บทที่ 3 : รับวิศวะไปเป็นเมียหน่อยไหม

2867 คำ
วันนี้ฉันมาเรียนด้วยร่างกายกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ หลังจากที่นอนเอาแรงในวันอาทิตย์ทั้งวัน เสี่ยงต่อการโดนเฮียด่ามาก ดีแค่ไหนที่เฮียไม่อยู่ในคืนที่ฉันถูกหามกลับบ้าน แม้พวกเพื่อน ๆ จะบ่นกันยกใหญ่กับฤทธิ์เดชและวีรกรรมการไปผับครั้งแรกของฉัน แต่ทุกคนก็ช่วยพาฉันกลับบ้านอย่างดี ทราบซึ้งใจสุด ๆ ไปเลย “พวกมึงงง วันนี้มีควิซ อ่านหนังสือกันมายังเพื่อนรัก” เมื่อถึงโต๊ะประจำที่เพื่อน ๆ มักจะนั่งสุมหัวกันฉันก็ตะโกนเสียงดังแบบไม่เกรงใจใคร “ไปไกล ๆ เหม็นกลิ่นเหล้า” ภัทรในชุดเสื้อช็อปมองฉันอย่างขยะแขยงแถมเอามืออุดจมูกกวนอารมณ์ “หยุดเวอร์! อาบน้ำมาแล้วโว๊ย วันนี้ตัวหอมไม่มีกลิ่นเหล้าไม่เชื่อดม” ฉันชูมือขึ้นให้มันลองดม “ไหน ๆ ดมทีซิ” ฉันตาโตชักมือถอยหนีเมื่อเห็นว่ามันเอาจริง “ทะลึ่ง!” ฉันเบ้หน้า เมื่อได้แกล้งไอ้ภัทรก็หัวเราะชอบใจ เพราะความหมั่นไส้จึงเอื้อมไปทุบมันดังอั่ก ! ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งกับต้นหญ้าที่นั่งท่องจำอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วถามภัทรอีกทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของมันหายหัวกันหมด “ไอ้ฟรังล่ะ ?” “ไอ้ฟรังน่าจะสาย เห็นบอกอยู่บนทางด่วนรถติดสุด ๆ ส่วนไอ้สองตัวไปเรียนแล้ว” ฉันพยักหน้าเข้าใจ เพื่อนฉันก็งี้ล่ะรู้ดีเหมือน ‘ไอจ้อย’ เข้าไปทุกวัน ‘หงิง หงิงง’ คิดถึงก็มาเลย จ้อยก็คือเจ้าหมาน้อยตัวผู้หน้าตาน่ารักน่าชังตัวล่ำเหมือนถังแก๊สประจำคณะฉันนี่ไงล่ะ ว่ากันว่าเจ้าจ้อยจะไม่กินอาหารจากมือผู้ชายหรอกนะ ยิ่งเป็นผู้ชายคณะอื่นแล้วด้วยมันยิ่งเมิน อ้างว่ามันหวงผู้หญิงทุกคนในคณะ ไม่ว่าจะอ้วนผอมดำขาวอะไรก็หวงหมด แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับการที่ไม่กินอาหารจากมือผู้ชายตรงไหน “นี่ ๆ” เมื่อต้นหญ้ากำลังท่องหนังสืออยู่ ฉันก็หันไปสนใจภัทรที่กำลังยื่นฮอทด็อกเซเว่นให้หมาด้วยท่าทีเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณามาแต่ชาติปางก่อน เมิน… “!!!” อุ๊บ! โดนเมินแรงมากจ้า ฮ่า ๆ “แดกดิวะ” จากที่เมตตาเหลือล้นพอโดนเมินนิดเมินหน่อย ทำท่าจะฆ่าจะแกงเลยคนจิตใจอำมหิตเอ๊ย “มานี่ ๆ เจ้าจ้อยมากินขนมปังกับฉันดีกว่า อร่อยกว่าเยอะ” ฉันดีดนิ้วเรียกมันก็เดินหามาทันทีแล้วนั่งลงตรงหน้าพร้อมกระดิกหาง พอยื่นให้ไปก็งับเลยแบบไม่ต้องสงสัย ฉันหันไปยักคิ้วขิงภัทรไปอีกยก ไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะน้องพี่ “จ้อยแม่งหน้าม่อชัวร์” ร่างสูงใหญ่เมื่อเห็นก็มองตาขวาง เพราะมันยังคงคิดจะเป็นผู้ชายคนแรกที่เจ้าจ้อยจะเป็นมิตรด้วย ปัญญาอ่อนกว่านี้มีอีกไหม “ขึ้นตึกกัน สิบเอ็ดโมงแล้วเหลืออีก สิบห้านาที ไปเร็ว ๆ” สนามอารมณ์ขนาดย่อมยุติลงเมื่อต้นหญ้าปิดหนังสือดัง พรึ่บ! แล้วเดินมาเกาะแขนฉัน “ตื่นเต้นอ่ะ แกว่าอาจารย์จะเทสยากกว่าครั้งที่แล้วไหม นี่นั่งอ่านมาทั้งคืนเลยนะ” “อ่านมาดี ก็ดีแล้วแหละ ทำได้แน่นอน” ฉันยกมือขึ้นขยี้ผมสั้นประบ่าของต้นหญ้า เธอเป็นคนในกลุ่มที่ตั้งใจเรียนที่สุด เพราะเป็นคนเดียวที่มีพื้นฐานน้อย แต่เนื่องจากเป็นคนขยันทำให้เกรดเธอดีจนน่าเหลือเชื่อ @ 12.35 น. “ต้นหญ้าพ่อมารับแล้วเหรอ ?” ปกติหลังไปหาอะไรกินตอนเที่ยง และรอเรียนคลาสต่อไปพวกเราจะมานั่งใต้ลานกิจกรรมหน้าคณะที่เดิม เพราะมีเรียนอีกคลาสตอนบ่าย แต่อยู่ ๆ เพื่อนสาวก็โดดคลาสบ่ายซ่ะงั้น “อืม เห็นว่าเป็นธุระสำคัญ แต่ก็ฝากให้มึงเก็บชีทไว้ด้วย” หนุ่มหัวทองที่กัดจนแทบจะขาวเท่าสีผิวตัวเองอย่างฟรังเอ่ยตอบมาพร้อมกับหน้าง่วงที่สุด พอไม่มีอะไรทำฉันก็นั่งมองโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย ปกติตอนนี้ซันแฟนเก่าของฉันจะรับไปกินข้าวข้างนอกกว่าจะมาส่งก็บ่ายโมงเข้าเรียนพอดี พอมีเวลาว่างแบบนี้ก็น่าเบื่อหน่อย ๆ มีแต่ข้อความจากเขาที่อีกใจก็ไม่อยากเข้าไปอ่าน แต่อีกใจก็อยากอ่านแบบสุดๆ เฮ้อ ชีวิตโสดก็น่าเบื่อเหมือนกันนะเนี่ย... “จะนั่งมองอีกนานมั้ยเพื่อนรัก ถ้าอยากอ่านก็อ่าน ไม่อยากอ่านก็บล็อกไป” เสียงทุ้มของภัทรว่าเหมือนรำคาญกับท่าทางเหงาหงอยของฉันเต็มทน “อยากอ่านแต่ไม่รู้จะตอบอะไร” ฉันคว่ำโทรศัพท์ไปอีกหน แล้วตามด้วยหมอบไปกับกระเป๋า เอาจริงคือก็ไม่ได้อยากกลับไปหรอก มันก็คงแค่เหงา ๆ ที่ปกติจะมีคนมาเจ๊าะแจ๊ะ ทำดีด้วย หรือพาไปไหนมาไหน เป็นช่วงเวลาที่ดี ใครจะคิดว่าดันจบไม่ดีซะงั้น “ไม่ต้องเศร้าเว้ยแค่ผู้ชายคนเดียว หาใหม่ได้อีกเยอะ” เสียงฟรังพูดพร้อมสัมผัสได้ถึงแรงตบเบา ๆ ที่หัวไหล่เป็นการปลอบใจ นั่งหมอบไปจนเกือบจะหลับอยู่แล้ว ก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจเข้าหูและรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนไป เมื่อมีเสียงดังเซ็งแซ่อยู่รอบ ๆ ประกอบกับมือของเพื่อนที่สะกิดขัดจังหวะคนจะงีบ “นู้น ๆ เลิกเศร้าเว้ยย นั่นมันเด็กคณะอื่นนี่หว่า หล่อด้วยไอ้เซียร์สนเปล่า” มันคิดว่าสภาพอย่างฉันนี่พร้อมจะสนใจคนอื่นด้วยหรือไง แค่นี้ก็เจ็บจะตายละ ไม่พร้อมหาเหาใส่หัวอีก ตอนนี้ขอโสดยาว ๆ “ไม่เอาจริงเหรอ หล่อด้วยนะ ดูดิสาวกรี้ดเต็มเลย” ตอนแรกก็จะด่ามันว่า ‘อย่าเวอร์’ แต่เสียงสาว ๆ แถวนี้ เป็นเครื่องรับประกันว่าคงไม่ได้เวอร์ หล่อด้วยงั้นเหรอ จะสมราคาคุยหรือเปล่านะ “…โอ้โห” ฉันอ้าปากค้างเมื่อตัดสินใจเงยหน้ามาดู ออร่ามาแต่ไกล หนุ่มหน้ามน ทรงเกาหลี จากการพิจารณากรรมการเบื่องต้น หน้าผ่าน หุ่นผ่าน ผิวขาวจัด 3 ผ่าน พ่อหนุ่มคนนี้เขาคือใครกัน!! พอเขาเดินมาใกล้ ๆ ทำให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่เสื้อนิสิตเหมือนคนทั่วไป เพราะเขาใส่เสื้อของนิสิตแพทย์ พรึ่บ! ตาเถร! อยู่ ๆ เทวดาก็ตกสวรรค์ซะงั้น เมื่อหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านสะดุดอะไรไม่รู้ล้มหน้าโต๊ะฉันเฉยเลย “อร้ายย” สาว ๆ ตุ้ด เกย์ กะเทยแถวนี้แทบจะมาช่วยพยุงกันเป็นแถบ ๆ โดยไม่สนใจกระดาษที่เขาถือมาสักครู่ปลิวกระจายไปทั่ว “พี่เกียร์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?” คนอื่นยังพอว่า ขนาดดาววิศวะที่แสนเรียบร้อย ยังไปช่วยท่าทีเขินอีกด้วย ว่าแต่ยัยนี่มันแฟนไอ้บอสไม่ใช่เรอะ! ดู ๆ ยัยนั่นจะเหยียบงานเขาแล้วโว้ย ดูตีนก่อนมั้ยห่วงเเต่ผู้ชายอยู่ได้ “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะ” พ่อเทพบุตรของฉัน ก็ได้แต่ยิ้ม บอกมันไปสิคะ ว่ามึงจะเหยียบงานกูอยู่แล้ว ! “พวกมึงโว้ย!!! มีคนมาสะดุดลานเกียร์อีกแล้ว~” โทรโข่งอย่างภัทรทำหน้าที่กระจายข่าวได้รวดเร็วตามคาด ต้องป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ตลอด เพราะนาน ๆ จะมีคนมาสะดุดทีแบบจริง ๆ ไม่ได้แอ๊บเหมือนสาวคณะอื่นที่เดินผ่านกันหวังจะมาสะดุดลานเกียร์ กันทุกวี่ทุกวัน ‘วิ้ดวิ้ววว~’ เสียงร้องแซวประหนึ่งต้อนรับสู่โลกใบใหม่ได้ดังขึ้นเรื่อย ๆ ดูสิ...ทำคุณหมอเขินซ่ะแล้ว น่ารักจัง! “นี่พิกเลต เยอะไปละ” ไอ้บอสเดินทำหน้าถมึงทึง ดึงแฟนออกมาห่าง ฉันตัดสินใจเดินไปช่วยเก็บกระดาษที่ปลิวว่อนอยู่อีกแรง เพราะลำพังเจ้าตัวที่ต้องถือกระดาษอีกปึกใหญ่ลำบากแล้วยังจะต้องมาก้ม ๆ เงย ๆ อีก “เฮ้ยพวกมึง ไอ้เซียร์มันมีน้ำใจตั้งแต่เมื่อไหร่วะหรือว่าคิดจะสอยหมออีกแล้ว” พอปากหมา ๆ ของไอ้ภัทรพูดจบ ฉันก็แอบเหล่ไปทางพี่หมอนิดนึงเพื่อดูอาการ ดูสิพอไอ้ภัทรพูด เขามองฉันแปลก ๆ เลย นี่ไม่ใช่ว่าเขากลัวฉันจะสอยเขาจริง ๆ หรอกนะ... “หุบปากไปเลย ว่างมากก็มาช่วยกันเก็บก่อนดีกว่ามั้ย เดี๋ยวลมพัดปลิวหมด” ฉันหันไปแหวอย่างสุดจะทนที่พวกมันกล้าดีมาทำให้คนหล่อเข้าใจฉันผิดไป ที่ช่วยเก็บนี่บริสุทธิ์ใจม้ากมาก “เอ้า! ไปสิวะ แม่มึงสั่งแล้วเนี่ย” บอสใช้เท้าถีบไอ้ภัทรกับไอ้ฟรังออกมาช่วย ส่วนตัวเองก็นั่งงอนแฟนที่เมื่อครู่ทำอะไรเกินหน้าเกินตา “มึงด้วย” พอฉันสั่งอีกรอบมันก็กลอกตา แต่ก็เดินไปหยิบกระดาษที่ปลิวออกไปไกลแล้วมาให้ ในขณะที่ฉันนั่งยอง ๆ อยู่แต่ก็แอบมองคนข้างตัวเป็นระยะ นี่ถ้าได้กลิ่นไม่ผิดเขาใช้น้ำหอมกลิ่นออกมิ้นท์ ๆ ด้วย โอ๊ยหอมเวอร์ ขออนุญาตเสียมารยาทดื่มด่ำนะคะ ฮือออ... เมื่อได้กระดาษจากเพื่อนคนอื่นมาแล้ว ฉันจึงเป็นคนยื่นให้พี่หมอเอง แต่พี่หมอก็มองฉันแปลก ๆ อยู่ดี จนต้องเป็นคนเอ่ยถามเพราะรู้สึกคาใจ “พี่มองเซียร์นานแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย” ฉันถาม เนียนแทนชื่อตัวเองเป็นการแนะนำชื่อไปในตัว แอบเห็นเพื่อนเบ้หน้าหมั่นไส้อยู่ไกล ๆ แต่ก็ไม่ได้แคร์ เมื่อพูดก็ทำให้ร่างสูงชะงักเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่ามองฉันอยู่ ก็ปฏิเสธออกมาทันที “ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” เขาเอื้อมมาหยิบเอกสารในมือฉัน แต่เพราะคิดว่าปล่อยเขาไปตอนนี้ก็เสียดายจึงยกมือที่มีเอกสารหลบเขาไปทางด้านหลัง ทำเอาร่างสูงชะงักไปนิด แล้วมองหน้างง “แต่เซียร์มีค่ะ พี่เคยได้ยินตำนานลานเกียร์มั้ยคะ?” ฉันถามไปแบบทื่อ ๆ แม้จะงงเล็กน้อยที่อยู่ ๆ ก็โดนถามแต่เขาก็ตอบกลับมาทันที “ครับ ที่ว่าสะดุดลานเกียร์จะเป็นเมียวิศวะนะเหรอ ?” พี่หมอพยักหน้า พี่เขาดูไม่ได้ประหม่าอะไร เสียงทุ้มแต่นุ่มลึกมีเสน่ห์ แถมเลิกคิ้วตอบถามฉันต่อ “แล้วมันทำไมเหรอครับ” “พี่ว่ามันจะจริงมั้ย ถ้าเป็นผู้ชาย” ถามแบบขอความเห็นไม่นานก็พูดต่อ “ถึงไม่ได้เป็นเมียวิศวะ รับวิศวะไปเป็นเมียดีมั้ยคะ?” พอฉันพูดจบ ก็เรียกเสียงแซวจากรุ่นพี่รุ่นน้อง โดยเฉพาะเพื่อนอีกสองสามตัวที่อยู่แถว ๆ นั้นได้อีกยกใหญ่ “...” พี่หมอทำหน้างงซักครู่ก่อนจะอมยิ้มออกมาอย่างน่ารัก เขาก้มหน้ามองนาฬิกาที่ข้อมือนิดนึงแล้วเงยหน้ามาสบตา “เดี๋ยวผมต้องรีบเอาเอกสารไปส่ง ขอตัวก่อนนะครับ” “เฮ้ยพี่เขาไปถูกเปล่า มึงไปส่งเขาดิ้” ไอ้ภัทรยังชง ซึ่งฉันก็ไม่ได้ขัดศรัทธา ส่งมาก็จัดให้ตลอดเพื่อนรัก “ได้เหรอ...” ฉันหันไปทำท่าทางมึน ๆ ให้เพื่อน แล้วหันมาแกล้งทำหน้าทำตาขอความเห็นจากเขา “เดินไปเรียนก่อนจะโดนถีบดีมั้ย” เอ๊ะ! ไม่ใช่เสียงร่างสูงตรงหน้า เสียงมัจุราชหรือเปล่านะ กรี๊ด ! เพราะโดนดุประจำทำให้ทุกคนในที่นี้เงียบสนิทดังป่าช้า จากตอนแรกคนร่วมใจกับแซวตอนนี้ถึงกับแตกรังฮือเลยเอาตัวรอด ปล่อยฉันเผชิญอยู่กับคนใจโหดอยู่คนเดียว !? “เฮีย มาได้ไงคะเนี่ย” ฉันถอยหลังไปหลายก้าวแล้วยิ้มแห้งใส่ผู้มาใหม่ ร่างใหญ่ตรงหน้ามองฉันดุ ๆ แต่ก็หันไปทางคุณหมอคนหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยทัก “ไอ้เกียร์ ทำไมมาโผล่คณะกูได้ไง” พี่หมอคนนี้ชื่อเกียร์สินะ พอเฮียทักทายเขาด้วยท่าทางสนิทสนมเล่นเอาฉันอยู่ไม่สุข หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนด่วนจี๋ ซึ่งเพื่อนก็ดีใจหาย หันไปชมนกชมไม้แสร้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจกัน “อืม เอาเอกสารใบสมัครเข้าร่วมมาให้ และก็มาประชุมด้วย" “แล้วทำไมถึงมายืนคุยกับพวกเด็กแสบพวกนี้ได้” เฮียหันมาทางฉันพร้อมส่งสายตาถาม ‘คงไม่ได้เล่นอะไรแผลง ๆ อยู่ใช่มั้ย?’ “พวกน้องเขาแค่ช่วยเก็บกระดาษให้น่ะ พอดีเดินไม่ดีแล้วสะดุด” สุดหล่อคนดีคนเดิมพูดแก้ตัวให้ คงเห็นว่าพวกฉันกลัวกันจนหัวหด ไม่รู้หรอกว่าที่พูดออกมาประชดหรือเปล่า แต่พวกเราก็พยักหน้ากันรัว ๆ “ใช่ ๆ เป็นคนดีใช่ม้า ขอรางวัลหน่อยค่ะเฮีย” ฉันแบมือและยิ้มแฉ่ง “มีมะเหงก จะเอาปะละ” ฉันรีบถอยกรูดออกมาเพราะเฮียยกมือขึ้นมาเหมือนจะแจกมะเหงกจริง ๆ “เอา...ไว้วันหลังดีกว่าค่ะ” เฮียส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจแล้วหันไปหาพี่หมอเกียร์ต่อ “ไปประชุมใช่ป่ะ กูกำลังจะไปพอดี เดี๋ยวไปพร้อมกัน...อ้อ ! มิเซียร์...” ว่าแล้วเฮียก็หันมาทางฉันเหมือนพึ่งนึกอะไรได้ “วันนี้กลับกี่โมง เลิกเร็วมั้ยวันนี้ตอนเย็นเฮียไม่อยู่นะ” “สี่โมงครึ่งค่ะ” “เฮียไม่อยู่...ต้องไปดูงานม๊าที่ต่างจังหวัด” ฉันย่นจมูกอิจฉา ปี4ดูสบายจัง เห็นเฮียบอกว่าอีกไม่กี่ตัวก็จบแล้ว ทำให้เข้ามหาลัยแค่อาทิตย์ละ 2-3วันเอง ดูฉันสิมาทุกวี่ทุกวัน “เดี๋ยวให้ไอ้พวกนี้ไปส่งก็ได้ เฮียไปทำธุระเถอะค่ะ” “เดี๋ยวผมไปส่งให้เองเฮีย” ฟรังเสนอตัว “ไม่ต้อง อย่าคิดว่าไม่รู้ว่าวันเสาร์พากันไปไหนมา” เฮียชี้หน้าเรียงตัวทำพวกมันจ๋อยกันเป็นแถว “เซียร์นั่งรถไฟฟ้ากลับเองก็ได้” ไปให้สุดแล้วหยุดที่พี่วิน! “เฮียไม่ปล่อยให้น้องเฮียลำบากขนาดนั้นหรอก” เฮียยิ้มและหันไปทางร่างสูงข้าง ๆ อย่านะ... “มึงว่างป่ะ ตอนเย็น” นั่นไง กลิ่นของความชิบหายของแท้ เฮียอย่าวางยาน้องแบบนี้! “วันนี้น่าจะว่างนะ” แม้พี่เกียร์จะตอบไปอย่างงุนงง แต่เฮียโจ้ก็ยิ้มหลอน ๆ มาให้ฉันที่ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย “มีอะไร” “งั้นกูวานมึงไปส่งน้องที่บ้านกูหน่อยดิ ดูท่าทางน้องกูจะชอบมึงม้ากมาก” “ฮะ” ฉันอึ้ง เฮียพูดอะไรวะ! “เฮียบ้าเหรอ ไปพูดแบบนี้ได้ไง” เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของฉันคนที่ปล่อยระเบิดเมื่อสักครู่ก็หัวเราะชอบใจ ไม่ร้อนรนก็แปลกคนแล้วมั้ย อยู่ ๆ มาพูดแบบนี้คนอื่นจะเข้าใจยังไงล่ะเนี่ย นั่นไง! พี่หมอหันมามองฉันแปลก ๆ อีกแล้ว “เอ้า ไม่ใช่เหรอโทษที ๆ เห็นแซวกันอยู่นาน วันหลังไม่ชอบก็อย่าแซวมั่วซั่วสิวะ” หน้าฉันร้อนไปหมด แต่ก็ทำไรไม่ได้ เพราะรู้ว่านี่คือการแก้เผ็ดของเขา ตอนนี้แค่เงยหน้าไปมองพี่หมอฉันยังทำไม่ได้เลย น่าอายชะมัด “มีน้องสาวด้วยเหรอ ?” ดูเหมือนพี่หมอจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดเฮีย และดูท่าจะรู้จักเฮียดีซ่ะด้วยสิ ไม่ใช่แค่ผิวเผินแล้วขนาดที่รู้ว่าเฮียไม่มีน้องสาว “อ๋อ พอดีกว่าเซียร์ลืมของไว้ที่บ้านเฮียน่ะค่ะ” ฉันรีบแทรก ไม่อยากให้เฮียพูดอะไรเยอะไปกว่านี้ “เออ ๆ ตามนั้นแหละ” เฮียเออออไปกับที่ฉันพูด แม้เฮียจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ฉันปิดบังคนอื่นเรื่องนี้ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องบอกคนอื่นไปทั่ว แค่คิดว่านี่มันเรื่องส่วนตัว คนอื่นรู้แล้วไง ไม่มีอะไรดีขึ้นกับชีวิตพวกเขานี่นา “ได้แหละ แต่ว่าไปกันได้ยัง” เขาตอบตกลงเสร็จสรรพฉันก็แทบลมจับ ร่างสูงกำลังจะเดินตามเฮียไปแต่ก็ชะงักเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้แล้วหันมาพูดกับฉัน “ส่วนเรื่องที่ถาม พี่ว่าสักวันเดี๋ยวก็คงรู้เองแหละครับ” ว่าแล้วก็กระตุกยิ้มส่งมาป่วนประสาทฉันอีกรอบเป็นการทิ้งท้าย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม