Grear say…
“ไม่อยาก ไม่ไปไม่ได้?”
ผมเอ่ยบอกตี๋ หนึ่งในเพื่อนสนิทที่ตอนนี้มันกำลังโทรชวนผมไปกินเหล้าเพราะเกิดบ้าอะไรก็ไม่แน่ใจ แถมตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านกับคุณพ่อและคุณแม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ไม่บ่อยนักเนื่องจากปกติท่านไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่เพราะเป็นแพทย์ทั้งคู่
[อะไรวะ ชวนตัวไหนแม่งก็ไม่มาสักคนปล่อยให้กูแดกเหล้าคนเดียวอยู่ได้!]
คงเป็นเพราะเพื่อนเริ่มเมาจึงพูดออกมาเสียงดังแข่งกับดนตรีที่ดังเข้ามาในหูของผม
ซึ่งที่มันพูดไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีคนว่างไปด้วย ตั้งแต่ช่วงขึ้นปี 4 เวลาก็น้อยลงเรื่อย ๆ แถมต้องตื่นเช้าทุกวัน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่มีใครพลาด แต่ตอนนี้จะเอาเวลาไปร้านเหล้าสู้เอาเวลามานอนกับอ่านหนังสือดีกว่าเป็นไหน ๆ
“หาใครสักคนสิ ปกติมึงก็ทำแบบนี้นี่” ผมหาทางออกให้ ใครสักคนก็คือใครสักคนที่ถูกใจ และการหาของแบบนี้เป็นงานถนัดของเพื่อนอยู่แล้ว ผมหันไปมองสไลด์ในไอแพดก็เผลอถอนหายใจออกมาเหลืออีกตั้งเยอะจากที่ตั้งใจจะอ่านตอนแรก คืนนี้จะได้นอนหรือเปล่ายังไม่รู้ใจคอจะให้ทิ้งหนังสือไปกินเหล้า คิดอะไรอยู่
“…”
อีกฝ่ายเงียบไปทำให้ได้ยินแต่เพลงในผับที่มันอยู่ ไม่ได้อยากให้เพื่อนไปคนเดียวแต่ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง
“แค่นี้…”
ผมกำลังจะวางสายแต่ต้องชะงักค้างพร้อมขมวดคิ้วกับเสียงประหลาดที่ดังแทรก
[เฮ้ย! มึงน่ะ...] เสียงจากคนปลายสายไม่ได้คุยกับตัวเองแน่ ๆ เสียงดังคล้ายกับตวาดใครบางคนอยู่ เอาละไง มันอยู่คนเดียวด้วยคงไม่ไปทำห้าวหาตีนใครอีกใช่มั้ยเนี่ย?
“ฮัลโหล ตี๋” เพื่ออยากความแน่ใจจึงตัดสินใจเรียกคนในสายอีกรอบ
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ
เอาไง...ผมจะเลือกหนังสือหรือเพื่อน คำตอบมันก็ใช่อยู่แล้ว อ่านหนังสือสิ พูดแล้วก็กลับไปนั่งอ่านต่อ
ใช่ที่ไหนล่ะ!!
ผมรีบโทรหานนท์เพื่อนอีกคน พร้อมทั้งคว้ากุญแจรถวิ่งลงไปข้างล่าง เมื่อปลายสายรับก็พบปฏิกิริยาเหนื่อยหน่ายอย่างที่คาด
[กูอ่านเคสอยู่มึงจะโทรมากวนทำไมอีกคนเนี่ย]
เสียงไอ้นนท์หงุดหงิด ดูท่าจะตั้งใจอ่านมากด้วย ขอโทษด้วยว่ะเพื่อน แต่ตอนนี้เพื่อนมึงกำลังจะโดนกระทืบแล้ว
“ไอ้ตี๋มันโทรมาหากู แต่อยู่ ๆ ก็มีเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน น่าจะมีเรื่อง” ผมรีบพูดและแอบออกมาทางหลังบ้าน เกรงว่าจะขัดจังหวะคุณแม่ที่จะกำลังดูซีรีส์เกาหลีอยู่ทางกลางบ้าน
[หา มีเรื่อง!? โอ๊ย...กูปล่อยให้โดนกระทืบตายห่าไปเลยได้มั้ยวะเนี่ย] เสียงเอือมระอาเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า ไอ้ตัวปัญหามีเรื่องบ่อยขนาดไหนและมันไม่กลัวใครด้วย ถ้ามันไม่ผิดซ่ะอย่าง
“บอกไอ้เต้ด้วยล่ะ กูกำลังออก” เมื่อรวบรัดตัดตอนก็วางสายไปเพราะรู้ว่ายังไงมันต้องไปแน่ ถึงจะวางฟอร์มพูดจาเก๊กไปอย่างงั้นก็เถอะ
ผมขับรถเร็วมากมันคงไปสถานที่เดิม ๆ ที่เราไปกันบ่อย ๆ ช่วงก่อนพรีคลินิกที่ยังพอมีเวลาว่างได้สังสรรค์
@ Dsaw club
ตอนผมมาถึงที่จอดรถที่นี่แต่ก็ได้แต่วนเพราะวันนี้มีรถเยอะผิดปกติทำให้หาที่จอดรถยากกว่าที่เคย เมื่อหาที่จอดจนได้ก็เจอผู้ชายสองคนสภาพไม่ได้เรียบร้อยนัก บ่งบอกได้ว่าไม่ได้พร้อมเที่ยวแต่อย่างใดของนนท์และเต้ที่วิ่งมาพร้อม ๆ กัน ปากก็บอกว่าจะทิ้งมันแต่ก็รีบมา
“มันอยู่ไหนวะ ไม่ใช่ว่าอยู่โรง’บาลแล้วนะ ติดต่อได้ป่ะ” ไอ้นนท์ถามเสียงแทบจับเป็นคำไม่ได้เพราะวิ่งกระหืดกระหอบมา
“ยังติดต่อไม่ได้ ไอ้เต้ถามการ์ดยังว่ามันอยู่โต๊ะไหน” หันไปถามเพื่อนร่างสูงกว่าตัวเองนิดหน่อยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงมือถือโทรศัพท์แนบหูท่าทางหัวเสียสุด ๆ ก่อนหันมาพูด
“มันอยู่โต๊ะเดิมแต่วันนี้คนแน่นการ์ดเข้าไปไม่ค่อยถึง” ลูกเจ้าของที่นี่บอกแล้วเสยผมหงุดหงิดอีกเช่นเคย
พวกเราวิ่งอ้อมไปเข้าหลังผับ ไม่ให้ปะทะคนเยอะ ๆ รถเยอะขนาดนี้ คนต้องเยอะกว่ามากแน่ ๆ วิ่งไปขึ้นบันไดไปทางที่นั่งด้านบนที่คิดว่าจะเจอมันจมกองเลือดอยู่แน่ ๆ
“…”
“...”
แต่พอไปถึงก็เห็นมันกำลังคุยกับผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนอย่างออกรส แถมพอรับรู้การมาของพวกผมก็หันมามองแล้วยังส่งยิ้มให้คล้ายไม่ได้ทำอะไรผิด
“เอ้าเฮ้ย! หลอกกูว่าจะไม่มาสุดท้ายก็มาเซอร์ไพรซ์กู โอ้โหเล่นซะเนียนนะพวกมึง”
“เนียนเหี้ยอะไร ไอ้เกียร์มันโทรมาบอกว่ามึงมีเรื่องพวกกูก็เลยรีบมาเนี่ย ไม่เห็นเป็นเหี้ยอะไรเลย” ร่างสูงของนนท์พุ่งเข้าไปกระชากเสื้อไอ้ตี๋ที่เมางอมแงมดูไม่ได้อย่างหงุดหงิด
“เอ๋ ?” มันทำท่าคิด แล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆๆ พอดีเจอคนรู้จักวะ นี่กูทักทายฮาร์ดคอร์ไปเหรอ โทษที ๆ” มันหันไปหาคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า ทำเอาไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตอนนี้เป็นคำพูดยังไงนอกจะอยากจะต่อยหน้ามันเน้น ๆ ซักที
“กูไม่น่ามาเลยจริง ๆ” ไอ้เต้สบถ ทำท่าจะเดินออก ตัวต้นเรื่องก็ถลาเข้าไปจับแขน
“เอาหน่า ไหน ๆ ก็มาละป่ะ อยู่ดื่มกันหน่อยกูเครียด ๆ” มันพูดก่อนที่หน้าแดง ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำหน้าเครียดขึ้นมาอย่างปากว่า
“งั้นพวกกูไปก่อนนะตี๋ ไว้เจอกันใหม่พวก” พอคนรู้จักไอ้ตี๋ขอตัวกลับทำให้มีที่นั่งพอให้เรานั่งลงไป
“เออ ๆ ไว้เจอกัน” มันโบกมือลาพวกนั้นแล้วหันมาเชิญชวนพวกผมเข้าไปนั่ง
“ไหนมีเรื่องเครียดเหี้ยอะไรนักหนา บอกพวกกูมาซิ ถ้าไม่มีนะ มึงมีเรื่องกับพวกกูแน่” ไอ้เต้เปิดเรื่องน้ำเสียงอาฆาต
“ก็น้องกูโดนพึ่งกระทืบมาอะดิ" มันพูดไปพร้อมกับโบกมือเรียกเด็กเสิร์ฟ “น้อง ๆ เอาแก้วใหม่มาสามใบ น้ำแข็งหนึ่ง เหล้าอีกสองกลม”
ท่าทางไม่ใช่แค่กินแล้วน่าจะหวังฆ่าตัวตายที่นี่เลยมั้ง ที่อยู่บนโต๊ะนี่ก็ขวดหนึ่งแล้วนะ แล้วมันนั่งกินคนเดียวจนเกือบจะหมดแล้วด้วย ผมหันไปมองเด็กเสิร์ฟก่อนจะชูนิ้วให้เหลือแค่ขวดเดียว เขาทำหน้ารับรู้แล้วเดินออกไป
“น้องมึงไปโดนใครเข้าล่ะ”
ไอ้นนท์พูดอย่างเอือม ๆ แต่คำพูดมันทำประหลาดใจมาก ไอ้เด็กนั่นก็ไม่ได้จะมีเรื่องชกต่อยไปทั่วเหมือนพี่มันหรอกนะ จะมีก็ชื่อเรื่องเจ้าชู้มากกว่า แต่ก็เป็นไปได้อยู่ที่จะเจ้าชู้แล้วโดนตีน
“ก็มันไปคบกับเด็กวิศวะคนหนึ่งเกือบปีละ น้องรหัสไอ้โจ้ภาคไฟมอเรา รู้จักป่ะ ?”
ภาคไฟ ไม่ใช่ธาตุไฟคนมีพลังวิเศษอะไรหรอกนะ ภาคไฟหมายถึง ภาคไฟฟ้า เป็นสาขาหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์
“หึ” นนท์กับเต้พากันส่ายหัวไม่รู้จัก ก่อนจะเอาน้ำแข็งใส่แก้วที่เด็กเสิร์ฟมาเอาให้เมื่อสักครู่
“กูรู้”
พวกมันหันมามองผม งง ๆ เพราะปกติผมไม่ค่อยรู้จักหรือสนิทชิดเชื้อกับใครเป็นพิเศษ แต่เพราะพ่อแม่ของคนที่มันเอ่ยถึงกับผมสนิทกันก็เลยเจอกันบ่อยตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เรียนคนละโรงเรียนจะเจอกันก็ช่วงที่ออกงานสังคม หรือช่วงที่คุณน้ามาบ้านผมหรือแม่ผมไปบ้านเขาเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเพราะผมก็เรียนหนักอยู่แต่โรงพยาบาล มันเองก็คงเรียนหนักเพราะใกล้เรียนจบ
“อ่ะ มึงรู้จักใช่ป่ะนั่นแหละ ! เสือกตาร้ายไปคบกับน้องรหัสมัน กูก็เตือนมันแล้ว ไม่ฟังกูเป็นไง เอานิสัยเดิม ๆ มาใช้ น้องเขาบอกเลิกน้องกูสองชั่วโมง...แค่สองชั่วโมง พวกแม่งเล่นมาต่อยน้องกูหน้าคอนโดเลย” มันพูดแล้วปัดป่ายมือออกท่าทางพร้อมส่ายหัวเซ็ง ๆ
“ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ว่าก็ว่าเหอะเห็นบอกน้องมึงมันเจ้าชู้ คิดว่าจะแค่เล่น ๆ” เต้ถามพร้อมยกแก้วที่ชงเสร็จมาให้ผม
“ก็น้องแม่งอย่างสวย กูแอบเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง น้องกูก็รักเขานะแต่ช่างแม่งมันเหอะ เสือกนอกใจเขาเอง”
“แล้วสรุปมึงเครียดอะไร ที่มึงเล่า ๆ มานี่เรื่องน้องมึงล้วน ๆ เลยนะ”
“ก็เตี่ยกับแม่รู้อ่ะดิ บอกให้กูไปเอาเรื่องคนที่มาต่อยน้องกู พอกูบอกว่ามันผิดเอง ด่ากูอีกบอกว่าถ้าไม่ไปเอาเรื่องให้น้อง ก็ไม่ต้องเอาตังเดือนนี้ไป สรุปเดือนนี้กูไม่มีตัง กูเลยเครียด”
ไร้สาระ...
“แล้วโต๊ะนี้ใครจ่าย?” ไอ้นนท์ถามด้วยความระแวง
“พวกมึงไง ฮ่า ๆ”
ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกนะ สุดท้ายบิลล์รอบนี้คงต้องไอ้เต้เป็นคนเคลียร์ให้อีกเช่นเคย
“กูหมดคำจะด่า” เต้ส่ายหน้าแล้วตบเหล้าเข้าปากอย่างเซ็ง ๆ
พวกเรานั่งกันนานพอสมควรที่จะทำให้ให้คนที่เมาอยู่แล้วน็อคไป ไม่อยากคิดว่าพรุ่งนี้มันจะสนุกแค่ไหนถ้ามันไปราวน์ไม่ทัน
สมน้ำหน้า!
หลังจากตัวปัญหาเข้าสู่ห้วงนิทราไปเฝ้าพระอินทร์หรือไปเดินเล่นในนรกแล้วก็ไม่อาจทราบได้ บทสนทนาของพวกผมก็แทบไม่มีอะไรเลยเนื่องจากเห็นหน้าคร่าตากันทุกวันที่อยู่วอร์ดอายุรกรรมเหมือนกัน มีแต่คนเมาเท่านั้นที่โดนแยกไปศัลยกรรม ในตอนนี้ก็เลยพูดถึงเนื้อหากับเคสที่เจอกันซะส่วนใหญ่
รู้ตัวอีกทีตอนนี้ผับที่เคยเปิดเพลงมัน ๆ ในตอนแรก เริ่มเปิดเพลงช้าเศร้าเคล้าไปมา
“วู้! มันจริง ๆ โว้ยย”
ผมได้ยินเสียงที่ถัดไปจากโต๊ะไปอีกสองสามโต๊ะ ก็นึกขำนี่มันเพลงช้าชัด ๆ เจ้าของเสียงคงจะเมาไม่เป็นท่าแล้วล่ะ เมื่อดูเวลาพบว่าใกล้เวลาผับปิดจึงมองเพื่อนว่าจะเอายังไงกับคนเมาโต๊ะเราดี
“เดี๋ยวกูเอามันไปเอง ดูท่าแล้วคงต้องนอนคอนโดกูอะแหละ ภาระชิบหาย !” นนท์ออกความเห็น
เป็นเพราะไอ้เต้และไอ้ตี๋อยู่บ้านเช่นเดียวกันกับผม มีแค่ไอ้นนท์เท่านั้นที่อยู่คอนโด เปรียบเหมือนคอนโดกลางของกลุ่มเพราะใกล้มหาลัยที่สุด ดังนั้นใครมีปัญหาก็ลงคอนโดมันหมด
ผมไม่อยากทำอาหารเอง ถึงจะเป็นคนที่ทำอาหารได้พอสมควรก็เถอะแต่การจ่ายตลาด หรือการกินอาหารที่อื่นไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่ ทำให้เลือกที่จะอยู่บ้านมีแม่บ้านทำให้ทั้งสบายและประหยัดเวลา แต่ก็ต้องแลกด้วยการตื่นเช้าเพื่อขับรถไปโรงพยาบาล
“ดะ..!” พูดยังไม่ทันจบก็สะดุ้งเมื่อมีวัตถุหนัก ๆ หล่นลงมาที่ตักผมอย่างจัง
“ผู้ชายเฮงซวย ให้ตายก็ไม่กลับไปหรอกเว้ย !” ปรากฏเป็นร่างเล็กที่นั่งผิดที่ผิดทาง แถมตอนนี้ยังเปิดปากด่าอะไรอยู่ก็ไม่รู้อีก
“ฮะ ?” ผมหันไปหาเพื่อนที่งงไม่แพ้กัน “ขอโทษนะครับ ? ผมไม่รับเด็ก”
บางทีเธออาจเป็นเด็กนั่งดริ้งก์ของที่นี่หรือเปล่า ดูเธอก็แต่งตัวไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ผมมองไม่เห็นหน้าเธอเพราะเธอนั่งหันหลังไปอีกด้าน
“ฮือ...” เอ้า! แค่บอกไม่รับเอง จำเป็นต้องร้องไห้ขนาดนี้มั้ยเนี่ย “ถ้ามันจะเจ็บ!! แล้วมันจะจบ! ต้องเจ็บเท่าไร ก็ยอม~”
นอกจากจะไม่ลุกแล้วแม่คุณยังร้องเพลงตามดนตรีเสียงดังแถมลากยาวจนน่ากลัวว่าเธอจะขาดอากาศหายใจซะก่อน
“มิเซียร์!! หายไปไหนแล้ววะ” พอได้ยินผู้ชายคนหนึ่งร้องเรียกหาใครอยู่ ซึ่งคนที่เขาเรียกหาคงจะเป็นคนเดียวกับคนตรงหน้าผมแน่ ผมตัดสินใจจะเรียกผู้ชายคนนั้นให้หันมา เจ้าตัวก็รีบลุกออกแต่แทนที่จะเดินออกไป กลับย้ายตัวเองมานั่งข้าง ๆ จับหน้าผมแล้วเอามือเล็กปิดปาก แถมยังทำเสียงดัง ‘จุ๊จุ๊’ บอกให้เงียบ
เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่าเธอกำลังใจกล้าถึงขนาดเอาหน้ามาใกล้ผู้ชายที่ไม่รู้จักขนาดนี้
ขนาดไหนนะเหรอ ขนาดที่หายใจรดปลายจมูกผมเนี่ย!
จริง ๆ ผมควรดึงแขนเธอออกซะ แต่พอจะตัดสินใจไล่คนที่นั่งผิดที่ผิดทางออกไปก็เห็นหน้าเธอชัด ๆ เล่นเอาพูดไม่ออก ผมไม่รู้ว่าเพื่อนทำไมนั่งเงียบไม่มาช่วยผมแต่ช่างเหอะ...กลับกลายเป็นว่าผมมานั่งพิจารณาหน้าเธอแทนซะแล้ว
จากตอนแรกคิดว่าเป็นเด็กนั่งดริ้งค์ พอเห็นหน้าก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เธอไม่ได้แต่งหน้าจัดขนาดนั้น ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ ถ้าเธอศัลยกรรมก็คงจะเป็นหมอที่เก่งและแพงมาก ขนตายาวมันเห็นชัดทุกครั้งที่เธอหลับตาปรือนั่นช้า ๆ ตามประสาคนเมา แก้มแดงแต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอเมาหรือเพราะไฟ หรือเพราะว่าเธอเป็นสาวสุขภาพดีกันแน่ ริมฝีปากกระจับแต่ก็ดูไม่เล็กเหมือนผ่านมือหมอ
“เขินนะ”
ร่างเล็กทำท่าทางบิดไปกระมิดกระเมี้ยนแล้วก้มหน้าหลบสายตาผม ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้โดนตัวเล็กปิดปากไว้เหมือนสักครู่แล้ว
“มึงจะเอายังไง ถ้าไม่ชอบก็ไล่ไป มาดูเพื่อนมึงก่อนเหอะ” ไอ้นนท์เริ่มพูดหลังจากอึ้งไปพักใหญ่ มองผมมองสลับกับร่างเล็กตรงหน้า
ความจริงจะเรียกว่าร่างเล็กก็ไม่ถูกนัก เรียกได้ว่า ร่างเล็กกว่าผมแต่เป็นไซซ์ผู้หญิงที่ดูดีสมส่วนเกินมาตรฐานไปอีก
“หล่อมาก มีแฟนหรือยังคะ อยากรู้จักจัง...ขอเบอร์หน่อยได้มั้ย ?” เธอพูดเองเออเองแถมหยิบโทรศัพท์ของผมที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อมาออกมากดอะไรไม่รู้ยุกยิก ๆ มันจะไม่ง่ายขนาดนั้นถ้าโทรศัพท์ผมล็อกไว้ แต่นี่ไม่ไง...
คนตรงหน้านี่มันอะไรเนี่ย!