“เมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจ… แต่สัญญาจะไม่บอกใครว่าเห็นอะไรไป”
ริมฝีปากบางยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย การแสดงออกแบบนั้นยิ่งทำให้เห็นสีหน้าแห่งความในใจของวาฬได้ชัดมากขึ้น คงต้องอธิบายต่อว่าฉันเห็นอะไรไปบ้าง แต่มันก็แค่อะไรที่ผ่านไปไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้นสักหน่อย
“….” วาฬขยับตัวขึ้นนั่งพิงหลังกับพนักหัวเตียง ดึงเอาผ้าห่มคลุมตัวเองตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไปโผล่มาเพียงแค่หัวแล้วหันหน้าไปทางอื่นลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกลับมามองที่ฉันตามเดิม
“ใครจะไปรู้ว่าล่ะว่าเวลานอนไม่ใส่อะไรเลย แล้วใครจะไปรู้ว่าเวลาผู้ชายพึ่งตื่นตรงนั้นมันจะ…” ฉันหยุดพูดเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วส่งยิ้มหวานให้กับเพื่อน ซึ่งอารมณ์ในเวลานี้ของเราช่างต่างกันอย่างชัดเจน
“มึงเป็นผู้หญิงนะโป๊ย” ปกติวาฬจะมีรอยยิ้มและความใจดีให้กับคนรอบตัวอยู่เสมอโดยเฉพาะผู้หญิง ยกเว้นกับฉันนี่แหละที่จะได้รับอะไรที่มันตรงกันข้ามอยู่เสมอ
อาจจะเพราะเราเจอกันนานตั้งแต่เด็กจนมันเป็นความชินชาซึ่งฉันไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไร
ถามว่าสนใจไหม? บอกเลยว่าไม่!
“ไม่เป็นอะไร ไม่ถือ… วันนี้มีเรียนมั้ย”
“ไม่มี” วาฬตอบคำถามของฉันด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ สีหน้าแววตาเรียบเฉยช่างแตกต่างกับเวลามองผู้หญิงคนอื่นจริง ๆ ตัวตนภายใต้รอยยิ้มหวานใครจะรู้ว่าเป็นยังไงหรือ...เป็นแค่กับฉัน?
“แต่กูมี… เชิญลุกไปอาบน้ำแล้วก็ไปเรียนด้วยกัน” เพราะคำว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ฉันคิดว่าต้องลากเพื่อนไปเรียนด้วยแล้วแหละนะเดี๋ยวจะหาว่าไม่ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่อีก
“ไปเรียนได้เลย ตอนเช้าไม่มีอะไรหรอก”
“….”
“ต้องมาอยู่ที่นี่ใช่มั้ยล่ะ ตอนเย็นถ้ากลับมาก่อนก็เข้ามาที่ห้องได้เลยเข้ามารอที่นี่แหละ ถ้ากูยังไม่กลับก็อยู่ไปไม่ต้องเกรงใจ จะย้ายของ จะจัดของอะไรเข้ามาก็ทำไปเถอะไม่ว่า”
สิ่งที่คนตรงหน้าพูดเปรียบเสมือนข้อตกลงการอยู่ร่วมกันระหว่างฉันกับวาฬ แม้ว่าอีกฝ่ายจะสรุปทุกอย่างออกมาให้เข้าใจตรงกัน แต่มันมีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดี
แบบนั้นได้เหรอ?
แล้วคำสั่งของลุงวิทที่ว่าให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาล่ะ?
“แต่เราต้องอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือเปล่า?” จะให้เก็บความข้องใจเอาไว้ดูท่าจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับฉัน สงสัยหรือข้องใจก็แค่ถามเท่านั้นก็จบ
“ก็บอกแล้วไงว่ากลางวันไม่เป็นอะไร” วาฬยังคงอยู่ในท่านั่งเดิม สายตาที่มองมาก็ดูไม่ได้ตื่นเต้นหรือกังวลในเรื่องของฉันซึ่งมันก็เป็นคนแบบนั้นแหละ แล้วจะคาดหวังให้คนอื่นมาตื่นเต้นกับสิ่งที่ฉันต้องเจอทำไมมันไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นหรอก
“โอเค ไปละ” ฉันเลิกซักไซ้ถามอะไรไปมากกว่านี้ บอกลาเพื่อนเรียบร้อยก็พาตัวเองเดินออกจากห้องนอนไปปล่อยให้วาฬใช้ชีวิตของวันนี้ไปกับการนอน
จะว่าไปก็ลืมจัดการเรื่องที่ไม่ตอบแชตฉันเมื่อคืนเลย หลังจากที่แยกย้ายจากโรงพยาบาลเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันและฉันก็ไม่ได้ถามด้วยว่าวาฬไปทำอะไรที่ตลาด
ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบแล้วคงได้แต่กวนประสาทกลับมา ฉันเสียเวลาการไปกินชาเย็นที่มหาวิทยาลัยมาหลายนาทีแล้ว เพราะต้องมาปลุกไอ้วาฬหรือเนี่ย
น้ำตาลตก เริ่มหงุดหงิดมาละ…
“อ่าว! ทำไมมาคนเดียวละ พี่วาฬไม่ยอมตื่นเหรอจ้ะพี่โป๊ย” ในระหว่างที่เดินลงบันไดมาถึงขั้นสุดท้าย
วินาทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นของบ้านเสียงทักแหลมเล็กของสไบก็ดังขึ้น ทำให้หมุนตัวหันหลังกลับมองยังเจ้าของเสียง สไบเดินออกจากห้องครัวในบ้าน ในมือถือถาดของไหว้เพื่อจะนำขึ้นไปที่ห้องพระเข้ามาหยุดตรงหน้าฉัน
“ตื่นแล้ว ตื่นตอนไปปลุกนั่นแหละ จะว่าไปพี่มีกระเป๋าที่ยังไม่ได้ใช้อยู่สี่ห้าใบเย็นนี้สไบไปหาพี่ที่บ้านนะมีเสื้อผ้าด้วย เดี๋ยวไปเลือกเอา” ฉันไม่ได้สนใจเรื่องของวาฬอีกต่อไป ชวนสไบเปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย
“ขอบคุณจ้า ว้าย!” สไบยิ้มกว้างด้วยความดีใจทำทีจะยกมือพนมขึ้นไหว้ขอบคุณแต่ลืมตัวไปว่ากำลังถือถาดอยู่ในมือ ทำให้ฉันต้องยื่นมือทั้งสองเข้าไปช่วยประคองถาดนั้นเอาไว้ด้วย
ข้าวของเสื้อผ้าของใช้ส่วนใหญ่นั้นล้วมาจากฉันที่เอามาให้เธอ ไม่ใช่ของที่ใช้แล้วไม่เอาแต่เป็นของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้มากกว่า จึงเลือกที่จะให้สไบและเด็ก ๆ
ลูกคนงานของสำนักได้เอาไปใช้ต่อ ลูกหลานของคนในสำนักมีไม่เยอะจึงสามารถแบ่งและกระจายของได้อย่างเท่าเทียมกัน ส่วนเด็กผู้ชายก็เห็นว่าได้มาจากวาฬอีกที
“ถือดี ๆ ไม่ต้องอยากไหว้ตอนนี้เดี๋ยวหกหมด พี่ไปก่อนนะ” ในวันนี้ฉันต้องร่ำลาก่อนไปเรียนถึง 2 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน และครั้งนี้ตัวเองต้องไปเรียนจริง ๆ แล้วก่อนที่ฉันจะสายจนทำให้ไม่ได้กินชาเย็น
“จ้า พี่โป๊ย ~” เราสองคนแยกย้ายกันไปคนละทาง ตัวเองเดินออกไปทางหน้าบ้านส่วนอีกคนเดินขึ้นไปทางชั้นบน ทางเดียวกันกับที่ฉันพึ่งลงมาเมื่อครู่นี้
สองเท้าก้าวเดินออกมาจากตัวบ้าน ลัดเลาะผ่านสวนและศาลเจ้าที่ขนาดใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างสำนักและบ้านของวาฬเอาไว้ ทุกครั้งที่เดินผ่านบริเวณนี้จะรับรู้ได้ถึงความร่มรื่น ความเย็นสบายและความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
ตลอดทางเดินที่มีเพียงความเงียบสงบ เสียงนกร้องดังเป็นระยะจนในที่สุดก็เดินถึงหน้าประตูรั้วบ้าน เวลานี้รถยนต์มากมายของลูกศิษย์ลูกหาต่างทยอยเข้ามาจอดเพื่อรอคิวการเข้าพบอาจารย์
ฉันหันมองไปทางรถตู้หลายคันที่จอดอยู่ แค่มองทะเบียนรถก็รู้แล้วว่าเป็นพวกระดับไหน…
“เฮ้ย!!”
เสียงร้องลั่นด้วยความตกใจของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่ฉันก้าวเท้าพ้นเขตประตูรั้วของสำนัก รถมอเตอร์ไซต์คันนึงพุ่งเข้ามาเฉี่ยวตัวเองในระยะประชิด
ฉันถูกกระจกมองข้างรถกระแทกเข้าที่แขนอย่างจังทำให้ตัวเองก็ล้มลงนั่งก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้น ส่วนจักรยานยนต์คันนั้นได้ล้มไปกับพื้นถนนก่อนกระแทกเข้ากับรถตู้ที่จอดอยู่หน้าสำนัก
ปึก! โครม!
“ว้าย! …เจ็บ” เสียงเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งแขนและสะโพก มือข้างหนึ่งจับชายกระโปรงเอาไว้ไม่ให้มันเปิดขึ้นมา
“โป๊ยเซียน!!”
“ว้าย! ตายแล้ว!!” เสียงวุ่นวายรอบตัวทำให้ทุกคนต่างหันมามองที่ฉันทั้งคนของบ้านตัวเองและคนที่อยู่บนสำนัก
ตอนนี้ไม่รู้ใครต่อใครต่างปรี่เข้ามาช่วยพยุงตัวฉันให้ลุกขึ้นยืน เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าสายตาของลุงวิทที่มองมาและวินาทีเดียวกันนั้นฉันก็ได้ยินเสียงคำสั่งที่ลอยมาตามลมกระทบเข้ากับโสตประสาท
“ไปตามไอ้วาฬมา”
น้ำเสียงนิ่งเรียบของลุงวิทพ่อของวาฬ ทำให้ฉันหันไปมองและสบตากับผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่บนเรือนไม้…