังมันใจไม่ดีเลยนะ ถึงแม้จะรู้สึกพราวนิด ๆ ก็เถอะ เริ่มมีคนแอบมองตอนเราคุยกัน พวกนั้นคงคิดว่าพี่หมอมาจีบฉันหรือเปล่านะ ฮิฮิ แม้จะไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ขออนุญาตพราวหน่อย “พี่หมออ่านหนังสืออยู่นี่คะ เซียร์ไม่รบกวนดีกว่า” “ขาดพี่ไปคนนึง ไม่ได้ทำให้เขาอ่านหนังสือกันไม่ออกหรอกครับ” เอ้ออ มีอารมณ์กวนซะด้วยแฮะ เมื่อไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ตาก็เหลือบไปเจอคนมาใหม่ผู้ช่วยชีวิตที่ผ่านมาทางประตูพอดี อยากจะกรี๊ดใส่ถ้าไม่ติดว่านี่คือห้องสมุด และอยู่ต่อหน้าคนหล่อกินคนแบบนี้น่ะ “ฟรัง” ฉันโบกมือไหว ๆ เรียกมันเบา ๆ ให้พอได้ยิน เพื่อไม่ให้รบกวนคนอ่านหนังสือมากนัก ร่างสูงใส่ชุดบาสกับผมขาวอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตอนนี้ลู่ติดหนังหัว ดูท่าฝนด้านนอกจะตกแล้วแน่นอน “ให้ไว ฝนตกใหญ่แล้ว” มันพูดคล้ายกับหัวเสียกับอะไรมาไม่รู้ ซึ่งฉันยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็ไม่เห็นข้อความเพิ่มเติมจากมันนี่นาใครไปทำมันหงุดหงิดได้ล่ะ ปกติมันอารมณ์ดีจะตายไป คนมาใหม่หงุดหงิดหน้ามืดขนาดที่ว่าพึ่งจะเห็นพี่หมอที่อยู่ข้างฉัน “อ้าวพี่หมอที่สะดุดรักลานเกียร์นี่เอง สวัสดีครับ” ฉันคงเป็นห่วงมันมากเกินไปหน่อยขนาดอารมณ์ไม่ดีมันยังแซวคนอื่นได้อีก คงไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ พี่เกียร์ค้อมหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะถามเพื่อนฉันด้วยสีหน้าสงสัย “ขับรถอะไรมาครับเนี่ย เปียกขนาดนี้” “อ้อ รถยนต์นี่ล่ะครับ แต่ผมเล่นบาสมาแล้วจู่ ๆ ฝนมันก็ตกน่ะ” พูดจบมันก็เสยผมเปียก ๆ ของมันไปด้านหลังท่าทางอนาถของแท้สำหรับฉัน แต่ถ้าสำหรับคนอื่นคงจะเซ็กซี่ขยี้ใจ “กลับยัง เริ่มหนาวล่ะ” “งั้นเซียร์กลับก่อนน้า พี่หมอตั้งใจอ่านนะคะ” ฉันโบกมือกำลังจะหันกลับเขาก็เรียกเอาไว้ ก่อนจะกลับโต๊ะไปเขียน ๆ อะไรซักอย่าง เมื่อได้ยินเสียงฉีกกระดาษเขาก็กลับมาพร้อมกับกระดาษในมือ “นี่เบอร์พี่ ถ้าไม่อยากให้พี่โทรบอกโจ้ว่าเรากลับเอง ถึงหอก็โทรมานะครับ” ฉันรับมาแบบงง ๆ แล้วก็ยอมพยักหน้า เขาคงไม่สะดวกบอกเบอร์โทรกับฉันตรง ๆ เพราะคนอยู่ค่อนข้างเยอะสินะ เป็นคนระวังตัวดีจัง “ต้องโทรนะครับ” เขาย้ำอีกรอบฉันสีหน้าจริงจัง ฉันก็เลยทำท่าตะเบะเหมือนคุณตำรวจ “ค่า” พอเห็นท่าทางทะเล้นของฉันก็หลุดยิ้ม พลางส่ายหน้าราวกับอ่อนใจกับความกวนแล้วจึงเดินกลับไปที่โต๊ะ ที่มีเพื่อน ๆ ของเขาที่แอบมองเราอยู่เป็นระยะ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นนั่นถ้าฉันออกไป เขาได้โดนถามแน่นอน ไปแก้ตัวเอาเองนะคะคุณหมอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม