“เฮียขา~” ฉันกรอกเสียงหวานสุดในชีวิตไปให้กับผู้ชายแสนดีที่สุด ชนิดที่ว่าใครได้ยินเป็นต้องใจอ่อน
แต่ผลกลับตรงข้ามเมื่อสิ่งที่ได้รับคือน้ำเสียงนิ่งปนถอนหายใจเอือมระอาท้ายประโยคจากปลายสาย
[ไร]
“คืนนี้เซียร์นอนห้องหญ้าอีกคืนนะ”
[นี่ ! เสียงเป็นอะไรน่ะ] เฮียเผลอตะโกนออกมาในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงอันแหบพร่าขึ้นจมูกของฉันได้อย่างถนัด เหตุจากร่างกายที่อ่อนล้าอ่อนเพลียเพราะไม่ได้นอนมาหลายวันติดเนื่องด้วยความเครียด
“เปล่า สงสัยจะเป็นหวัดละมั้ง” หาเหตุผลอะไรไม่ได้ก็อ้างสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดไปตามด้วยการแสร้งไอออกมาเบาบางตามน้ำ “แค่ก ๆ”
[เป็นหวัดก็กลับมานอนบ้าน ไปอยู่ทำไมห้องคนอื่น] เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเป็นกังวล
“จะให้เอาหวัดไปติดคนที่บ้านทำไมล่ะ เดี๋ยวดีขึ้นก็กลับแล้ว” ฉันแถไปเรื่อยเพราะอยากไปเที่ยวต่างหากล่ะ
[กลัวติดที่บ้าน แต่ไม่กลัวติดเพื่อนเนอะ จะไปไหนบอกมาตรง ๆ ดีกว่า]
เสียงเย็นยะเยือกถามกลับอย่างรู้ทัน แถต่อไปคงไม่รอด ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้แล้ว ฉันเลยเลือกที่จะบอกความจริงไป
“ไปเที่ยว แฮ่ ๆ” ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ต่อท้าย หวังว่าจะรอดพ้นความผิด
[โน]
“ใจร้ายที่สุดดดด”
[ให้ไปก็ได้แต่ต้องกลับมานอนบ้าน ไม่ให้นอนกับเพื่อนเข้าใจมั้ย]
เฮียก็ยังคือเฮีย บ่นแต่ก็ยอม เขาเห็นฉันเป็นน้องสาวแท้ ๆ ซึ่งฉันก็รู้สึกว่าเขาคือพี่ชายแท้ ๆ เหมือนกัน
ฉันน่ะอยากมีพี่ชายที่คอยปกป้องฉันเหมือนคนอื่นบ้าง ต้องขอบคุณเฮีย ที่ทำความฝันที่ไม่กล้าฝันของฉันเป็นจริง แต่ตอนนี้เฮียโจ้ต้องทำโปรเจ็คจบ เพราะปีสุดท้ายแล้วแล้วจึงไม่ค่อยได้ออกมาดูฉันเหมือนครั้นแต่ก่อน
“ก็ได้ เดี๋ยวกลับไปนอนบ้านค่ะ งั้นแค่นี้นะ” เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นฉันก็กะว่าจะวางสาย หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเอ่ยขัดไว้ก่อน
[เซียร์ ?]
“คะ ?”
[ไม่มีอะไรจะบอกพี่ชายคนนี้หน่อยเหรอ] เสียงผ่านสายโทรศัพท์ทำฉันขนลุกเกรียว อีหรอบนี้คงไม่แคล้วไปรู้อะไรมาอีกชัวร์ !
“จะมีอะไรได้ล่ะ เฮียคิดมากเกินไปรึเปล่า”
[เรื่องไอ้ซันด้วยเหรอ ?] นั่นไง...ทำไมซื้อหวยไม่ถูก !
“ก็เลิกกันแล้ว จบกันด้วยดี”
ด้วยดีกะผีน่ะสิ ! ฉันก็แค่ไม่อยากให้พี่ชายไม่สบายใจ เลยเลือกที่จะเก็บไว้และเนรเทศตัวเองมาอยู่ห้องเพื่อน ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงแบบนี้ไง
[ดีไม่ดีเฮียก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนจะไปเที่ยวก็ไปโรงพยาบาลหน่อยละกัน]
“ใครเป็นอะไรเฮีย?”
[มีคนโดนกระทืบ! จะให้ไปดูว่าตายหรือเปล่า ถ้าไม่ตายเฮียจะไปซ้ำให้ตาย...]
ในขณะที่ฉันกำลังอึ้ง หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะ และสายที่ตัดไป
“มีอะไร ทำหน้าเอ๋อใส่พวกกูทำไม ?” ใบหน้าหล่อเหลาแถมขาวจัดอย่าง ‘ภัทร’ ที่นั่งเล่นเกมกับเพื่อนตัวสูงผมขาวอีกคนของฉันอย่าง ‘ฟรัง’ เหลือบมองมามองเมื่อเห็นว่าฉันยังคงเงียบ
“ซันอยู่โรงบาล”
“จะเป็นจะตายก็ปล่อยมัน” ร่างใหญ่กลอกตาหงุดหงิดเมื่อได้ยินชื่อ แล้วหันไปเล่นเกมอีกรอบโดยไม่ได้สนใจคำพูดของฉันมากนัก
“สงสัยโดนกระทืบแล้วมั้งป่านนี้ ฮ่า ๆ” ฟรังพูดพร้อมหัวเราะไม่คิดอะไรทั้งที่ตายังจับจ้องอยู่กับเกมตรงหน้า
“ใช่ว่ะ” ฉันพูดเสียงเบา
“...” ทุกคนเงียบ หันมาท่าทีงงงวย
“ว่าไงนะ เมื่อกี้มึงพูดว่าไง” ไอ้ฟรังหันมามองหน้าฉันอย่างถนัดถนี่เอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ซันโดนกลุ่มเฮียโจ้กระทืบแน่เลยว่ะ”
“มึงพึ่งบอกเลิกมันไปเมื่อบ่ายสาม นี่มันเพิ่งหนึ่งทุ่มเฮียเขาจะรู้ได้ไง”
ก็นั่นแหละที่ฉันสงสัย
“พวกมึงไม่มีใครไปบอกเฮียใช่มะ” ฉันระแวง และชี้หน้าภัทรกับฟรัง เว้นต้นหญ้าไว้คนหนึ่งเพราะรายนั้นเขาไม่ปากโป้งหรอก
“จะบ้ารึไง มึงเรียกพวกกูมาตอน สี่โมงตอนนั้นกูยังไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ” ฟรังพูดแล้วมองเหมือนความคิดฉันไร้สาระมาก
“แกก็น่าจะรู้หูตาสับปะรดของเฮียแกดีนี่ ถ้าไม่รู้สิแปลก” เมื่อต้นหญ้าแสดงความเห็นทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันควรไปดูซันมั้ย” จู่ ๆ ความรู้สึกเป็นห่วงก็ผุดขึ้น ถึงฉันจะจบกันไม่ดีแต่ยอมรับว่าฉันก็รู้สึกเป็นห่วงเขามาก ๆ ก็นั่นคือแฟนคนแรกของฉันเลยนะ
“จะไปดูมันทำไมวะ กูว่าโดนกระทืบก็สมควร เผลอ ๆ ไปเจอมัน ใครจะรู้อาจจะห้ามตีนไม่อยู่ กระทืบมันซ้ำก็ได้” ฟรังที่นั่งตรงข้ามพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนรักมันอย่างภัทร
“พวกแกนี่นะ!!” ต้นหญ้าแหวเสียงดัง “กับคนเจ็บก็ไม่เว้นรึไง”
“แล้วจะให้หอบกระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมมัน แล้วพูด ‘ขอบคุณครับเพื่อน ขอบคุณมากที่นอกใจเพื่อนกู’ จะให้ทำแบบนี้เหรอ ?” ฟังจบมือเล็กของต้นหญ้าก็ตีเข้ากับหลังของฟรังที่พูดจากวนประสาท
แต่ก็จริงอย่างที่มันว่า จะไปเป็นห่วงคนแบบนี้ สู้ฉันเอาเวลามาเป็นห่วงความรู้สึกของตัวเองน่าจะดีกว่า
“งั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ ให้กรรมตามสนองมันไป เราไปเที่ยวคืนนี้กันดีกว่า!!”
พูดจบก็ได้เสียงเฮสนับสนุนจากเพื่อนทั้งสองดังก้องห้อง มีแต่เพื่อนตัวเล็กของฉันที่ไม่ชอบใจที่เราจะไปกินเหล้าหัวราน้ำกันในวันนี้ แต่เพื่อฉัน เธอจึงไม่ขัดอะไรมาก
หลังจากนอนกลิ้งปล่อยตัวปล่อยใจหมดอาลัยตายอยากไปเรื่อย ๆ ในห้องของต้นหญ้า โดยมีเจ้าของห้องที่นั่งทำงานกลุ่มในส่วนที่ต้องพรีเซนต์งานสัปดาห์หน้า และอีกสองตัวที่แวะเวียนเข้ามาดูงานบ้าง ดูหนังบ้าง เล่นเกมบ้าง เพื่อรอเวลาออกไปเที่ยวอย่างสองหนุ่มเพื่อนเกรียน
@ Dsaw Club
ฉันและเพื่อนเดินทางกันมาที่ผับชื่อดังใกล้มหาลัย ได้ยินเสียงเพลงดังกึกก้องไปหมดแม้ตอนนี้เราพึ่งจะมาถึงที่จอดรถยังไม่ได้เข้าไปเลยด้วยซ้ำ
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” ฉันใจฉันเต้นตุบ ๆ เพราะบอกตรง ๆ ว่านี่คือครั้งแรกที่กล้ามาสถานที่แบบนี้ เฮียคงคิดว่าเที่ยวในภาษาของฉันก็การไปเที่ยวตลาดถนนคนเดินที่ไหนซักที่ตอนกลางคืน ถ้าเฮียรู้ว่าเป็นสถานที่แบบนี้คงโดนด่าเปิงแบบไม่ต้องสืบ แค่คิดก็เสียวสันหลังขึ้นมาแล้ว
ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยฉันก็คืนหอที่เคยเช่าอยู่ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมฯ ไป และย้ายไปอยู่ที่บ้านของเฮียเนื่องจากกลายมาเป็นน้องสาวโดยสมบูรณ์จากได้รับการอุปการะจากป๊าและม๊า เมื่ออายุถึงที่จะเข้าสถานที่แบบนี้ได้แล้วแต่ก็ไม่เคยที่ตัดสินใจมาซักทีจนถึงตอนนี้
“บอกให้เข้าไป แล้วทำไมตัวเองยืนแข็งทื่อแบบนี้ละ” เมื่อร่างสูงในสภาพพร้อมเที่ยวของภัทรเดินผลักฉันเบา ๆ ให้ก้าวเข้าไปข้างใน ฉันก็นิ่วหน้าลังเล
“เป็นอะไร กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามั้ย”
ต้นหญ้ายังคงห่วงเรื่องเสื้อผ้าของฉันอยู่อีก ไม่เเปลกเพราะเธอเป็นคนเรียบร้อย แบบลูกผู้ดีเสื้อผ้าแบบนี้คงผิดมากสำหรับเธอและมักจะซีเรียสเรื่องอะไรแบบนี้เสมอ ปกติฉันก็ไม่ใส่แบบนี้หรอก
ฉันเป็นผู้หญิงที่สูง 167 ซ.ม ที่ใส่แต่เสื้อยืดและกางเกงขายาวมาตลอดและตอนนี้ฉันอยู่ในชุดกางเกงยีนขาสั้น และเสื้อแขนกุดเอวลอยสีดำ ไม่รู้ว่ามันแปลกมากไหม แค่ไม่มั่นใจนิดหน่อย
“ฉันว่าโทรขอป๊ากับม๊าดีกว่า”
เมื่อตัดสินใจแบบนั้นก็ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาโทรหาม๊า แม้ฉันจะไม่เคยป่าวประกาศให้ใครรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฉันกับเฮีย เว้นแต่เพื่อนในกลุ่มตัวเองที่รับรู้มาตลอด ส่วนคนอื่นก็จะรู้แค่ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพตั้งแต่มัธยมฯ เพียงเท่านั้น
“โทรหาเฮียไม่ง่ายกว่าเหรอวะ” ฟรังส่ายหน้าไม่เข้าใจ
บ้านคนปกติก็คงเป็นแบบนั้น คุยกับพี่ชายน่าจะคุยง่ายกว่าพ่อแม่ แต่ของฉันผิดถนัด
[ว่าไงคะลูกสาว ถึงบ้านแล้วเหรอ] คาดว่าตอนนี้น่าจะกำลังอยู่ร้านขนมที่ตัวเองรักอยู่แน่ ๆ เพราะน้ำเสียงที่สดใสดูมีความสุขจนรับรู้ได้
“ถ้าเซียร์ขออะไรม๊า ม๊าจะด่ารึเปล่า” ฉันถามไปด้วยความไม่แน่ใจถึงจะมั่นใจว่าม๊าคงให้ แต่ก็ยังแอบกลัว เพราะมันคงไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะมาในสายตาม๊า
[ขออะไรลูก กระเป๋า นาฬิกา หรือเสื้อผ้า] ปลายสายเอ่ยถามน้ำเสียงงุนงง
“มิเซียร์มาเที่ยวร้านเหล้าน่ะสิ”
[...] สิ้นเสียงฉันปลายสายก็เงียบจนเริ่มหวั่นใจ [งั้นระวังตัวเองดี ๆ นะลูก ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี แล้วหนูกลับยังไงให้ลุงเนียนไปรับมั้ยขากลับ]
“เดี๋ยวคืนนี้เซียร์นอนกับต้นหญ้าค่ะ” ฉันบอกชื่อต้นหญ้าไปเนื่องจากม๊ารับรู้เพื่อนทุกคนของฉันอยู่แล้ว
[โอเค เดี๋ยวม๊าต้องมีคุยกับอินทีเรีย ยังไงก็ระวังตัวด้วย]
เห็นว่าม๊าต้องไปดูร้านขนมที่ขยายร้านจากร้านเล็ก ๆ 1 คูหาเป็น 2 คูหา ร้านขนมที่ม๊าเปิดมาเกือบ 5 ปีแล้ว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เฮียฝากฉันเข้ามาช่วยงานตั้งแต่ฉันอยู่ม.4 ก็เลยรู้จักท่านตั้งแต่ตอนนั้น และก็มารู้ตอนหลังว่าความจริงแล้วร้านนี้ท่านแค่เปิดไว้เป็นงานอดิเรกตามความฝันในวัยเด็ก แต่เพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีธุรกิจอยู่แล้วทำให้ทิ้งธุรกิจทางบ้านไม่ได้
พอเฮียใกล้จะจบท่านก็เริ่มให้เฮียมาทำงานแทนบ้างในบางส่วน ส่วนตัวเองก็มีเวลามาทำสิ่งที่รักมากยิ่งขึ้น
“ได้ค่า รักม๊านะคะ” เมื่อวางสายเรียบร้อยฉันก็ก้าวไปพร้อมกับความสบายใจ
ตึง ตื้อดือดื้อดึง !
คิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่เข้าประตูหน้าแทนที่จะเป็นประตูพนักงานด้านหลังอย่างที่ภัทรบอก เมื่อก้าวผ่านพ้นประตูก็สัมผัสถึงอากาศเย็นเฉียบกระทบผิวแม้จะมีคนเยอะมากก็ตามที ทุกย่างก้าวของฉันทำให้ผู้คนจับจ้องมาจนเกร็งไปหมด
“ภัทร...ขอเกาะหน่อย” เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก บอกตรง ๆ คือไม่ชอบเวลาคนมองเยอะ ๆ มันทำให้ฉันรู้สึกประหม่า
“ไม่ต้องมาทำอาย บอกอะไรไม่เคยเชื่อ” มันทำเสียงระอา แต่ก็ยอมให้จับและพาฝ่าฝูงคนเดินต่อไปยังจุดหมาย
“วันนี้คนเยอะผิดปกติรึเปล่าวะ” ฟรังที่เดินจูงต้นหญ้าที่พึ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกันพยายามเดินแทรกคนเข้ามาถาม
“เห็นไอ้ต้นบอกวันนี้คนเยอะเพราะพรุ่งนี้วันหยุด แต่กูก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ มึงเดินไปข้างบนเร็ว ๆ เลยอึดอัดมาก” ภัทรที่ตอนนี้เริ่มหงุดหงิดเพราะคนเยอะเกิน ก็รีบเบียดเสียดตัวเข้าไปที่บันไดอย่างรวดเร็ว
“มาช้าจัง คิดว่า...” ต้นมองฉันแล้วอึ้งนิด ๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางบอสที่นั่งเหวอไม่ต่างกันก่อนจะหันกลับมาพูดด้วย “ไม่เคยเห็นแต่งตัวแบบนี้เลยเซียร์”
บอสกับต้น เป็นเพื่อนของฉันอีก2คน ที่รู้จักพร้อมภัทรและฟรังเพราะพวกมันทั้งหมดเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยมปลายแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเนื่องจากพอขึ้นปี 2ก็ต่างคนต่างไปเรียนในรายวิชาของภาคตัวเอง
“เป็นไง สวยใช่ปะ” ฉันรีบเอามือเท้าเอวและพอยท์ขา เหมือนนางแบบนิตยสาร ให้ได้มากที่สุด
“งั้น ๆ”
ฉันแยกเขี้ยวใส่ต้น ไอ้เด็กหน้าจิ้มลิ้มที่นิสัยไม่จิ้มลิ้ม! พอมันพูดปากหมาใส่ก็หันไปดื่มเหล้าในมือต่อ ใครจะรู้ว่าภายนอกหน้าตาน่ารักของมันความจริงคือลูกเจ้าของผับที่เรายืนอยู่ตรงนี้
“แหม หาแฟนให้สวยหุ่นแซ่บเท่าฉันให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาบอกว่างั้น ๆ เถอะย่ะ!” ฉันด่ามันแข่งกับเสียงเพลงในผับ จนแล้วจนรอดมันก็เมินฉันจนนาทีสุดท้าย
ไอ้คนหยาบเอ๊ย
“มานั่ง เกะกะจริง” ภัทรดึงฉันลงให้นั่งเบาะเดียวกับมัน ซึ่งเป็นเบาะติดกำแพงตัวยาวตัวเดียวกับต้นหญ้าและฟรัง
“ว่าแต่ เหล้านี่เลี้ยงหรือเปล่า ?” ฉันถามไอ้ตัวกวนประสาทลูกเจ้าของผับที่นั่งกดโทรศัพท์เล่น บอกตามตรงมานี่ก็อยากได้ของฟรีนะพูดเลย
“เออ!” มันเงยหน้าแล้วพูดตอกกลับ ทำหน้าเหมือนด่าฉันในใจว่า ‘หาเรื่องแดกฟรีตลอด’ ออกมา ฉันเบ้ปากเพราะรู้ความหมาย “เพื่อนอกหักทั้งทีก็ต้องเลี้ยงย้อมใจกันหน่อย แต่เสียใจจริงเหรอเนี่ย ไม่เห็นมีอาการห่าไรเลย”
“เออใช่ป่ะ ตอนนี้เรียกหาแต่ของฟรี แถมแต่งตัวอะไรมาอีกมึงบ้าป่ะเนี่ย อารมณ์แปรปรวนเหรอ” บอสที่เล่นโทรศัพท์อยู่ตั้งแต่เริ่ม ก็ปิดโทรศัพท์และเข้ามาในวงบทสนทนาบ้าง
“ไม่ต้องมาด่า วันนี้อกหัก คนมีแฟนคงจะไม่เข้าใจ!” ฉันแอบแซะบอสที่ตอนนี้กลายเป็นคนที่มีแฟนอยู่คนเดียวในกลุ่ม จากที่ตอนแรกมีแค่ฉันและมันที่มีแฟนแต่ฉันจำใจต้องย้ายข้างมารวมกับคนโสดเพราะผู้ชายมันเหี้ย
“วันนี้ ไม่เมา ไม่กลับ!!” ภัทรตอนแรกเงียบไปเพราะชงเหล้าวางหน้าเพื่อนเสร็จก็ยกแก้วขึ้นตรงหน้าสร้างความฮึกเหิมให้คนในวงได้เป็นอย่างดี
“เอาเว้ย! ใครไม่คลานกลับ เป็นคนจ่าย” ต้นหญ้าหัวเราะชอบใจกับประโยคนี้ของบอส เพราะอย่างเธอน่ะสองแก้วก็ไปแล้ว
“ชนนนน!”